ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 797 เสร็จสิ้น (1)
สองสุดยอดมหาปรมาจารย์ที่เหมือนอาทิตย์กลางหาวของยุทธจักรในปัจจุบัน มารวมตัวในสถานที่นี้พร้อมกัน
‘ล้อ…ล้อเล่นหรือไร! เรื่องแบบนี้…เกิดขึ้นได้อย่างไร!’ คนทั้งสามเหงื่อแตกโชก ก่อนจะถอยหลังช้าๆ
ในช่วงเวลานี้ ชื่อเสียงบนยุทธจักรของพันธมิตรสามานย์ไปถึงจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ตั้งแต่โบราณกาลถึงปัจจุบัน มีไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่มีฝ่ายอธรรมและฝ่ายมารสามารถสะกดข่มเขาเส้าหลินและยุทธจักรได้
และครั้งนี้ผู้นำพันธมิตรสามานย์เฉินจื่อลัวได้จุดไฟเผาเขาเส้าหลิน ทำให้ทุกคนยกยอเขาขึ้นไปเทียบกับมหาปรมาจารย์หลายคนในประวัติศาสตร์
แม้จะมีคนแยกแยะบอกว่า มหาปรมาจารย์อย่างหวังโหวจงจะต้องเป็นกำลังหลักที่แท้จริงอย่างแน่นอน แต่คนที่เห็นศึกระหว่างลู่เซิ่งกับหลวงจีนเฒ่าผู้นั้นมีมากเกินไป ทั้งยังมีผู้รอดชีวิตมากกว่าร้อยคน ข้อมูลที่แพร่กระจายออกไปจึงละเอียดถึงขีดสุด ไม่มีช่องโหว่ให้โต้แย้ง
ทว่าตอนนี้ กลับไม่มีใครกล้าสงสัยว่าลู่เซิ่งไม่มีพลังต่อหน้าเขา
ต่อให้จะอ่อนแออย่างไร ก็ฆ่าพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
ดวงตาสีเลือดของลู่เซิ่งกวาดมองทีหนึ่ง ไม่นานก็หยุดบนร่างชายชราร่างกำยำที่เพิ่งเข้ามา
“ผู้อาวุโสอสรพิษนภาชราแล้วแต่ยังแข็งแกร่ง ได้ยินมาว่าท่านครองความเป็นใหญ่บนน่านน้ำทิศตะวันออก มีอำนาจเหลือล้น ไม่ทราบเหตุใดจึงมายังจงหยวนกัน” ลู่เซิ่งจงใจไล่บริวารจำนวนมากออกไป ประการแรกเป็นเพราะอยากหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บล้มตายที่ไร้ความหมาย ส่วนอีกประการเป็นเพราะเขาสนใจในตัวอสรพิษนภาผู้นี้มาก
แม้เขาจะปล่อยจิตวิญญาณออกมาไม่ได้ แต่หลังจากเขาปรับตัวเข้ากับการเพิ่มความแข็งแกร่งและการเรียนรู้ส่วนใหญ่ของดีปบลู พลังฝึกปรือในตอนนี้ก็ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของคนธรรมดาบนโลกใบนี้ไปแล้ว
ตามเหตุผล ระดับแบบนี้ เขาไม่ควรมีศัตรูใดในใต้หล้าอีก
ทว่าความรู้สึกที่อสรพิษนภาตรงหน้ามอบให้ กลับเป็นตัวตนราวสัตว์ประหลาดที่ก้าวข้ามการดำรงอยู่ของมนุษย์ธรรมดาเช่นเดียวกับเขา
นอกจากนี้ลู่เซิ่งยังสัมผัสกลิ่นอายล่องลอยที่มาจากร่างมารสวรรค์บนตัวอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
อสรพิษนภาเป็นชายชราหน้ายาวสีหน้าดำคล้ำ หน้าผากมีรอยฟัน ใส่ชุดคลุมสีดำแขนเสื้อขาว ตรงข้อมือสวมกำไลหยกสีเขียวเข้มสองวง
หลังเข้ามาแล้ว ครั้นเขามองลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ สายตาก็แปรเปลี่ยนเล็กน้อยเช่นกัน ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยเดินไปนั่งอีกฝั่งของโต๊ะ
“ตอนแรกคิดจะมาเอาแก่นปฐมไป นึกไม่ถึงจะเจอสหายร่วมเส้นทาง” อสรพิษนภาเค้นรอยยิ้มออกมา พร้อมกับยกชาตรงหน้าขึ้นแต่ไม่ดื่ม เพียงถือไว้ในมือ แต่เห็นได้ชัดว่าเขายิ้มน้อยครั้งมาก รอยยิ้มที่เค้นออกมาจึงแข็งทื่ออย่างที่สุด
“ท่านอยากได้แก่นปฐมหรือ” ลู่เซิ่งยิ้ม “ข้าให้ท่านก็ได้”
“เงื่อนไขคืออย่างไร” อสรพิษนภาตอบสนองทันที
“ช่วยข้าหาของสิ่งหนึ่ง” ลู่เซิ่งพลิกมือหยิบกระดาษขาวแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ บนกระดาษวาดรูปบางอย่างไว้
อสรพิษนภากวาดตามอง สีหน้าพลันแปลกประหลาดขึ้นเล็กน้อย
“ของสิ่งนี้ยังมีรายละเอียดอย่างอื่นอีกหรือไม่ แค่เค้าโครงนี้ ของที่มีรูปร่างคล้ายกันก็มีจำนวนมากแล้ว”
“ยังมีอีกอย่าง ข้ารู้ว่ามันชื่อดวงตาแห่งความเลวทราม” ลู่เซิ่งกล่าวเสริม
“ดวงตาแห่งความเลวทรามหรือ” อสรพิษนภาพยักหน้า “ได้ ข้าจะคอยหาให้”
ลู่เซิ่งครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะโยนแก่นปฐมในมือให้อสรพิษนภา
“ให้ข้าแบบนี้เลยหรือ” อสรพิษนภาประหลาดใจเล็กน้อยขณะรับแก่นปฐมไว้
“แน่นอน ท่านยังอยากจะทำอะไรอีกเล่า” ลู่เซิ่งถามกลับ
“…” นิ่งไปสักพัก อสรพิษนภาก็พยักหน้า “ท่านได้รับไมตรีของรากแห่งความเจ็บปวดแล้ว คิดว่าก่อนหน้านี้ท่านน่าจะได้เจอเมล็ดแห่งแก่นปฐมสองคนมาแล้วกระมัง ความจริงข้าเองก็เป็นเมล็ดแห่งแก่นปฐมเช่นกัน ตามกฎทั่วไป ยิ่งแก่นปฐมที่รวบรวมได้มีมากเท่าไหร่ พลังและตำแหน่งก็จะยิ่งสูงส่งมากเท่านั้น”
ลู่เซิ่งยิ้ม เขาย่อมเดาออกว่าอีกฝ่ายเป็นเมล็ดแห่งแก่นปฐมเช่นกัน ส่วนแก่นปฐมก้อนนั้นก็คือหยกเทวะนั่นเอง เขาดูดซับพลังอาวรณ์ที่อยู่ด้านในจนเกลี้ยงแล้ว เหลือแต่แก่นปฐมธรรมดาที่ด้านในไม่มีอะไรเลย
ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้พลังอาวรณ์มาอย่างน้อยแปดล้านหน่วย ผลลัพธ์มั่งคั่งถึงขีดสุด
นี่ทำให้ลู่เซิ่งที่เดิมทีคิดจะไปยังโลกตี้วาต้องละทิ้งทางด้านนั้นแล้วมารวบรวมแก่นปฐมอยู่ที่นี่อย่างอดไม่ได้ เนื่องจากเร็วกว่ามาก
เพียงแต่พอนึกถึงเจ้าลัทธิไม่จีรังที่อยู่ทางนั้น ลู่เซิ่งก็หนักใจ ในเมื่อที่นี่มีทรัพยากรที่ล้ำค่าอย่างแก่นปฐม อย่างนั้นก็เป็นไปได้มากที่จะมีผู้เข้มแข็งระดับเดียวกันเช่นกัน
ที่เขาลงมืออย่างสุดกำลัง ก็เพื่อจะได้มีโอกาสสัมผัสกับขุมกำลังสายนี้ อย่างไรเขาก็ใช้แก่นปฐมไม่ได้ แม้ของสิ่งนี้จะไม่เลว แต่หลังจากดูดซับพลังอาวรณ์หมดเกลี้ยง มันก็มีผลคืนสภาพนิดหน่อยเท่านั้น
สิ่งที่ใช้แทนของอย่างนี้ได้มีอยู่มากมายเหลือเกิน
“ท่านเพียงแค่ต้องการให้ข้าช่วยหาของสิ่งนี้หรือ” อสรพิษนภาคล้ายกลับไม่เข้าใจอยู่บ้าง ลู่เซิ่งยอมมอบสมบัติล้ำค่าอย่างแก่นปฐมเพื่อคำขอเล็กๆ แบบนี้อย่างนั้นหรือ
“ถูกต้อง จะว่าไปข้าเคยเจอเมล็ดแห่งแก่นปฐมคนหนึ่งมาก่อน คนที่อยู่ที่ตระกูลจ้าว ไม่ทราบท่านรู้จักหรือไม่” ลู่เซิ่งถามตรงๆ
“อ้อ?!” อสรพิษนภาสีหน้าเปลี่ยนแปลง “ตระกูลจ้าว…ตระกูลจ้าวไหนหรือ”
“นครตราชั่ง” ลู่เซิ่งบอก
อสรพิษนภานิ่งไปและยกมือขึ้นสะบัด
ประกายเย็นเยียบสามสายพุ่งออกไปทางช่องประตูดังพรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ พริบตาเดียวก็มีเสียงกระอักสามเสียงดังมาจากที่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป คล้ายเป็นเสียงอาวุธลับทะลวงเลือดเนื้อ
ลู่เซิ่งไม่ประหลาดใจ กลิ่นอายสามสายที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าสัมผัสได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว เขาจิบชาช้าๆ และรอคำตอบจากอีกฝ่าย
“ตระกูลจ้าว…คนที่ท่านเจอเป็นบุคคลสำคัญในลัทธิของพวกเราจริง การที่สามารถติดต่อกับท่านผู้นั้นได้…การที่เห็นท่านผู้นั้นแล้วยังรอดอยู่ ดูเหมือนสถานะกับพลังของท่านจะอยู่เหนือกว่าการประเมินของข้า” อสรพิษนภาเอ่ยเสียงทุ้ม “เอาเช่นนี้ ขอมอบสิ่งนี้ให้ท่าน”
เขาหยิบตราประทับสีแดงเล็กกระทัดรัดอันหนึ่งออกมาส่งให้ลู่เซิ่ง
“นี่คือตราแห่งแก่นปฐม ถ้าท่านเจอปัญหาอะไรที่ยากแก้ไขหรือพบข้อมูลกับของล้ำค่าที่ต้องการรวบรวม สามารถใช้มันอัญเชิญพวกเราสาวกได้หนึ่งครั้ง รากแห่งความเจ็บปวดจะมอบการตอบแทนที่คู่ควรให้แก่คุณูปการและการช่วยเหลือที่ท่านมอบให้กับพวกเรา จงจำไว้ว่าตราแห่งแก่นปฐมใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
ลู่เซิ่งรับตราประทับขนาดกะทัดรัดสีแดงอันนี้มา เขาค่อนข้างประหลาดใจ ตนมอบแก่นปฐมให้ก้อนเดียว ถึงกับผูกสัมพันธ์กับรากแห่งความว่างเปล่าที่ลึกลับยากหยั่งคาดนี้ได้แล้ว
ในความทรงจำของเขา รากแห่งความว่างเปล่าเป็นขุมกำลังลึกลับที่อยู่ในระดับเดียวกับลัทธิจันทราแดง อย่าเห็นว่าลัทธิจันทราแดงมีการพัฒนาในนครตราชั่งไม่เท่าไร แต่พวกเขามีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปทั่วโลกมารสวรรค์ ต่อให้เป็นพวกสัตว์โบราณก็ไม่กล้าหาเรื่องพวกเขาได้ง่ายๆ
ส่วนรากแห่งความว่างเปล่ามีความลึกลับยิ่งกว่า พวกเขาเหมือนเทพหายผีซ่อน พวกเมล็ดแห่งแก่นปฐมยิ่งแล้วใหญ่ พวกเขาซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจคนบนโลกมารสวรรค์อีกที สัมผัสได้ยากเย็นถึงขีดสุด
เกิดไปหาเรื่องพวกเขาเข้า ตัวท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถูกเล่นงานตอนไหน
“ตกลง ขอบคุณมาก” ลู่เซิ่งลูบไล้ตราประทับ ผิวนอกของมันดูเหมือนกับตราประทับโคลนแดงทั่วไป ย่อมไม่มีใครคาดเดาได้ว่ามันถึงกับเกี่ยวข้องกับเมล็ดแห่งแก่นปฐม
“อย่างนั้นถ้าข้าหาแก่นปฐมก้อนอื่นเจอ...” ลู่เซิ่งถามอีก
“เหมือนเดิม ท่านจะได้รับตราแห่งแก่นปฐมเพิ่มขึ้น ตราแห่งแก่นปฐมทุกตราคือคำสัญญาหนึ่งครั้งของรากแห่งความเจ็บปวด” คำพูดของอสรพิษนภาทำให้ลู่เซิ่งทราบถึงความสำคัญที่แก่นปฐมมีต่อเมล็ดแห่งแก่นปฐม
เดิมทีการที่สามารถตามหาผลประโยชน์ยิ่งใหญ่อย่างพลังอาวรณ์ในโลกใบนี้ได้ ก็อยู่เหนือความคาดหมายของเขาแล้ว ตอนนี้ถึงกับมีผลพลอยได้เพิ่มอีก
“อย่างนั้นข้ายังมีอีกคำถาม” ลู่เซิ่งฉุกใจนึกได้ จึงเอ่ยถามอีกครั้ง
“โปรดถาม” พอได้แก่นปฐมไป ท่าทีของอสรพิษนภาก็เป็นมิตรขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ครั้งก่อนตอนข้ากลับโลกมารสวรรค์ ทางเชื่อมโลกที่ข้าเปิดเกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติขึ้น…” ลู่เซิ่งบรรยายประตูทางเชื่อมสีเลือดที่ตนเห็นอย่างละเอียด
ตอนแรกอสรพิษนภายังไม่ถือเป็นจริงเป็นจัง เพียงแต่พอฟังคำบรรยายอย่างละเอียดในภายหลังของลู่เซิ่ง เขาก็เคร่งขรึมขึ้น
“เป็นเพราะเรื่องใหญ่บางส่วนที่เกิดขึ้นในเขตดวงดาวเขตอื่นส่งผลต่อสมดุลของโลก โลกมารสวรรค์เป็นปลายทางของหมื่นโลกา ไม่นานก็จะฟื้นตัวได้เอง ท่านไม่ต้องห่วง ไม่มีทางเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นหรอก” เขากล่าวเสียงทุ้มต่ำ
ลู่เซิ่งฟังความนัยของเขาออก
นั่นก็คือเรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่คนระดับพวกเขาควรใส่ใจ อย่าไปสนใจจะดีกว่า
“ทราบแล้ว อย่างนั้นขออวยพรให้ท่านหาแก่นปฐมได้มากกว่านี้” ลู่เซิ่งได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอะไรมากอีก
“ขอบคุณ” อสรพิษนภาพยักหน้า ก่อนจะลุกจากไป
ลู่เซิ่งมองแผ่นหลังของเขาอย่างเงียบงัน รู้สึกว่าเป้าหมายในการจุติครั้งนี้บรรลุผลพอสมควรแล้ว
“เจออาจารย์ของเฉินจื่อลัวเมื่อไรค่อยไปก็แล้วกัน อย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่ที่ที่ควรอยู่นาน” เพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน เขาก็เจอแก่นปฐมและเมล็ดแห่งแก่นปฐมมากมายขนาดนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นไปได้มากที่โลกเล็กๆ ใบนี้จะเป็นโลกที่รากแห่งความเจ็บปวดเอาไว้รวบรวมแก่นปฐมโดยเฉพาะ
ต่อให้เขาอยู่ต่อไป ก็จะต้องถูกเมล็ดแห่งแก่นปฐมจับตามองแน่ มิสู้ไปเองดีกว่า
พอนึกถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็ยกกาต้มชาขึ้นดื่มรวดเดียวหมด
จากนั้น ภายในเวลาครึ่งเดือนกว่าๆ
ลู่เซิ่งกำชับให้พันธมิตรสามานย์ออกค้นหาที่อยู่ของหยกเทวะสุดกำลัง ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมหาดวงตาแห่งความเลวทรามไปด้วย
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ การที่นำแก่นปฐมจากหลวงจีนชรามาได้เมื่อก่อนหน้านี้เป็นความโชคดีจริงๆ พันธมิตรสามานย์ใหญ่โต มีสมาชิกมากกว่าหมื่นคน ทว่าตระเวนตามหากันกว่าครึ่งค่อนเดือนยังคงไม่ได้ผลลัพธ์อะไร
กลับกลายเป็นว่าหาที่อยู่ของตู้เฟิงจื่อกับหนิงเหมยเจอแทน
ผู้ที่ไล่ล่าพวกประมุขพรรคเมื่อก่อนหน้านี้เป็นขุมกำลังที่มีชื่อว่าลัทธิสังหารโลหิต แต่ว่าครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ลัทธิสังหารโลหิตได้ปล่อยตัวคนของพรรคกระบี่บรรณภูผาและหนิงเหมยโดยไม่มีสาเหตุ รอจนคนของพันธมิตรสามานย์เจอตัวคนกลุ่มนี้เข้า ตู้เฟิงจื่อก็อยู่บนเส้นทางกลับเขาบรรณภูผาแล้ว
…
“โบราณกล่าวว่า อาทิตย์ลับขอบฟ้า ทรายเหลืองหินกระจาย…ดูเหมือนพืชผลปีนี้จะเก็บเกี่ยวได้ไม่ดีอีกแล้ว…”
บนรถเทียมวัว ตู้เฟิงจื่อมองดูนาที่แห้งเหี่ยวสองข้างทางพลางสะท้อนใจ
หนิงเหมยนั่งอ่านตำราในมืออยู่ข้างหน้าต่างตามลำพัง คนอื่นในรถสนทนากันเบาๆ
“ใกล้จะถึงเขตของเขาบรรณภูผาแล้วกระมัง” ตู้เฟิงจื่อพลันถาม
หนิงเหมยวางตำราลงและนึกทบทวนแผนที่
“พวกเราเพิ่งออกมาจากตำบลหอยขาว ขอแค่ผ่านเมืองดอกท้อ ก็จะไปถึงเขาบรรณภูผาแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่รู้ว่าที่พรรคจะเป็นอย่างไรบ้าง” ตู้เฟิงจื่อถอนใจ
“ยังมีศิษย์น้องเฉินอีกคน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ เหตุใดอยู่ๆ ศิษย์น้องเฉินจึงถูกขับออกจากพรรค นั่นคือศิษย์ของข้าตู้เฟิงจื่อแท้ๆ! พวกเขามีสิทธิ์อะไรมาขับไล่กันโดยพลการ!” พอตู้เฟิงจื่อนึกถึงตรงนี้ก็เกิดความพลุ่งพล่านใจ ก่อนจะก้มหน้าไอค่อกแค่กอย่างอดไม่ได้
“อาจารย์ ท่านยังไม่หายดี เบาเสียหน่อยเถิด” หนิงเหมยรีบลุกขึ้นมาลูบหลังตู้เฟิงจื่อเบาๆ
“มีคน มีคนมาแล้ว!” ทันใดนั้นศิษย์ที่ขับรถอยู่ด้านนอกก็เตือนเสียงดัง “เป็นคนของพรรคกระบี่!”
ตู้เฟิงจื่อรีบเลิกม่านบนรถขึ้นก่อนจะมองไปด้านนอก เห็นหวังเยวี่ยแห่งพรรคกระบี่บรรณภูผาพาศิษย์วัยเยาว์หลายคนมารออยู่ในเพิงขายน้ำชาแห่งหนึ่งด้านหน้าพอดี
เพียงแต่สิ่งที่ผิดกับที่เขาคิดไว้ก็คือ พวกหวังเยวี่ยต่างได้รับบาดเจ็บ มีสภาพทุลักทุเลอย่างยิ่ง
รถเทียมวัวแล่นไปถึงอย่างรวดเร็ว จากนั้นตู้เฟิงจื่อก็พลิกตัวลงรถเข้าไปหา
“ผู้อาวุโสตู้…” ครั้นเห็นตู้เฟิงจื่อ พวกหวังเยวี่ยก็เกิดความเสียใจขึ้นชั่วขณะ
“พรรคบรรณภูผา…พรรคบรรณภูผา…” หวังเยวี่ยเดินขึ้นหน้าหลายก้าว แล้วโซเซทีหนึ่งจนเกือบจะล้มลงกับพื้น
ตู้เฟิงจื่อรีบประคองเขาไว้ด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?” เขาถามเสียงเร่งร้อน
……………………………………….