ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 798 เสร็จสิ้น (2)
ลู่เซิ่งอยู่ในตำบลใต้ตีนเขาของพรรคกระบี่บรรณภูผา
รอบตัวเขาคือโรงเรียนกวดวิชาที่มีอาจารย์สอนความรู้ ด้านในมีเสียงท่องหนังสือของเหล่าเด็กๆ ที่ไพเราะดังมาไม่ขาดสาย
สิ่งที่ท่องคือหนังสือสอนอ่านที่ใช้ประโยคสั้นเรียบง่ายเหมือนกับคัมภีร์ตรีอักษรและสมุดร้อยแซ่
ลู่เซิ่งเดินไปได้อีกสองสามก้าวก็พลันหยุดลง
ด้านหน้ารถเข็นคันเล็กที่ขายเครื่องประดับมีหญิงสาวหลายคนกำลังเลือกเครื่องประดับอยู่
สองคนในนั้นคือเหอชู่หร่วนกับเหอชู่เซียง
หญิงสาวทั้งสองนางกำลังถือเครื่องเงินพลางพิจารณาอยู่ พลันสัมผัสได้ว่ามีคนจ้องมองมา จึงรีบเงยหน้ามอง
พอเห็นว่าเป็นลู่เซิ่ง เหอชู่หร่วนก็ผุดสีหน้าแตกตื่นยินดี รีบลากน้องสาวก้าวเท้ายาวๆ มาด้านนี้
“เฉินจื่อลัว!” นางทักทายเสียงดัง
ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้ารอให้นางเข้าใกล้
“ไม่เจอกันนานทีเดียว” เขายิ้ม
“ไม่เจอกันนานจริงๆ หลังออกจากเขาบรรณภูผาท่านไปอยู่ไหนมา” เหอชู่หร่วนยังคงใส่ชุดล่าสัตว์สีดำแนบเนื้อขับเน้นขาเรียวยาวกับหน้าอกให้โดดเด่นอย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้คนเดินถนนที่อยู่โดยรอบอดมองไม่ได้
ส่วนเหอชู่เซียงใส่ชุดรัดกุมกว่า สวมกระโปรงสีน้ำเงินอมม่วง กำลังมองลู่เซิ่งอย่างสนใจ
“ข้าไปเที่ยวเล่นที่อื่นมา ความจริงอยู่คนเดียวก็อิสระดี” ลู่เซิ่งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“นับตั้งแต่ซ่งซิ่นหรูเอาชนะหวังโหวจงในครั้งก่อน ข้าก็ได้ยินมาว่าท่านถูกคนทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ทั้งยังลอบโจมตีศิษย์พี่ใหญ่อย่างกวนซิ่วเหนียนที่เป็นผู้นำ สุดท้ายอาศัยจังหวะสับสนหนีออกมา…นี่ไม่ใช่เรื่องจริงกระมัง” เหอชู่หร่วนเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนใจ แต่ความร้อนใจที่แฝงอยู่ในคำพูดยังคงทำให้ลู่เซิ่งตื้นตันเล็กน้อย
แสดงให้เห็นว่านางยังเห็นเขาเป็นสหาย ไม่ได้เชื่อคำพูดผีสางที่พรรคกระบี่บรรณภูผาประกาศออกมา
ทั้งที่เขาเอาชนะหวังโหวจงได้ ในข่าวที่พรรคบรรณภูผาส่งออกมากลับกลายเป็นซ่งซิ่นหรูเอาชนะแทน แถมเขายังลอบโจมตีกวนซิ่นเหนียน จากนั้นก็อาศัยจัวหวะชุลมุนหลบหนีอีก
ล้อเล่นหรือ คนอย่างกวนซิ่วเหนียน เป็นสวะที่ใช้นิ้วเดียวก็บดบี้ให้ตายได้ ยังจำเป็นต้องลอบโจมตีอีกหรือ พรรบบรรณภูผานี้ยิ่งอยู่ยิ่งถอยหลังลงคลองแล้ว…
ลู่เซิ่งส่ายหน้าในใจ คร้านจะอธิบาย
“สิ่งที่พวกเขาบอกเป็นเรื่องแต่ง” เขาตอบอย่างราบเรียบ
“ข้าย่อมรู้ว่าเป็นเรื่องโกหก ดูเจ้าคนขี้ขลาดอย่างกวนซิ่วเหนียนก็รู้แล้วว่าคำพูดนี้ปลอมแค่ไหน” เหอชู่หร่วนแค่นเสียง
“แล้วตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ลู่เซิ่งถาม
“สบายดี…” นัยน์ตาของเหอชู่หร่วนมีความกังวลเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงออก
“ก่อนหน้านี้ มียอดฝีมือมาขอให้บิดาข้าปรุงยาพิษ บิดาข้าไม่ยอมร่วมมือ สองฝ่ายจึงสู้กัน บิดาข้าได้รับบาดเจ็บ ช่วงนี้จึงพักรักษาตัวอยู่ตลอด” เหอชู่เซียงบอกเล่าความจริงจากด้านข้างอย่างตั้งใจ “ตอนนี้คนพวกนั้นกำหนดวันให้พวกเรามอบผงยาให้ ไม่อย่างนั้นจะ…”
“ยอดฝีมือหรือ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว
“ใช่ ถ้าก่อนหน้านี้พรรคบรรณภูผายังอยู่ คนอื่นอาจจะกริ่งเกรงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้พรรคบรรณภูผาไม่เหลือแม้แต่ซุ้มประตูด้วยซ้ำ เดือนก่อนยอดฝีมือลัทธิสังหารโลหิตขึ้นเขาไป มีแต่พวกผู้อาวุโสหวังเยวี่ยไม่กี่คนหลบหนีออกมา คนอื่นล้วนตายหมดสิ้น…” เหอชู่หร่วนเอ่ยอย่างจนปัญญา
“ดังนั้นตอนนี้เลยได้แต่พึ่งตัวเองแล้ว”
“ลัทธิสังหารโลหิตหรือ” ลู่เซิ่งจดจำได้ว่าคนสวมอาภรณ์เทาสองคนที่ประจัญหน้ากับตนบนเขาเส้าหลินในครั้งกระโน้นเหมือนจะเป็นคนของลัทธิสังหารโลหิต
ก่อนหน้านี้พักหนึ่งดูเหมือนลัทธิสังหารโลหิตจะส่งคนมาถามตัวเองเกี่ยวกับท่าทีที่เขามีต่อพรรคบรรณภูผา ลู่เซิ่งจำได้ว่าตอนนั้นตนตอบส่งๆ แบบขอไปที แต่ดูจากตอนนี้เหมือนว่าหลังจากลัทธิสังหารโลหิตทราบเรื่องที่เกิดขึ้นตอนหวังโหวจงบุกเขาในตอนนั้นจงใจตอบแทนตนเอง
ลู่เซิ่งนึกย้อนไป
สำนักอย่างลัทธิโลหิตสังหารเหมือนกำลังวางหมากกระดานใหญ่อยู่ ครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ พวกเขาส่งคนมาติดต่อกับเขา ทว่าตอนนั้นลู่เซิ่งตัดสินใจจะจากไปแล้ว จึงไม่ได้รับปาก
เขาผิดกับมารสวรรค์คนอื่นตรงที่มารสวรรค์พวกนั้นจะอยู่เป็นเวลาอย่างต่ำสุดสิบยี่สิบปีเพราะผลประโยชน์ทั้งหมดของโลก ดังนั้นจึงมีเวลาวางแผนการเหลือเฟือ
แต่เขาไม่เหมือนกัน
“แล้วตอนนี้พรรคกระบี่บรรณภูผามีคนรอดมากี่คน” ลู่เซิ่งถามอีก
“เหลือแค่หวังเยวี่ยกับศิษย์ที่แข็งแกร่งหน่อยเท่านั้น…ตอนที่บิดาข้าเร่งรุดไปถึงก็สายไปแล้ว เพียงไล่คนจากลัทธิโลหิตสังหารส่วนหนึ่งไปได้เท่านั้น” เหอชู่หร่วนตอบพลางส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของบิดาเจ้า” ลู่เซิ่งไตร่ตรองเล็กน้อย “ดูเหมือนข้าจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน คนที่อยู่เบื้องหลังยอดฝีมือที่ไปหาบิดาเจ้าใกล้จะตายแล้ว ไม่มีเวลามาหาเรื่องบิดาเจ้าแล้วล่ะ”
“อย่างนั้นหรือ” เหอชู่หร่วนงุนงง
“อือ ใช่แล้ว” ถึงจะไม่รู้ว่าคนผู้นั้นคือใคร แต่อีกประเดี๋ยวลู่เซิ่งออกคำสั่งคำเดียวก็พอ หากเขาบอกว่าคนผู้นั้นใกล้จบแล้ว เช่นนั้นก็จะต้องใกล้ตายจริงๆ แล้ว
“ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว วันหน้าเล่า ท่านมีแผนการอะไร” เหอชู่หร่วนเดินบนริมถนนเคียงข้างลู่เซิ่ง
“ข้าเตรียมจะเดินทางไกลไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์เพื่อฝึกฝนมรรคายุทธ์สักหน่อย” ลู่เซิ่งตอบ
“เก็บเกี่ยวประสบการณ์หรือ ดูเหมือนจะไปที่ที่อยู่ไกลมากเสียแล้ว” เหอชู่หร่วนผิดหวังเล็กน้อย นางมีสหายไม่มาก ลู่เซิ่งนับเป็นคนหนึ่ง
“ใช่แล้ว ไกลทีเดียว” ลู่เซิ่งยิ้ม “ถ้าหากเจ้ามีเวลาว่าง ช่วยดูแลอาจารย์ข้าให้หน่อยนะ”
“ไม่มีปัญหา แต่ว่า…ข้าจะได้อะไรเล่า” เหอชู่หร่วนสัพยอก
“ได้อะไรหรือ…สิ่งนี้ไง…” ลู่เซิ่งดีดหน้าผากนางแผ่วเบา
ตูม!
ชั่วขณะนั้นมีปราณปฐพีหลายสายไหลเข้าไปในสมองของเหอชู่หรวน เริ่มหล่อเลี้ยงไขสมองของนางอย่างรวดเร็ว การกระตุ้นทางประสาทที่น่าอัศจรรย์ได้ส่งไปทั่วสรรพางค์ของนางผ่านเส้นประสาททั่วร่าง
เหอชู่หรวนตะลึงงัน ยืนงุนงงอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน ในสมองของนางมีคัมภีร์เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติ
ปกคัมภีร์เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า กระบี่มหานกกระจาบเมฆาหางนกยูง
“นี่เป็นวิชากระบี่สูงสุดที่ข้าปรับเปลี่ยนจากกระบี่นกกระจาบเมฆาหางนกยูง ตอนนี้ขอถ่ายทอดให้เจ้า อย่าทำให้ข้าผิดหวังเล่า” เสียงไกลลิบของลู่เซิ่งลอยมาเข้าหูนาง
เหอชู่หร่วนพลันลืมตา เห็นเหอชู่เซียงกำลังตบหน้าของตนด้วยอารามตระหนก ส่วนลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้าเดินห่างออกไปสิบกว่าหมี่โดยไม่หันกลับมาก่อนจะหายไปจากมุมถนนอย่างรวดเร็ว
นางรีบวิ่งตามไป
แต่อยู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนสองคนขวางทางนางไว้
“หยุดก่อน ท่านผู้นำให้พวกเราบอกท่านว่า ถ้าฝึกวิชากระบี่ถึงขีดจำกัด สามารถไปหาเขาที่แท่นบูชาหลักของพันธมิตรสามานย์ได้” ชายฉกรรจ์ที่อยู่ทางขวาเอ่ยเสียงทุ้ม
“พันธมิตรสามานย์หรือ” พวกเหอชู่หร่วนพลันผุดสีหน้าหวาดกลัว “เขาไปเกี่ยวกับพันธมิตรสามานย์ได้อย่างไร!”
“เพราะท่านผู้นั้นคือท่านผู้นำใหญ่ของพันธมิตรสามานย์ของพวกเราอย่างไรเล่า” ชายฉกรรจ์สองคนมองพวกเหอชู่หร่วนด้วยสีหน้าประหลาดใจ เห็นคุยกันอยู่นาน สุดท้ายกลับไม่ทราบสถานะท่านผู้นำหรอกหรือนี่
เหอชู่หร่วนพลันตกใจจนเสียงหาย นางลืมตาโต ปากเล็กอ้าเล็กน้อย หุบไม่ลงอยู่ชั่วขณะ
เหอชู่เซียงที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงร้องกรี๊ด จากนั้นก็กัดริมฝีปากล่าง ดวงตาฉายแววตื่นตระหนกและคับข้องใจ
“โอ๊ย! รู้อย่างนี้แต่แรกไม่ยกให้ท่านพี่ดีกว่า! นั่นมันท่านผู้นำแห่งพันธมิตรสามานย์เชียวนะ! หากหลอกเอาอะไรสักอย่างจากตัวเขาได้ ชาตินี้ก็ไม่มีทางใช้หมด! แต่…พวกท่านคงไม่ได้แต่งเรื่องหลอกกันใช่ไหม”
“เซียงเซียง!” เหอชู่หร่วนได้สติกลับมา บีบหน้ารูปไข่ของน้องสาวอย่างแรง “หัวสมองน้อยๆ ของเจ้าคิดอะไรอยู่กัน! จะสนใจทำไมว่าจริงหรือปลอม ไป! กลับบ้านกัน!”
วินาทีนี้ นางเข้าใจในทันทีว่าเหตุใดพรรคบรรณภูผาจึงกระจายข่าวใส่ร้ายลู่เซิ่ง
ส่วนสถานะของลู่เซิ่ง นางรู้ดีว่าพันธมิตรสามานย์เป็นแบบไหน ถ้ามีคนอ้างตัวเป็นผู้นำอย่างเปิดเผย วันต่อมาศพของเขาจะถูกวางไว้บนถนนเพื่อแสดงให้ทุกคนเห็น
สำนักสามานย์ที่ไร้กฎไร้เกณฑ์นี้จะมีใครกล้ามาอ้างตัวกัน
“เจ็บๆๆ! ท่านพี่ปล่อยมือได้แล้ว!”
หญิงสาวสองคนทะเลาะกัน วิ่งไล่ตามกันไปยังที่ไกล
ลู่เซิ่งยืนอยู่บนหลังคาคฤหาสน์แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกมาโดยมียอดฝีมือในพันธมิตรสองคนหนึ่งเตี้ยหนึ่งต่ำอยู่ด้านหลัง มองเหอชู่หร่วนที่จากไปไกล
เขาจัดการผลกรรมสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลากลับสักที
อย่างไรโลกเล็กๆ ใบนี้ก็เป็นโลกวรยุทธ์ระดับต่ำ การที่ได้อะไรมามากมายขนาดนี้ก็ถือว่าดีเหนือความคาดหมายแล้ว
“ถ่ายทอดคำสั่งออกไปว่าข้าจะกักตน” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงต่ำ
“นับตั้งแต่วันที่ข้ากักตน ภารกิจในพันธมิตรทั้งหมดขอมอบให้รองผู้นำหวังโหวจงจัดการ”
“ขอรับ!”
ลู่เซิ่งก้มมองตำบลเล็กนี้เป็นครั้งสุดท้าย
กลุ่มสิ่งก่อสร้างโบราณและควันปรุงอาหารในตัวตำบลเหมือนทำให้รู้สึกกลับมาอยู่ในยุคโบราณของโลกใบเดิม
ขณะมองดูปุถุชนที่ใช้ชีวิตอย่างธรรมดาเหล่านั้น ในอดีตเขาเองก็เคยเป็นสมาชิกคนหนึ่งในนั้นเหมือนกัน เป็นเพียงคุณชายบ้านรวยธรรมดาคนหนึ่ง
ทว่าตอนนี้ไม่อาจกลับไปหาชีวิตธรรมดาเรียบง่ายแบบนี้ได้อีกแล้ว
ลู่เซิ่งถอนใจแผ่วเบาก่อนจะเหินร่างพุ่งออกไปไกล
อีกสองคนที่เหลือตามหลังไปติดๆ ทั้งสามหายไปในแสงสายัณห์ยามเย็นอย่างรวดเร็ว
…
ณ โลกมารสวรรค์ ดาวเงาพริบตา
ด้านในถ้ำใต้ดิน บันไซกับทัวหลันปาเฮ่อรอคอยให้ค่ายกลด้านหน้าทำงานอีกครั้ง
เมื่อครู่นี้พวกเขาได้รับการแจ้งเตือนจากค่ายกลว่า ลู่เซิ่งกลับมาจากโลกใบเล็กแล้ว ทั้งสองจึงวางภารกิจทุกอย่าง แล้วมารอคอยอยู่ที่นี่อย่างนิ่งเงียบ
ลู่เซิ่งในปัจจุบันเป็นความมั่นใจและหัวใจสำคัญของดาวเคราะห์รอบข้างนี้
ไม่ว่าจะอยู่ในสำนักนทีคราม ระบบดาวปรภพ หรือแม้แต่เขตอื่นอย่างนครตราชั่งกับสำนักแปลงวายุ ชื่อจักรพรรดิมารชุ่นอิ่งล้วนมีอิทธิพลทั้งสิ้น
หลังจากชื่อเสียงขจรขจาย คนที่ต้องการมากราบเขาเป็นอาจารย์ก็จำนวนทบทวีขึ้นเรื่อยๆ
ต่อให้สำนักนทีครามจะอยู่ในช่วงสงคราม ก็ต้านทานความคลั่งไคล้ของคนเหล่านี้ไม่ได้
ผ่านไปไม่นาน ค่ายกลขนาดยักษ์พลันสั่นไหว ถัดจากนั้นผลึกสายฟ้าที่เสียบอยู่โดยรอบก็เรืองแสงสีทอง กระแสไฟฟ้าสีทองหลายสายทะลักออกมาจากด้านในอย่างบ้าคลั่งดังเปรี๊ยะวมตัวกันกลางค่ายกล
ตูม!
เกิดเสียงดังกึกก้อง กระแสไฟฟ้าสีทองชนใส่กันอย่างรุนแรง แล้วฉีกช่องสีเทาเมื่อก่อนหน้านี้ให้ขยายใหญ่กลายเป็นรอยแตกรูปทรงดวงตาที่สูงเท่าหนึ่งคน
แสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งออกมาจากในรอยแยก ทิ้งตัวลงกลางพื้นของค่ายกลอย่างแม่นยำ
พอแสงสีเหลืองเลือนหาย เงารางของลู่เซิ่งก็ปรากฏออกมา
“นายท่าน ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!” พอเห็นลู่เซิ่งกลับมา บันไซก็ผลุนผลันพุ่งเข้าไป
ทัวหลันปาเฮ่อตามหลังไปติดๆ ด้วยใบหน้าเป็นกังวล เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรบางอย่างขึ้นจนทำให้ทั้งสองร้อนรนใจเช่นนี้
“เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้าลนลานอะไร ใจเย็นหน่อย!” ลู่เซิ่งดีดแสงสีเหลืองสองสายไปตรึงทั้งสองไว้
รอจนคลื่นค่ายกลสงบลง เขาจึงก้าวเท้าออกจากค่ายกลไปยืนตรงหน้าคนทั้งสอง
“พวกเราไม่ได้ลนลานนะขอรับ นายท่าน! สัตว์โบราณ นั่นมันสัตว์โบราณเชียวนะขอรับ!” บันไซร้อง
“หุบปาก!” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิดก่อนจะชี้นิ้วไปที่อีกฝ่าย แสงสีเหลืองพลันปิดปากของบันไซไว้ “เจ้าเล่ามา!” เขามองไปยังทัวหลันที่อยู่ด้านข้าง
ทัวหลันพยักหน้า
“แปดวันก่อนหน้านี้ อสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรที่เป็นเผ่าสัตว์โบราณโจมตีพันธมิตรวิญญาณดวงดาวบนเขตดาวเขตนี้เจ้าค่ะ”
……………………………………….