ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 799 โบราณสถาน (1)
“พันธมิตรวิญญาณดวงดาวเป็นขุมกำลังลึกลับที่หนุนหลังมารดาแห่งความเจ็บปวดมาโดยตลอด ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างเป็นทางการไปครั้งหนึ่งแล้ว คลื่นการต่อสู้ได้ทำลายดาวเคราะห์ไปหลายสิบดวง สำนักแปลงวายุกับดาวปรภพโดนลูกหลงถูกทำลายไปฝั่งละสองดวง ปัญหาในตอนนี้ก็คือ สมรภูมิอยู่ใกล้พวกเรามาก ถ้าไม่รีบทำอะไรสักอย่าง ก็เป็นไปได้ที่เขตแดนของสำนักนทีครามจะติดร่างแหไปด้วย!”
ทัวหลันรีบกล่าวเสริม “อีกอย่างหนึ่งคือ ตามข้อมูลที่ศูนย์ใหญ่ของสำนักนทีครามส่งมา วิญญาณดวงดาวกับสัตว์โบราณพวกนี้เป็นตัวตนที่อยู่ในระดับมายาพิศวงเป็นอย่างต่ำ เวลาในการฝึกบำเพ็ญของพวกเขาต้องคำนวณด้วยหลักร้อยล้าน ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีความมั่นใจในการต่อสู้หรือป้องกันซึ่งๆ หน้า นอกจากนี้ยังว่ากันว่าตัวตนในกลุ่มสัตว์โบราณที่ก้าวข้ามมายาพิศวงไปแล้วอาจจะลงมือด้วย”
ลู่เซิ่งสีหน้าแปรเปลี่ยน
“ตอนนี้เจ้าสำนักหยวนชิงลี่อยู่ไหน” เรื่องใหญ่แบบนี้ เขาจะต้องตรวจสอบกับหยวนชิงลี่ทันที
“เจ้าสำนักปักหลักอยู่ที่แนวป้องกันซึ่งสร้างขึ้นใหม่ชั่วคราวมาโดยตลอด เห็นนว่าตอนนี้เริ่มสร้างระบบป้องกันลูกโซ่ดาราขึ้นแล้ว ก่อนหน้านี้มีคนเชิญข้าไปเข้าร่วมการก่อสร้างระบบด้วย แต่ข้าไม่ได้ไป” บันไซรีบบอก
“ดี ข้าไปดูก่อน พวกเจ้าเก็บของให้เรียบร้อย ให้พร้อมอพยพทุกเวลา” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “ถ้าปัญหาหนักหนาจริง อย่างนั้นพวกเราอาจจะต้องย้ายบ้านแล้ว”
“รับทราบ!”
พวกบันไซรีบตอบ
จากนั้นลู่เซิ่งก็เร่งฝีเท้าออกจากห้องจุติ แสงสีเหลืองกะพริบบนร่าง ปราณปฐพีสร้างเสื้อคลุมประณีตงดงามขึ้นชุดหนึ่ง
เขาสะกิดเท้าแผ่วเบา ร่างพลันกลายเป็นแสงสีเหลืองพุ่งขึ้นด้านบน ชั้นหินด้านบนเหมือนกับภาพมายา ถูกทะลวงผ่านโดยไม่มีอุปสรรคแม้แต่น้อย
ถ้ำหินใต้ดินเช่นนี้ หากไม่มีความสามารถแปลงเป็นปฐมพลังในระดับมากกว่าเจ้าอาวุธขึ้นไป ก็ไม่อาจแอบทะลวงโดยไม่สร้างความตื่นตัวให้แก่ผู้เป็นนายได้
หรือก็คือระดับที่สูงกว่าเจ้าแห่งอาวุธขึ้นไปสามารถแปลงตัวเองให้กลายเป็นปฐมพลังที่ตนเองบรรลุ เพื่อทะลุผ่านเข้าไปในชั้นดินและก้อนหินได้อย่างง่ายดาย
พอลู่เซิ่งพุ่งออกจากผิวดิน ก็กลับมารวมร่างเป็นคนอีกครั้ง ก่อนจะโบกมือ เรือเหาะสีขาวบริสุทธิ์รูปทรงกระสวยลำหนึ่งพลันโผล่ขึ้นด้านหน้า
เขารีบมุดเข้าเรือเหาะและใช้จิตควบคุมพลังงานหลักทันที
ครืน!
เปลวเพลิงสีทองร้อนระอุกลุ่มหนึ่งถูกพ่นออกมาด้านหลังเรือเหาะ
ระลอกคลื่นโปร่งแสงหลายสายค่อยๆ ปรากฏเหนือท้องฟ้า เรือเหาะพุ่งเข้าไปในระลอกคลื่นแล้วหายไปในพริบตา
…
ดาวทองคำ แนวป้องกันชั่วคราวของสำนักนทีคราม
ก้อนหินยักษ์สีเทาที่เหมือนกับอุกกาบาตหลายก้อนวนเวียนรอบผลึกทรงขนมเปียกปูนสีเงินที่อยู่ตรงกลางช้าๆ ก้อนหินยักษ์ทุกก้อนสลักลวดลายอักขระสีทองขนาดยักษ์เอาไว้
ด้านในโถงประชุมตรงกลางที่อยู่ด้านในสุดของผลึกสีเงิน
ด้านในโถงประชุมคือโต๊ะสามเหลี่ยมขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง รอบโต๊ะมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย
เจ้าสำนักนทีครามหยวนชิงลี่นั่งเงียบสงบอยู่บนตำแหน่งประธาน น้ำแกงไก่ป่ามะเขือเทศใส่ใข่ชามหนึ่งวางอยู่ด้านหน้า
รองเจ้าสำนักสวีฮ่าวไป่กับฮัวอวิ๋นจื่อต่างนั่งอยู่ข้างกายหยวนชิงลี่อย่างสงบ
ลู่เซิ่งกับจอมอาวุโสแกนกลางอีกสองสามคนนั่งอยู่บนตำแหน่งที่ออกห่างมาเล็กน้อย ถัดจากนั้นจึงเป็นคนสวมชุดสีน้ำเงินที่มีคำว่าวายุติดอยู่ คนพวกนี้เป็นคนของสำนักแปลงวายุ
“สำนักวิญญาณไตรอริยะยังไม่มา ครั้งนี้ที่เชิญทุกท่านมาก็เพราะก่อนหน้านี้ไม่นานพันธมิตรวิญญาณดวงดาวกับสัตว์โบราณก็เปิดศึกกันอย่างเป็นทางการ วิญญาณดวงดาวมีอันตรายต่อพวกเรามาก พวกมันใช้มารดาแห่งความเจ็บปวดเป็นแผนอำพราง ถึงขั้นสังหารสหายร่วมเส้นทางสองคนในพันธมิตรของพวกเรา”
เวลานี้หยวนชิงลี่ซึ่งเป็นประธานเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบที่แฝงความคับแค้นอยู่เลือนราง
แม้ทุกคนต่างก็ทราบว่าเป็นสิ่งที่เสแสร้งแกล้งทำ แต่คนของสำนักแปลงวายุก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่มากก็น้อย
“เจ้าสำนักหยวนอย่ากล่าวคำพูดไร้สาระมากเลย ที่พวกเรามาในครั้งนี้ก็เพื่อประชุมว่าจะรับมือกับลูกหลงจากการต่อสู้ของสัตว์โบราณและวิญญาณดวงดาวอย่างไร” รองเจ้าสำนักของสำนักแปลงวายุคนหนึ่งเอ่ยด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
คนผู้นี้มีผิวสีฟ้า ใส่ต่างหูบนหูสองข้างไม่ต่ำกว่าหนึ่งวง ส่วนไหนของหูที่มีเนื้อแทบติดต่างหูสีดำไว้หมดสิ้น
“จะรับมือลูกหลง…ยากมากทีเดียว…” หยวนชิงลี่เอ่ยอย่างจนใจ “พูดจากคุณสมบัติของวิญญาณดวงดาว สหายร่วมเส้นทางฮวาอวิ๋นจื่อเชี่ยวชาญด้านนี้ที่สุด เขาวิจัยเรื่องเหล่านี้มานาน ให้เขาอธิบายให้ทุกคนฟังก็แล้วกัน”
ฮวาอวิ๋นจื่อที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทุกคนเคยได้ยินชื่อของวิญญาณดวงดาวมาก่อนแล้ว แต่แก่นแท้ของวิญญาณดวงดาวคืออะไร คาดว่าทุกคนคงจะสัมผัสได้เพียงผิวเผิน เท่านั้น ข้าจะอธิบายให้ทุกท่านฟังอย่างละเอียดเองว่าวิญญาณดวงดาวที่ว่าคือสิ่งใด”
เขากระแอมเล็กน้อย พอเห็นความสนใจของผู้เข้มแข็งที่อยู่บนที่นั่งทั้งหมดมารวมกันบนร่างตนแล้ว จึงค่อยพยักหน้าเล็กน้อยและลุกขึ้นยืน
“ตามผลลัพธ์ที่ได้จากเอกสารโบราณ รวมถึงการทดสอบและการสังเกตการณ์ของข้า ความจริงวิญญาณดวงดาวสมควรเป็นตัวแทนร่างพลังงานอันแข็งแกร่งที่ดาวฤกษ์ให้กำเนิดออกมาตามธรรมชาติ”
“ร่างพลังงาน ตามคำพูดของท่าน หมายความว่าวิญญาณดวงดาวไม่มีร่างจริงอย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักแปลงวายุถาม
“เป็นเช่นนั้นจริง” ฮวาอวิ๋นจื่อพยักหน้า “จะพูดให้ถูกต้องก็คือ วิญญาณดวงดาวทุกดวงเป็นตัวแทนดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์หนึ่งดวง เกิดพวกเขาดับสูญ ดวงอาทิตย์ที่จับคู่กับพวกเขาก็จะตายลงไปด้วย ตัวดวงดาวจะยุบตัวลงและลอกคราบกลายเป็นดาวมรณะเย็นเยียบที่ไม่กระจายความร้อนอีกต่อไป ถึงขั้นยุบตัวต่อกลายเป็นหลุมดำมรณะที่มีแรงดึงดูดไร้สิ้นสุด”
“สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ แทบจะยืนยันได้ว่าวิญญาณดวงดาวในดาวฤกษ์หรือดวงอาทิตย์ที่พวกเราสำนักนทีคราม สำนักแปลงวายุ รวมถึงสำนักวิญญาณไตรอริยะสังกัดอยู่ อยู่ในสมาพันธ์วิญญาณดวงดาวทั้งหมด…” ฮวาอวิ๋นจื่อไม่ได้พูดต่อ แต่ทุกคนต่างเข้าใจความหมายต่อจากนั้นดี
ดวงอาทิตย์คือแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิต เป็นแสงสว่างและแหล่งกำเนิดความร้อน ถ้าเกิดว่าวิญญาณดวงดาวของดวงอาทิตย์ตายลง ก็จะทำให้ดวงอาทิตย์ดับสูญอย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์ย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในระบบสุริยะที่ดาวฤกษ์ดวงนี้มอบแสงและความร้อนให้จะตายหมดสิ้น
“หมายความว่าวิธีการเพียงหนึ่งเดียวของพวกเราคือการอพยพหรือ” อีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงแผ่ว
หยวนชิงลี่พยักหน้า
“ถูกต้อง ได้แต่อพยพเท่านั้น ทั้งยังเป็นการอพยพข้ามโลกชั่วคราว”
“ข้าไม่เห็นด้วย นี่อันตรายเกินไป พวกเราไม่ใช่มารสวรรค์ เกิดจุติลงไป ได้แต่ใช้ร่างหลักจุติ หากมีอุบัติเหตุ เกรงว่าเป็นใครก็หนีไม่รอด…” คนผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเย็น
“ถ้าหากเป็นแค่การจุติชั่วคราวเล่า พวกเราสามารถเลือกมุมใดมุมหนึ่งของโลกที่ไม่มีสิ่งมีชีวิต แต่มีกฎเกณฑ์ใกล้เคียงกับโลกมารสวรรค์ได้ ขอแค่ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างปลอดภัย ก็จะหลบรอดอันตรายได้สำเร็จ” สวีฮ่าวไป่เตือน
“เรื่องนี้ทำได้ แต่ศิษย์และคนในสำนักที่มีพลังฝึกปรือต่ำเล่า” ลู่เซิ่งถาม “ข้าไม่อยากเอาตัวรอดโดยปล่อยให้คนใกลัตัวตายหรอกนะ”
“ต้องเล่าเรื่องของเรือท่องสวรรค์ที่เหล่าบูรพาจารย์ในอดีตของสำนักนทีครามได้สร้างขึ้นแล้ว!” หยวนชิงลี่เอ่ยเบาๆ
“เปลี่ยนไปเขตดวงดาวเขตอื่นไม่ได้หรือ” ลู่เซิ่งถามอีก
สวีฮ่าวไป่ส่ายหน้า “วิญญาณดวงดาวไม่ได้มีแค่ที่นี่เท่านั้น การต่อสู้ของสองฝ่ายไม่ใช่จะจบในเขตดวงดาวเล็กๆ แค่เขตเดียวแน่”
“เมื่อเป็นแบบนี้…”
ครืน…
ทันใดนั้นเสียงสั่นสะเทือนทึบหนักก็ตัดบทผู้เข้มแข็งจากสำนักแปลงวายุ
“มาอีกแล้ว!” น้ำเสียงของหยวนชิงลี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย “บางทีทุกคนอาจไม่ได้รับรู้ผลกระทบที่ศึกนี้มีต่อพวกเราโดยตรง” นางพลันลุกพรวด “ทุกท่านตามข้ามาเถอะ อีกไม่นาน อีกไม่นานพวกเราจะได้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของวิญญาณดวงดาวและสัตว์โบราณ…”
นางโบกมือไปด้านหน้า ด้านในโถงประชุมผลึกพลันมีประตูข้ามมิติสีขาวบริสุทธิ์สายหนึ่งเปิดบนผนังว่าง
หยวนชิงลี่เดินเข้าไปเป็นคนแรก สวีฮ่าวไป่ ฮวาอวิ๋นจื่อ และลู่เซิ่งเข้าไปเป็นกลุ่มที่สอง
ลู่เซิ่งเพิ่งจะเข้าไป ก็เข้าสู่สภาพไร้แรงโน้มถ่วงทันที รอได้สติกลับมา พวกเขาก็มายืนอยู่บนสะพานเดินเรือโลหะ ที่ยื่นออกมาจากด้านขวาของอุกกาบาตลูกหนึ่งกลางอวกาศด้านนอกผลึกแล้ว มองดูนภาดาวอันไพศาลที่อยู่ตรงส่วนลึกของอวกาศ
“มาแล้ว!” หยวนชิงลี่ที่อยู่ด้านหน้าเยื้องไปทางซ้ายพลันกระซิบเสียงเบา
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่ามีพลังจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ราวกระแสคลื่นสายหนึ่งระเบิดขึ้นกลางนภาดาวมืดมิดที่อยู่ไกลออกไป
“อาตู้ซือ!” เสียงทุ้มต่ำที่เหมือนเสียงกระทิงคำรามดังมาจากส่วนลึกของจักรวาล
เป็นภาษาภัยพิบัติ ทุกคนจึงเข้าใจความหมาย
“กระสุนจรัสนิรันดร์!”
เสียงสตรีเย็นชาอีกเสียงดังแทรกเสียงกระทิงคำราม ราวกับทั่วทั้งอวกาศสั่นสะเทือน
ตูม!
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบาเหมือนเสียงอากาศระเบิดดังมาจากส่วนลึกของจักรวาล
รอบข้างเงียบสงัด จากนั้นแสงแยงตากลุ่มหนึ่งระเบิดในทันใด
“ตายเสียเถอะเจ้ากาฝาก!” เสียงของสตรีแฝงความโกรธแค้นชิงชังอย่างรุนแรง
ลู่เซิ่งรีบหลับตา แต่แม้จะหลับตาลงแล้วแสงนั้นก็ยังพุ่งผ่านเข้ามา ราวกับตัวเขาไม่อาจป้องกันการสาดส่องที่น่ากลัวนี้ได้
รังสีร้อนระอุจำนวนมหาศาลกลายเป็นพายุประจุรังสีความรุนแรงสูง พัดเสื้อคลุมของทุกคนให้ปลิวสะบัดไปด้านหลัง
แสงคงอยู่สิบกว่านาทีจึงค่อยจางหายไป
“ทุกท่าน...” หยวนชิงลี่ค่อยๆ หมุนตัวมา “นี่เป็นจุดที่ยากลำบากที่สุดอย่างแท้จริง…สงครามของวิญญาณดวงดาวกับสัตว์โบราณได้ทำให้ระบบชีวิตในเขตดาวปั่นป่วน ในเวลาไม่กี่นาทีเมื่อครู่มีดาวเคราะห์ต่างๆ มากกว่าร้อยดวงถูกทำลายเป็นละอองจักรวาลไปแล้ว
“ตามการคำนวณของพวกเรา สัตว์โบราณกับวิญญาณดวงดาวจะทำศึกใหญ่ทุกห้าวัน นอกจากการทำลายล้างด้วยพลังงานสูง ยังมีกากพลังงานและกากรังสีจากศึกขนาดใหญ่ เป็นเพราะพลังงานรวมตัวกันเกินขีดจำกัด เมื่อวิญญาณดวงดาวส่วนหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ก็จะทำให้แรงดึงดูดกับความร้อนของดวงอาทิตย์อันเป็นร่างหลักตกฮวบลงพร้อมกัน สถานที่ส่วนหนึ่งถึงขั้นมีระบบดาวเริ่มพังทลาย แม้แต่มิติเวลาก็ได้รับผลกระทบไปด้วย”
“หนักหนาปานนี้เชียว!” รองเจ้าสำนักแปลงวายุตกใจ
“หนักหนากว่าที่เราจินตนาการไว้เสียอีก ข้าสงสัยว่าหลังศึกใหญ่จบลง ที่นี่จะกลายเป็นเขตต้องห้ามของสิ่งมีชีวิต” หยวนชิงลี่เอ่ยเสียงขรึม
“ถ้าหากพวกเราใช้วิธีการจุติ อย่างนั้นการจะทำให้สำเร็จ…” มีคนได้สติจากความตื่นตระหนก
ลู่เซิ่งฟังทุกคนสนทนากัน แต่สายตาของเขากลับยังคงมองไปยังทิศทางที่เกิดการระเบิดเมื่อครู่
ชั่วขณะที่เลือนราง เขาคล้ายเห็นอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียรที่มีขนสีทองทั่วร่างจากการระเบิดครั้งนั้น
“สัตว์โบราณส่วนใหญ่เติบโตขึ้นโดยการฝังไข่ไว้ในแกนกลางของดาวเคราะห์ในช่วงวัยเด็ก เพื่อดูดซับพลังชีวิตของดาวเคราะห์มาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองและเจริญเติบโต ส่วนดาวเคราะห์ที่มีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมก็จะกลายเป็นเป้าหมายสำคัญที่พวกสัตว์โบราณชื่นชอบเป็นกาฝากที่สุด นี่ก็คือต้นเหตุความขัดแย้งระหว่างวิญญาณดวงดาวกับสัตว์โบราณ กล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ”
เสียงของหยวนชิงลี่ลอยเข้าหูลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่อง แต่เขากลับไม่มีสมาธิฟังอยู่บ้าง
“นอกจากนี้คล้ายจะเป็นเพราะลูกหลงจากสงคราม ช่วงนี้กระแสวังวนมิติเวลาจึงเกิดความผิดปกติส่วนหนึ่ง เวลาทุกท่านจุติต้องระวังการรบกวนทิศทางด้วย” ฮวาอวิ๋นจื่อเอ่ยเตือน
……………………………………….