ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 8 สถานชุมนุม (2)
“ข้าไม่แน่ใจ เมื่อวานนายท่านผู้เฒ่าเรียกเหล่าพ่อค้าน้อยใหญ่จากชุมนุมการค้ามาที่คฤหาสน์แล้ว ตอนพวกเขากำลังคุยกันขณะมาถึง ข้าได้ยินว่านายท่านต้องการให้ทุกคนช่วยกันค้นหาอะไรบางอย่าง ไม่รู้ว่าเป็นอะไรถึงกับต้องใช้ความสัมพันธ์ที่ใหญ่โตขนาดนี้”
เสี่ยวปาหัวเราะพลางรำพึงไปพลาง
ลู่เซิ่งได้ยินแล้วไม่พูดไม่จา เพียงแต่สีหน้าของเขาอึมครึมอยู่บ้าง
เขาเดินไปทางประตูหลัก เดินไปด้วย ถามไปด้วย
“ล่าสุดมีเรื่องประหลาดอะไรเกิดขึ้นหรือไม่”
“เอ่อ…คุณชาย ถึงข่าวของเสี่ยวปายังนับว่ารวดเร็วยิ่ง แต่เรื่องประหลาดไหนเลยจะเกิดขึ้นทุกวัน” เสี่ยวปายักไหล่พูดอย่างจนปัญญา
“กลับเป็นเหลาสุรามัจฉาทองที่ท่านไปบ่อยๆ ฟังว่าเมื่อคืนเกิดไฟไหม้ เผาถนนที่อยู่รอบๆ จนหมดไปครึ่งหนึ่ง เมื่อคืนพวกข้าน้อยอยู่ไกลขนาดนี้ยังเห็นแสงไฟนั้นชัดเจน จุ๊ๆ…”
“ไฟไหม้…”
ลู่เซิ่งจิตใจหนักอึ้งขึ้นอีก คาดเดาเรื่องราวได้รางๆ
“ที่เจ้าว่าไฟไหม้ เป็นถนนที่ปกติมักขายแป้งน้ำเส้นนั้นหรือไม่”
“ไหนเลยจะไม่ใช่ เป็นที่นั่นเอง!” เสี่ยวปาพยักหน้าแรงๆ “ฟังว่ามีคนตายไปไม่น้อย แม้กระทั่งผู้ใหญ่และเด็ก ทุกคนล้วนตายหมดแล้ว
“น่าอนาถแท้ๆ…ไม่รู้ว่าคนชั่วคนไหนเป็นคนจุดไฟ!”
ไฟไหม้…
ลู่เซิ่งไม่พูดอะไรแล้ว
เขาสะกดเรื่องนี้ไว้ที่ก้นบึ้งจิตใจ ไม่ไปคิดถึงมันอีก
เวลาที่จะจัดงานชุมนุมดำเป็นตอนกลางคืนของอีกสามวันให้หลัง ในชั้นใต้ดินแห่งหนึ่งนอกเมือง
เวลาสามวันนี้ ลู่เซิ่งทุกวันพักผ่อน รับประทานอาหารตามปกติ สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง คล้ายกับดาบพยัคฆ์ดำที่เครื่องมือปรับเปลี่ยนปรับปรุงให้ แม้แต่ร่างกายของเขาก็มีการยกระดับขึ้นเช่นกัน
สามวันนี้ เขาไปยังถนนใกล้ๆ เหลาสุรามัจฉาทองอีกครั้ง เห็นซากไฟไหม้ดำเกรียมทั้งแถบ คนไม่น้อยยังยุ่งกับการก่อสร้างอาคารใหม่
ลู่เซิ่งเดินเลียบถนนที่เขาเคยเดินอีกรอบ ยังพบลักษณะเหมือนกับที่เขาเห็นในวันนั้น
แม้แต่ตรอกตันเส้นนั้นก็เหมือนกัน
เขามั่นใจแล้ว แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัว
ในเมื่อโลกนี้มีผีน้ำ ก็ย่อมมีอย่างอื่นได้อีก
ในเวลาสามวัน เขาคิดจะปรับเปลี่ยนพลังทำลายหยกจากคัมภีร์ที่ซื้อมาเล่มนั้นให้เป็นระดับเบื้องต้น
แต่เมื่อคิดถึงงานชุมนุมดำ ก็เลยหยุดไว้ก่อน เพราะเกรงว่าหากทำการปรับเปลี่ยนแล้วร่างกายจะกระอักเลือดได้รับบาดเจ็บ ถึงตอนนั้นก็เสียโอกาสไปแล้ว
เวลาผ่านไปรวดเร็วยิ่ง
พริบตาเดียวก็ถึงวันที่กำหนดไว้
ตอนกลางคืนประมาณหนึ่งถึงสองทุ่ม
ลู่เซิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดดำ ใส่หน้ากากเสือ นี่เป็นหน้ากากของเล่นเด็กใบหนึ่งที่ซื้อบนถนน หยาบเป็นอย่างยิ่ง
ที่ประตูคฤหาสน์ลู่มีรถม้าของตระกูลเจิ้งจอดรออยู่
เขาขึ้นไปบนรถม้า เห็นเจิ้งเสี่ยนกุ้ยนั่งรอในรถ สองมือถือขาไก่ต้มเกลือ กำลังกัดกินคำโต
เจ้าอ้วนคนนี้ใส่เสื้อดำ แต่ถึงเขาจะใส่หรือไม่ใส่ คนอื่นล้วนมองออกจากรูปร่างที่อลังการของเขาว่า เจ้าหมอนี้เป็นนายน้อยใหญ่ผู้ดูแลงานชุมนุมดำ
“มาแล้วๆ กำลังรอท่านอยู่เลย พี่เซิ่งรีบขึ้นรถ”
เมื่อทั้งสองคนนั่งเรียบร้อยแล้ว รถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป
ระหว่างทางเจิ้งเสี่ยนกุ้ยกำชับลู่เซิ่งว่า หลังจากเข้าไปในงานชุมนุมดำแล้วต้องทำอย่างไร ไม่อาจทำอะไรได้บ้าง
เรื่องราวที่ต้องให้ความสนใจแต่ละอย่างมีรายละเอียดมาก
ลู่เซิ่งจดจำไว้ทีละข้อ
ไม่ทันไรก็ออกเมืองแล้ว รถม้าออกจากทางใหญ่วกเข้าเส้นทางน้อย จากนั้นก็อ้อมไปอ้อมมาบนทางน้อยเป็นระยะทางไม่สั้น จนไปถึงชานเมือง
เดินทางต่อไป ออกนอกชานเมืองสักพัก รถม้าก็เข้าไปในหมู่บ้านที่เปลี่ยวร้างแห่งหนึ่ง หยุดลงตรงหน้าห้องศิลาแห่งหนึ่งตรงกลางหมู่บ้าน
“ที่นี่แหละ” เจิ้งเสี่ยนกุ้ยกระโดดลงจากรถ ชายฉกรรจ์ชุดดำที่เฝ้าประตูห้องศิลาเข้ามาคำนับเขา
“คนล้วนมาครบแล้วหรือ”
“ล้วนมาครบแล้ว เริ่มแสดงของประมูลอันดับแรกแล้ว”
เจิ้งเสี่ยนกุ้ยพยักหน้า รีบเร่งรัด
“พวกเรารีบลงไป เริ่มกันแล้ว”
เขาลากลู่เซิ่งเข้าไปในห้องศิลา บนพื้นกลางห้องศิลามีประตูไม้เปิดอยู่ มีบันไดที่ทอดยาวลงไปใต้ดิน
ลู่เซิ่งลงบันไดกับเจิ้งเสี่ยนกุ้ยพร้อมผู้คุ้มกันอีกสองคน พบว่าด้านล่างเป็นถ้ำที่มีเนื้อที่ค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ภายในถ้ำถูกตกแต่งเป็นอย่างดี
ตรงกลางเป็นห้องโถงที่ใหญ่มาก บนกำแพงหินรอบๆ แบ่งเป็นห้องปีกกลุ่มหนึ่งรายรอบอยู่ มองดูเหมือนเป็นถุงที่แขวนอยู่บนกำแพง
คนส่วนหนึ่งนั่งกระจายอยู่ในห้องโถงใหญ่ ในห้องปีกรอบๆ ไม่มีแสงไฟ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใช้งาน
“สถานที่นี้ มีโครงสร้างใหญ่โตมาก” ลู่เซิ่งทอดถอนใจ เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง
“เหอะๆ พวกเราก็ค้นพบสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญเช่นกัน” เจ้าอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากด้านหลังห้องโถงใหญ่เขาพาลู่เซิ่งเข้าไปนั่งตำแหน่งแถวหน้าสุด
คนที่เข้าร่วมงานชุมนุมดำมีแค่สิบกว่าคน ล้วนแยกย้ายนั่งบนที่นั่งด้านหน้าสุดของห้องโถงใหญ่
บุรุษผอมสูงปิดบังหน้าตาคนหนึ่งยืนอยู่บนแท่น กำลังแนะนำคุณสมบัติสินค้าประมูลเสียงดัง
ด้านข้างเขายืนด้วยคนแคระสองคน ล้วนสวมชุดปักลายสีเขียวออกแดง ในมือถือจานสำริดใบหนึ่ง ด้านในวางกระบี่สั้นที่มีรอยสนิมเป็นจุดๆ เล่มหนึ่ง
“กระบี่สั้นโบราณที่กระจายออกมาจากรัฐมหาเกียรติ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นอาวุธที่ท่านต้วนเฟิ้งจื่อสร้างขึ้นในสมัยโบราณ ด้านบนสลักอักขระโบราณของรัฐมหาเกียรติไว้ ต่อให้เป็น…โอ้! แขกหมายเลขสี่เสนอราคาหนึ่งพันตำลึง!
“ยังมีราคาสูงกว่านี้หรือไม่! มีราคาสูงกว่านี้หรือไม่!”
บุรุษบนแท่นตะโกนเสียงดัง ท่าทางกระตือรือร้นยิ่ง
ลู่เซิ่งกับเจิ้งเสี่ยนกุ้ยนั่งลงบนที่นั่งทางซ้าย
ที่นั่งที่นี่เรียงกันเป็นแถว ทำขึ้นจากหินสีขาว นั่งลงไปรู้สึกเย็นยะเยือก ไร้กลิ่นไอมนุษย์
เจ้าอ้วนที่นั่งอยู่ด้านข้างเขา ยื่นศีรษะเข้ามากระซิบ
“ของที่ท่านต้องการเป็นชิ้นที่ห้า เป็นชิ้นรองสุดท้าย”
ลู่เซิ่งพยักหน้า ไม่พูดอะไร
กระบี่สั้นบนแท่นเล่มนั้นคล้ายขุดออกจากดินมาได้ไม่นานเท่าไหร่ คาดว่าคงได้มาจากการขุดสุสาน
ต่อจากนั้น มีคนไม่น้อยแข่งราคากัน เวลาชั่วครู่เดียว ราคาประมูลกระบี่สั้นก็พุ่งไปที่หนึ่งพันแปดร้อยตำลึง
ลู่เซิ่งเมื่อได้ยิน หัวใจก็เต้นรัว นี่เท่ากับเกือบสองเท่าที่เขาใช้จ่ายในหนึ่งเดือนแล้ว
เขาไม่มองการแข่งประมูลราคาบนแท่นอีก แต่เพ่งความสนใจไปบนร่างกายแขกที่อยู่รอบๆ
แขกในงานชุมนุมดำส่วนใหญ่พกพาอาวุธกันทุกคน มีทั้งอาวุธสั้นและยาว
ส่วนใหญ่สวมอาภรณ์ดำทั้งหมด แต่มีข้อยกเว้นบางคน
ในแขกทั้งหมดสิบกว่าคน มีสามคนไม่อำพรางใดๆ
คนหนึ่งเป็นชายชราผมแดงแบกดาบใหญ่ ใส่เกราะสีเหลืองแนบตัว
อีกคนเป็นคนหนุ่มผอมแห้ง ปากแหลมแก้มลิง ต่ำเตี้ยยิ่งคนหนึ่ง เขามัดถุงหนังสีดำสองใบไว้ที่เอว ถุงหนังโป่งออกมา ไม่ทราบว่าบรรจุอะไรไว้
คนที่สาม เป็นคนที่ดึงดูดสายตาที่สุด
หรือจะกล่าวว่าเป็นคนคู่หนึ่ง
เป็นหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี
บุรุษคล้ายเป็นคนคุ้มกัน สวมชุดรัดรูปดิ้นเงิน พกกระบี่ยาวที่เอว สีหน้าราบเรียบ มีแค่ตอนมองไปยังสตรีเท่านั้น บนใบหน้าค่อยเผยความอบอุ่นสายหนึ่งออกมา
สตรีสวมกระโปรงดำทั้งตัว แตกต่างจากกระโปรงยาวของสตรีธรรมดาในยุคโบราณ
นางใส่กระโปรงแนบเนื้อ เหมือนชุดกระโปรงเข้ารูปบนโลกปัจจุบัน
ทั่วทั้งตัวจากบนถึงล่างมีแค่ชุดกระโปรงแนบเนื้อชุดเดียว
สตรีผู้นี้มีรูปร่างเย้ายวน ช่วงขาเรียวยาว เอวคอดกิ่ว
ลู่เซิ่งอดมองไปยังใบหน้าสตรีนางนี้ไม่ได้
สันจมูกโด่งยิ่ง สองตาอ่อนหวาน เป็นประกาย ชุ่มฉ่ำ ให้ความรู้สึกยิ้มอยู่ตลอดเวลา
ผมยาวประบ่า ดำนุ่มสลวย สะท้อนแสงเงางาม
‘ใช้ทักษะโฟโต้ช็อปแต่งรูปยังสู้ไม่ได้เลย’
ลู่เซิ่งกล่าวชมเชยในใจ
สตรีนางนี้เพียงมองดูก็รู้ว่าเป็นคนมีความเป็นมา งดงามเช่นนี้ยังกล้าเผยโฉมในงานชุมนุมดำ มีแค่คนที่เชื่อมั่นในตัวเองที่สุดถึงจะกล้าทำเช่นนี้
“คนผู้นั้นคือตวนมู่หว่าน” เจ้าอ้วนเห็นลู่เซิ่งสังเกตสตรีนางนั้น จึงเขยิบเข้ามาใกล้กระซิบแนะนำ
“แต่ข้าไม่แนะนำให้ท่าน ทำให้นางสนใจ สตรีนางนี้ดุร้ายยิ่ง!”
“ดุร้ายหรือ ดุร้ายอย่างไร”
ลู่เซิ่งประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่ได้มีความคิดอย่างใดเลย เพียงแค่อยู่ๆ อีกฝ่ายสะดุดตาไปหน่อย จึงมองพิจารณาอยู่นาน
เจ้าอ้วนยิ้มๆ มองสินค้าประมูลชิ้นที่สองที่เริ่มแล้วบนแท่น
“ตวนมู่หว่านเป็นคนที่เข้าเมืองเก้าประสานมาเมื่อสองเดือนก่อน ว่ากันว่าเป็นคนที่ติดตามคณะชุมนุมการค้ากลุ่มหนึ่งเข้ามา
“นายบ่าวสองคนเข้าร่วมชุมนุมการค้าตามลำพัง มาไกลขนาดนี้ ไม่รวบรัดเป็นอย่างยิ่ง”
“ไม่รวบรัดจริงๆ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“หนำซ้ำสตรีนางนี้เพราะหน้าตางดงาม พอมาถึงเมืองเก้าประสานก็เชยชมบุปผาเหยียบย่ำใบหญ้า คุณชายหล่อเหลาไม่น้อยล้วนถูกนางล่อลวง ผลลัพธ์ท่านทายดูว่าเป็นอย่างไร” เจ้าอ้วนส่ายหน้าถอนใจ
“เป็นอย่างไร”
ลู่เซิ่งตอนนี้ถูกสะกิดความสงสัย จึงถามไปตามน้ำ
“พวกคุณชายล้วนถูกหลอกจนหัวหมุน สุดท้ายก็ตีกันเอง มีคนไม่น้อยบาดเจ็บ ถึงตายไปก็หลายคน” เจ้าอ้วนจุ๊ปาก
“ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกที่ได้รับบาดและเจ็บพิการยังคงคิดถึงสิ่งดีๆ ของสตรีนางนี้ แต่พริบตาเดียวนางก็ลืมคนอื่นไปหมดสิ้น”
ลู่เซิ่งหยีตา จิตใจสั่นระริก เรื่องนี้เขาเคยได้ยินมา คิดไม่ถึงว่าเพราะสตรีนางนี้ คนเหล่านั้น บาดเจ็บพิการแล้วยังนึกถึงอีกฝ่าย นี่มิใช่แค่ใช้แค่คำว่างดงามจะอธิบายได้แล้ว
เขาพลันติดป้ายอันตรายระดับสูงสุดให้สตรีที่ชื่อตวนมู่หว่านนางนี้
สตรีที่สามารถหยอกล้อคนจำนวนมากจนหัวปั่นได้ขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่มีความฉลาดทางอารมณ์สูงสุด ก็ต้องมีความสามารถพิเศษ ตัวละครเช่นนี้พยายามอยู่ให้ห่างเป็นดีที่สุด
เขาเพ่งความสนใจไปที่การประมูลบนแท่น
เวลานี้ถึงรอบประมูลสินค้าชิ้นที่สี่แล้ว
เป็นเกราะหนังครึ่งตัวสีเหลืองทอง ชิ้นหนึ่ง
“เกราะหนังชิ้นนี้ มีชื่อว่าเกราะหมาป่าน้ำแข็ง เอาหนังหมาป่าขาวที่ทุ่งน้ำแข็งหญ้าขาวมาซ้อนกันแล้วฟอกขึ้นมา จากหนังสิบเก้าชั้นหลังจากฟอกแล้วก็บางเท่ากับเหรียญทองแดง
“ระดับการป้องกันอาวุธไร้คม ดาบและกระบี่เหนือกว่าเกราะหนังทั่วไป แทบเทียบได้กับสวมเกราะที่ถักด้วยโซ่ชิ้นหนึ่ง”
คนชุดดำที่แนะนำสินค้า สาธยายคุณสมบัติเกราะหนังชิ้นนี้เสียงดัง
“ราคาเริ่มประมูล สองร้อยตำลึง!”
คนที่อยู่เบื้องล่างยังไม่มีใครเคลื่อนไหว
พิธีกรก็ไม่ว่าอะไร เริ่มให้คนแคระคนหนึ่งกางเกราะหนังออก ตนเองชักกระบี่สั้นเล่มหนึ่งออกมา แทงใส่ขอบเกราะหนังอย่างรุนแรง
ปึก
เสียงทึบดังขึ้น กระบี่สั้นไถลออก บนเกราะหนังมีแค่รอยถากเล็กๆ จุดหนึ่ง
“สามร้อยตำลึง!”
เมื่อเห็นดังนั้น เริ่มมีคนเปิดปากเสนอราคาทันที
“สี่ร้อยตำลึง!”
“หกร้อยตำลึง!”
ระดับราคาบนแท่นสูงขึ้นเรื่อยๆ ลู่เซิ่งเห็นเกราะหนังชิ้นนี้ ในใจหวั่นหวั่นอยู่บ้างเช่นกัน เกราะหนังแบบนี้เบาและคล่องตัว สะดวกสบายกว่าเกราะโลหะ ไม่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหว ถ้าพลังป้องกันเหมือนกับที่แนะนำ เช่นนั้นก็เป็นของดีชิ้นหนึ่งอย่างแท้จริง
เขามีความคิดจะเสนอราคาประมูล แต่เห็นราคาพริบตาเดียวก็พุ่งถึงหนึ่งพันตำลึง จึงได้แต่อดกลั้นยอมแพ้ เป้าหมายที่แท้จริงของเขาเป็นคัมภีร์ลับที่อยู่ในรายการถัดไปเล่มนั้น
ไม่อาจเสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็ก
เกราะหนัง สุดท้ายแล้วถูกชายฉกรรจ์ผมแดงที่แบกดาบผู้นั้นประมูลได้ไป
จากนั้น ก็เป็นของชิ้นรองสุดท้าย
คัมภีร์ลับกำลังภายใน
……………………………………….