ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 80 หมู่บ้านโบราณ (2)
“ไม่เป็นไร ข้ารอได้” เฉินอวิ๋นซีกล่าวอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งเพ่งมองนาง พริบตานี้หวั่นไหวบ้างจริงๆ แล้ว แต่นึกถึงเส้นทางที่ต้องเดินในภายหลัง เขาก็ข่มใจไว้
“ไม่ต้องรีบ ท่านอายุยังน้อย ภายหลังจะรู้เองว่าการเลือกข้าไม่ใช่เรื่องดีสำหรับท่าน” เขาหมุนตัวไป ไม่พูดมากอีก
“ข้ากลับก่อนแล้ว ท่านกลับไปตรองดีๆ อย่าได้ทำให้ตัวเองเสียใจในภายหลัง” เขาโบกมือรีบจากไป อยู่ต่อไปไม่ทราบว่าเฉินอวิ๋นซีจะกระทำเรื่องเหนือความคาดหมายอันใดอีก
เฉินอวิ๋นซีกัดฟันบีบกล่องแน่น มองเงาหลังที่ห่างไปของลู่เซิ่ง ในที่สุดก็มีน้ำตา
นางทำเท่าที่ทำได้แล้ว แต่สุดท้ายยังคง…
ลู่เซิ่่งมุ่งหน้ากลับบ้าน ถึงตอนเย็น จิตใจยังซับซ้อนอยู่บ้าง สตรีอย่างเฉินอวิ๋นซีถ้าเป็นชีวิตก่อน ก็เป็นคู่ชีวิตดีเยี่ยมที่น่าถวิลหาจริงๆ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน
จนกระทั่งกินอาหารเย็นเสร็จ เขาค่อยๆ ใจเย็น กลับเข้าห้องนอนเริ่มฝึกฝนปราณภายใน
นับตั้งแต่ฝึกฝนวิชาลมปราณแดงฉาน และสู้กับกงซุนจางหลาน เขาก็เปลี่ยนถ่ายพลังวิชาโลหิตพิฆาตทั้งหมดเป็นวิชาลมปราณแดงฉานแล้ว เทียบเท่าปราณแดงฉานระดับสี่
หลังจากยกระดับวิชาหยินหยางกระเรียนหยกถึงระดับสี่ เขาฝึกฝนมานานขนาดนี้ เป็นเวลายกระดับวิชาลมปราณแดงฉานแล้ว
‘ดีปบลู’
ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยน มองกรอบด้านบน
วิชาโลหิตพิฆาตหายไปโดยสิ้นเชิง ที่มาแทนที่คือวิชาลมปราณแดงฉานระดับสี่
[วิชาลมปราณแดงฉาน: ระดับสี่ ผลพิเศษ: พิษอัคคี แรงกระแทก จุดไฟ]
‘เทียบกับวิชาโลหิตพิฆาต มีผลพิเศษแรงกระแทกเพิ่มขึ้น นี่เพิ่งระดับสี่เอง สมกับเป็นวิชาเดินลมปราณลมปราณขั้นสุดยอด และวิชากำลังภายในอันดับหนึ่ง” ลู่เซิ่งพอใจ พลังยุทธ์ของวิชาโลหิตพิฆาตหมดไปแล้ว สิ่งที่มาแทนคือวิชาลมปราณแดงฉานระดับสี่ พอดีที่ตอนนี้อาการบาดเจ็บหายดี ปรับร่างกายเรียบร้อยแล้ว สมควรยกระดับพลังฝึกปรืออีกขั้นหนึ่ง
‘วิชาโซ่เก้าสินธุจำเป็นต้องฝึกให้สำเร็จ หลังใช้วิชาหยินหยางกระเรียนหยกหมดแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปลอง ดูว่าจะเข้าสู่ระดับเบื้องต้นของวิชาแข็งกร้าวนี้ได้ไหม’ ลู่เซิ่งกำหนดแผนการในใจเสร็จ สายตาก็อยู่บนกรอบวิชาลมปราณแดงฉาน
เขาหยุดอยู่ในระดับผนึกจิตมานาน พลังปลอดโปร่ง สำนึกปลอดโปร่ง ผนึกจิตแบ่งเป็นสาม หกและเก้าระดับ สามารถฆ่ากงซุนจางหลานได้ ความจริงเขาก้าวเข้าสู่ระดับพลังสูงสุดแล้ว
ภายหลัง เป็นจุดสูงสุดที่ประมุขพรรคเฒ่าเคยพูดถึง เอกะฟ้า
ผนึกรวมพลังกาย ปราณ จิตในร่างเป็นจุดเดียว หลอมรวมในระดับสูง กำจัดสิ่งเจือปน รักษาแก่นแท้ ค่อยป้อนกลับสู่กายเนื้อ นี่เป็นเทพนิยายที่เพียงเล่าลือในยุทธภพ
‘เอกะฟ้าต้องเกี่ยวข้องถึงขอบเขตจิตใจที่ลี้ลับอัศจรรย์ เราไม่มีเงื่อนงำ สิ่งที่ทำได้คือสั่งสมพลังยุทธที่แข็งแกร่งพออย่างต่อเนื่อง การเปลี่ยนแปลงเชิงจำนวนก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณสมบัติ ต่อให้เราไม่ใช่ขอบเขตเอกะฟ้า ขอแค่พลังยุทธ์สูงถึงระดับหนึ่ง เชื่อว่าเอกะฟ้าก็สู้เราไม่ได้!’
หลังจิตสำนึกกดปุ่มปรับเปลี่ยน เครื่องมือปรับเปลี่ยนก็กะพริบเล็กน้อย
‘เพิ่มวิชาลมปราณแดงฉานถึงระดับห้า’ ลู่เซิ่งคิดในใจ
เครื่องมือปรับเปลี่ยนสั่นไหว จางลงเล็กน้อย รอจนชัดขึ้น วิชาลมปราณแดงฉานก็เปลี่ยนจากระดับสี่เป็นระดับห้า
กระแสความอุ่นที่อ่อนโยนและหยาบใหญ่สายหนึ่งค่อยๆ หมุนในทรวงอกลู่เซิ่ง หลังจากหมุนเก้าครั้งก็พุ่งไปยังท้องน้อย
ฟู่ว…
ลู่เซิ่งร่างสั่น รู้สึกว่ากระแสความอุ่นกระจายจากท้องน้อยไปทั่วร่างในพริบตา
มองดูเครื่องมือปรับเปลี่ยนอีกครั้ง
[วิชาลมปราณแดงฉาน: ระดับห้า ผลพิเศษ: เสริมพิษอัคคี แรงกระแทกสองชั้น เสริมจุดไฟ]
‘สำเร็จแล้ว!’ ลู่เซิ่งสัมผัสวิชาหยินหยางกระเรียนหยก ถูกใช้หมดสิ้น คาดว่ามีไม่มากพอ ส่วนที่เหลือมีกายเนื้อเสริม
‘ร่างกายอ่อนล้าอยู่บ้าง สมควรสิ้นเปลืองมากไป แค่กๆ…’ อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็ไอ รู้สึกว่าคอแห้งยิ่ง
เขารีบลุกขึ้น หาตู้เล็กๆ ใบหนึ่งในตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชัก หยิบขวดหยกสีดำใบหนึ่งออกมาจากด้านใน เทยาลูกกลอนกลมๆ สีม่วงดำเม็ดหนึ่งออกมากิน
‘หวังว่าจะได้ผล’ สิ่งนี้คือยาลูกกลอนบำรุงที่ใช้บุปผาพฤกษ์โลหิตเป็นวัตถุดิบหลัก หลังจากปรับปรุง ก็กลายเป็นยาล้ำค่าสำหรับบำรุงหยินเป็นหลัก
หลังจากกินยา ครู่หนึ่งลู่เซิ่งก็รู้สึกว่าความร้อนแห้งบนร่างบรรเทาลงส่วนหนึ่ง
‘หยินที่ปอดเสียหาย ตอนนี้ไม่ระวังนิดเดียวก็ไอ’ ถอนใจคำหนึ่ง เขารู้ว่าในระยะเวลาสั้นๆ ร่างกายไม่อาจปรับเปลี่ยนวิทยายุทธมั่วๆ ได้อีก รอสักพักหนึ่งค่อยใช้ใหม่
กลับถึงบนเตียงปรับลมหายใจพักหนึ่ง เกือบหนึ่งก้านธูป ลู่เซิ่งค่อยลืมตาขึ้น ถอนใจยาวคำหนึ่ง
ตั้งแต่มาถึงโลกนี้จนถึงวันนี้ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ในเวลาช่วงนี้เขาไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่น้อย ยกระดับพลังฝึกปรือของตนอย่างต่อเนื่อง ไม่เสียสมาธิ เหมือนเดินบนน้ำแข็งบาง ก้าวย่างอย่างลำบาก
แม้ตอนนี้เขานับว่าเป็นหัวหน้าค่ายพรรค นับเป็นผู้เข้มแข็งสำหรับคนทั่วไป แต่ต่อหน้าโลกภูตผีอันเป็นปริศนานั้น ยังคงหวั่นเกรง โลกใบนั้นอันตรายเกินไป ไม่ว่าสิ่งใดก็ทำให้พวกเขาคนธรรมดาวิ่งเต้นจนเหนื่อยล้า
ยิ่งอย่าว่าแต่ด้านในยังมีการดำรงอยู่อื่นๆ ที่แข็งแกร่งและมากมายกว่า ผี ตัวประหลาด ปีศาจ มาร ตระกูลขุนนาง คนกำจัดวิญญาณ ต่างแข็งแกร่งและอันตราย
ถ้าไม่ใช่เขามีเครื่องมือปรับเปลี่ยน เกรงว่าอย่างมากสุดฝึกจนแก่ค่อยมีพลังระดับผนึกจิตเหมือนประมุขพรรคเฒ่า
‘พรุ่งนี้ค่อยลองวิชาโซ่เก้าสินธุระดับต้น เวลาไม่รอคน โลกนี้มีอันตรายเยอะเกินไป มีวิชาแข็งกร้าวเพิ่ม ก็มีเงินทุนสำหรับรักษาชีวิตเพิ่ม’
วิชาแข็งกร้าวใช้ป้องกัน วิชากำลังภายนอกใช้โจมตี วิชากำลังภายในเป็นแกนกลาง นี่เป็นสามทิศทางที่ลู่เซิ่งกำหนดให้ตัวเอง
‘ยังมีวิชาลมปราณแดงฉานสิ้นเปลืองเกินไป ยกระดับวิชาหยินหยางกระเรียนหยกให้มากๆ ถึงใช้ได้
‘นอกจากนี้บุปผาพฤกษ์โลหิตนี้ก็มีผลไม่เลว ไม่แตกต่างจากตำรับยาที่กินก่อนหน้านัก ทั้งยังถูกกว่ามาก’ เงินเดือนที่เขาเพิ่งได้มา บวกกับกำไรจากกิจการก่อนหน้าของอู๋ซาน ได้ตั๋วเงินราวสามหมื่นตำลึง เพียงแค่ตำรับยาสามตำรับก็หมดแล้ว
ความสิ้นเปลืองในการฝึกวิชายิ่งมายิ่งมาก ความสิ้นเปลืองที่จำเป็นในการเพิ่มหนึ่งระดับยิ่งมายิ่งมาก ที่ตามมาคือความสิ้นเปลืองของยาบำรุงก็มากกว่าเดิมเช่นกัน
สรรพคุณยาทั่วไปไม่มีประโยชน์หากบำรุงน้อยเกินไป มีแต่วัตถุดิบยาที่คุณสมบัติยาดียิ่งเหล่านั้นจึงช่วยลู่เซิ่งในตอนนี้ได้
วัตถุดิบยาชนิดนี้มักแพงมาก นี่ทำให้ใช้เงินมากขึ้นเรื่อยๆ ตำรับยาตำรับหนึ่งมากพอจะให้ลู่เซิ่งใช้เพียงสองสามครั้ง ถ้าไม่ใช่เขามีปราณภายในเช่นวิชาหยินหยางกระเรียนหยกปรับร่างกาย ก็ได้แต่ใช้เวลาค่อยๆ จัดการผลคงค้างและอาการบาดเจ็บจากการยกระดับอย่างรวดเร็ว
หลังกินยาลูกกลอนบุปผาพฤกษ์โลหิต ลู่เซิ่งก็มองสภาพเครื่องมือปรับเปลี่ยนอีก จัดระเบียบวรยุทธ์ทั้งหมดที่ตนครอบครองในตอนนี้ จากนั้นก็ปิดแล้วพักผ่อน
…
หมู่บ้านร้าง
กลางดึก ลู่เฉินซินตื่นขึ้นมาเพราะปวดท้อง
ในความมืด เขาลืมตามองตำแหน่งของเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนที่เหลือ มืดมิดไม่เห็นอะไรเลย เพียงได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาเป็นช่วงๆ
ด้านนอกเงียบสงัด ลู่เฉินซินพลิกตัวบนเตียงดินสองสามครั้ง ก่อนขดร่าง
‘กลางวันดื่มมากไป โอย รู้แบบนี้ไม่น่าแข่งดื่มกับเจ้าเทียนหยาง’ เขาสะลึมสะลืออยากนอนต่อ แต่ว่าความปวดที่ส่งมาจากท้องน้อยทำให้เขาทนทานไม่ไหว จะเล็ดออกมาแล้ว
“เทียนหยาง? พี่ซง?” เขาเรียกสองคนที่เหลือในห้อง
สองคนไม่ขยับ ไม่ส่งเสียง นอนหลับสนิท
“ช่างเถอะ ข้าไปเอง” เขาพึมพำ หยิบสายรัดเอว ดึงประตูเบาๆ รีบเดินออกไป
กลางดึก ด้านนอกมืดสลัว มีแค่แสงจันทร์จางๆ ส่องลอดชั้นเมฆลงมาจนขมุกขมัว
‘แปลกประหลาดนัก แต่ละคนหลับสนิทขนาดนี้’
ลู่เฉินซินจนใจ ออกจากห้องในบ้านดิน กวาดมองรอบๆ สองด้านล้วนเป็นพุ่มหญ้ากับป่าที่มืดมิด มืดสนิทไม่เห็นใคร
‘ก็อย่างว่า ในหมู่บ้านร้างกลางป่าทุรกันดารแบบนี้มีคนถึงแปลก ไม่ไหว รีบจัดการจะได้กลับห้องนอน’
ลู่เฉินซินหวั่นๆ อยู่บ้าง รีบมองซ้ายขวา เดินไปยังมุมกำแพงของบ้านดิน
เขาเลือกบ้านที่ไม่มีคนอยู่ นั่งยองๆ ในร่องผนังระหว่างบ้านดินสองหลัง ปลดสายรัดเอวบนเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว
ฮือ…
ลมพัดร่องแยกระหว่างผนังสองด้านตลอดเวลา ลู่เฉินซินรู้สึกบั้นท้ายเย็น นั่งยองๆ สักพัก รู้สึกด้านหลังคล้ายมีคน
ฟุ่บ
เขารีบหันไปมอง ด้านหลังเป็นพุ่มไม้มืดสนิท เชื่อมไปในป่าเขา
‘รีบจัดการให้เสร็จจะได้กลับไปพักผ่อน!’
เขาหันกลับมารีบเบ่ง
ปลดปล่อยไปเกือบหนึ่งก้านธูป เขาค่อยๆ ลุกขึ้นเช็ดก้น เริ่มมัดเชือกรัดเอว
มัดเชือกรัดเอวเสร็จ จัดการเสื้อผ้า ลู่เฉินซินคิดกลับบ้านดินของตัวเอง
ซ่า…
ทันใดนั้น กลางหมู่บ้านแว่วเสียงเทน้ำชัดเจน
ลู่เฉินซินงงงัน
รอบๆ เงียบสงัด ดึกดื่นค่อนคืน ทั้งเป็นกลางหมู่บ้านโล่ง เสียงตักน้ำจึงชัดเป็นพิเศษ
“ดึกขนาดนี้แล้วผู้ใดลุกมาตักน้ำ น้ำตอนกลางคืนเดิมก็เย็นอยู่แล้ว อย่าว่าแต่น้ำในบ่อคงเป็นน้ำแข็ง” ลู่เฉินซินบ่นสองสามคำ เดินออกจากร่องผนัง มองบ่อน้ำที่อยู่กลางหมู่บ้านอย่างฉงน
เห็นคนเป็นเงามืดเงาหนึ่งยืนอยู่ข้างบ่อ กำลังเทน้ำจากบ่อลงไปในถัง
‘คนผู้นี้…ในขบวนเรามีคนใส่เสื้อดำด้วยหรือ’ ลู่เฉินซินมองห่างๆ รู้สึกว่าเงาหลังของคนที่เติมน้ำนี้คุ้นตาอยู่บ้าง แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
‘หรือจะเป็นอาจ้าว ไม่เหมือน อาจ้าวไม่ผอมขนาดนี้
‘หรือเป็นลุงหก ลุงหกไม่สูงขนาดนี้’
ลู่เฉินซินรู้สึกแปลกๆ มองซ้ายมองขวาไม่มีคน
ซ่า…ซ่า…ซ่า…
คนผู้นั้นเริ่มหย่อนถังน้ำลงไปอีก
ลู่เฉินซินสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ใคร่ครวญเล็กน้อย ตัดสินใจไปดูว่าดึกขนาดนี้ผู้ใดไม่หลับไม่นอน ลุกมาตักน้ำ
พอคิดแบบนี้ เขาก็ค่อยๆ เดินไปยังบ่อน้ำ
เดินไปได้สองสามก้าว เห็นคนผู้นั้นตักน้ำมาอีกถัง จากนั้น…
ซ่า…
คนผู้นั้นเทน้ำกลับไปในบ่อ
“เฮ้ย!” ลู่เฉินซินอดร้องขึ้นไม่ได้ “ดึกแล้วท่านไม่หลับไม่นอน มาตักน้ำแล้วเทลงไปอีก อยู่ว่างไม่มีอะไรทำหรือ”
เขาเร่งฝีเท้า
คนผู้นั้นไม่ขยับ เหมือนไม่ได้ยิน เริ่มแขวนถังน้ำ แล้วค่อยๆ หย่อนลงไปในบ่อ
ลู่เฉินซินเดินเข้าใกล้มากขึ้น รู้สึกหงุดหงิด เหตุใดพูดด้วยแล้วไม่หมุนตัวมา
พอยิ่งเดินยิ่งใกล้ เขาค่อยๆ รู้สึกไม่ถูกต้องบ้างแล้ว
เงาคนข้างๆ บ่อน้ำใส่เสื้อคลุมเก่าขาดสีดำสนิท ผมยาวกระจายบนหลัง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เงาหลังของอีกฝ่ายไม่เหมือนกับใครคนไหนในความทรงจำของลู่เฉินซิน แปลกหน้าโดยสิ้นเชิง แต่ว่าเขารู้สึกคุ้นเคยจากจิตใต้สำนึก ทั้งๆ ที่ในจิตสำนึก นึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าตนเคยเห็นเงาหลังนี้จากไหน แต่ก็ยังรู้สึกคุ้นเคยยิ่ง
“เกิดอะไรขึ้น ข้า…” ลู่เฉินซินขนลุกบ้างแล้ว
เขาพยายามควบคุมสองขาไม่ให้เดินต่อ แต่ไม่อาจข่มกลั้นความสงสัยในใจได้ คิดจะเดินไปดูให้เห็นชัดๆ ว่าผู้ที่ตักน้ำดึกขนาดนี้เป็นใครกันแน่
ซ่า…
น้ำถูกยกขึ้นมาอีกถัง
ลู่เฉินซินยิ่งเดินยิ่งเข้าใกล้ แต่ในใจเกิดความพรั่นพรึงที่อธิบายไม่ได้มากกว่าเดิม ใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่อย่างไรก็หยุดขาไม่ได้ ค่อยๆ เข้าใกล้คนผู้นั้น
“ท่าน… ท่านที่แท้…”
พึ่บ!
ไฟตะเกียงค่อยๆ ถูกจุด ไฟสีเหลืองจางสว่างขึ้น
“เฉินซิน? เฉินซิน?”
ลู่เทียนหยางในบ้านดินค่อยๆ วางหินเหล็กไฟในมือลง อาศัยแสงตะเกียงน้ำมันมองในบ้านดิน ฟ้าค่อยๆ สว่าง ลู่เฉินซินถึงกับไม่อยู่ด้านใน
‘เด็กน้อยผู้นี้ไปไหนแล้ว หรือแอบไปทำอะไรกับซิ่วซิ่ว’ เขาขยี้ตา หาวทีหนึ่ง
………………………………………….