ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 800 โบราณสถาน (2)
ตั้งแต่กลับมาจากสำนักนทีคราม ลู่เซิ่งก็ตั้งสมาธิหมกมุ่นไปกับการวิจัยค่ายกลข้ามมิติ
เขาเคยครอบครองเวทมนตร์อันน่าอัศจรรย์อย่างเวทมนตร์สร้างชีวิตในโลกเวทมนตร์ ทั้งยังเคยมอบชีวิตให้แก่ประตูข้ามมิติบานหนึ่ง และสั่งให้มันไล่ล่าผู้เข้มแข็งที่ตัวเองต้องการ
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงเข้าใจค่ายกลส่งตัวได้แทบทะลุปรุโปร่ง
หลังจากตั้งใจศึกษาอยู่หลายวัน ในที่สุดลู่เซิ่งกับบันไซก็ติดตั้งค่ายกลข้ามมิติแบบพิเศษที่สร้างความเสถียรให้แก่ทางเชื่อมของโลกในระดับสูงสุดสำเร็จ
จากนั้นก็ใช้ค่ายกลข้ามมิตินี้เป็นแบบจำลองหลัก ทำการสร้างอีกครั้งให้ขนาดใหญ่ขึ้น แล้วแจกจ่ายไปยังเมืองใหญ่ๆ บนดาวเงาลวงตาเป็นจำนวนมาก
หลังทำทุกอย่างนี้เสร็จ ลู่เซิ่งจึงเปิดค่ายกลจุติแล้วค่อยเข้าไป
แน่นอนครั้งนี้เขาไม่ได้จุติไปยังโลกใบเล็ก หากไปยังอีกสถานที่หนึ่ง
…
ท่ามกลางความว่างเปล่าพร่ามัวมืดมิด
ลู่เซิ่งเหินร่างไปยังส่วนลึกของความว่างเปล่า
หมอกสีแดงขมุกขมัวลอยผ่านอย่างเชื่องช้า ไม่ทราบเหาะเหินอยู่นานเท่าไหร ส่วนลึกของหมอกเบื้องหน้าพลันปรากฏป้อมปราการขนาดยักษ์ลอยอยู่
ป้อมปราการแห่งนี้ทรุดโทรมแล้ว ตัวป้อมที่เป็นทรงลูกข่างเต็มไปด้วยรูและผิวที่หลุดลอก สถานที่บางส่วนถึงขั้นหายไปเป็นบริเวณกว้าง
หลังลู่เซิ่งเห็นป้อมปราการก็เร่งความเร็วเข้าไปใกล้ ไม่นานก็ทิ้งตัวลงตรงพื้นที่ว่างด้านข้าง แล้วเดินเข้าไปด้านใน
เดินตามทางเข้าไปยังด้านในได้ระยะหนึ่ง อาศัยแสงอันเลือนรางจากไข่มุกส่องสว่าง ลู่เซิ่งก็ไปถึงโถงรักษาวิญญาณที่อยู่ตรงกลางป้อมปราการอย่างรวดเร็ว ณ สถานที่นี้เอาไว้เก็บรักษาข้ารับใช้ทั้งหมดที่ติดตามเขามาจากโลกเวทมนตร์
พึงทราบว่าป้อมปราการเงามารนี้ใช้บรรจุอสูรกับมังกรสีรุ้งที่ติดตามลู่เซิ่งมา รวมถึงระดับสูงของพันธมิตรสามเผ่าพันธุ์และพวกเทพนอกรีตที่สาบานว่าจะสวามิภักดิ์กับลู่เซิ่ง
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดในนี้เป็นผู้เข้มแข้งที่ร้ายกาจทั้งสิ้น
ถ้าขุมกำลังแบบนี้จุติไปยังโลกใบต่างๆ ได้จริงขึ้นมาจะต้องมีส่วนช่วยต่อลู่เซิ่งมหาศาลอย่างแน่นอน
หลังตรวจสอบสภาพชีวิตของเหล่าข้ารับใช้เสร็จ ลู่เซิ่งไม่พบความผิดปกติใดๆ มิติและเวลาตรงนี้ไม่มีการไหลเวียน เวลาของที่นี่แยกตัวเป็นเอกเทศ อาจกล่าวได้ว่าไม่มีนิยามทางเวลา
ดังนั้นสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในป้อมปราการนี้จึงอยู่ในสภาพหยุดนิ่งอย่างสมบูรณ์แบบ
มีแต่ลู่เซิ่งที่เป็นมายาพิศวงซึ่งสร้างโลกขึ้นเป็นของตัวเองแล้วเท่านั้นถึงจะเข้าออกได้ตามใจ
‘ถ้าหากไม่ไหวจริงๆ ก็ยังใช้ที่นี่เป็นมิติสำหรับหยุดพักชั่วคราวได้ สามารถเพิ่มคนจากดาวเงาพริบตาเข้ามาส่วนหนึ่งได้’
ลู่เซิ่งเริ่มติดตั้งค่ายกลข้ามมิติขึ้นที่นี่อย่างรวดเร็ว แต่ค่ายกลข้ามมิติตรงนี้ได้แต่อาศัยพลังของร่างหลักขับเคลื่อนเท่านั้น
ศิลาผลึกพลังงานใดๆ ไม่อาจใช้กับค่ายกลได้เมื่ออยู่ในสภาพหยุดนิ่ง
สิ่งที่ไหลเวียนได้เพียงหนึ่งเดียวมีแค่พลังงานร่างหลักของลู่เซิ่งเท่านั้น
เมื่อติดตั้งค่ายกลเรียบร้อยแล้ว ลู่เซิ่งก็ซ่อมแซมป้อมปราการคร่าวๆ
ในสภาพที่เวลาหยุดนิ่ง ไม่ว่าเขาจะใช้เวลานานเท่าไร หลังออกไปแล้วก็ผ่านไปแค่ชั่วพริบตาที่เขาเข้ามา
ดังนั้นเขาจึงติดตั้งค่ายกลที่นี่ได้อย่างใจเย็น
การปรับปรุงป้อมปราการใช้เวลากว่าสิบวัน ลู่เซิ่งใช้อัคคีอนธการหลอมละลายป้อมปราการครั้งหนึ่งเพื่ออุดช่องโหว่บนผิว จากนั้นก็ใช้วัสดุที่มีความแข็งแกร่งที่พกมาด้วยหลอมทับไปอีกชั้น
ป้อมปราการเปลี่ยนโฉมไปอย่างรวดเร็ว
หลังจัดการทุกอย่างเสร็จ ลู่เซิ่งค่อยสงบเริ่มศึกษามิติผืนนี้อย่างละเอียด
ตอนนั้นถลันเข้ามาอย่างเร่งรีบ ยังไม่ทันพิจารณาที่นี่ก็กลับโลกมารสวรรค์ไปเสียก่อน
ตอนนี้ในเมื่อต้องการใช้ที่นี่เป็นฐานทัพที่แท้จริง ก็ต้องทำความเข้าใจอายุขัยและระดับการคุกคามของมิติแห่งนี้เสียก่อน
ลู่เซิ่งออกจากป้อมปราการ เลือกทิศทางหนึ่งแล้วพุ่งออกไป
ซู่ม!
เสียงปราณปฐพีสีเหลืองแหวกอากาศที่ทุ้มต่ำสะท้อนไปมากลางมิติที่เงียบสงัดอย่างต่อเนื่อง
แสงสีเหลืองเข้มคลุมร่างลู่เซิ่งพร้อมกับเหาะเหินไปยังทิศทางหนึ่งของมิติ
ป้อมปราการที่อยู่ด้านหลังเขาเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่เห็นเค้าโครงโดยสมบูรณ์
ลู่เซิ่งเพ่งสมาธิกวาดตามองสภาพรอบข้างพร้อมกับกระจายพลังจิตวิญญาณในระดับสูงสุด
ถ้าหากเขากระจายพลังจิตวิญญาณในปัจจุบันสุดกำลัง สามารถกระจายไปปกคลุมอาณาเขตรัศมีมากกว่าร้อยล้านตารางหมี่ได้
ถ้าแค่ปกคลุมพื้นที่แนวระนาบ เขาจะปกคลุมดาวเคราะห์ได้ดวงหนึ่ง แต่หากจะสำรวจทิศทางสามมิติ หรือทิศบนล่างซ้ายขวาไม่ให้หลุดรอดสักจุด นั่นย่อมยากอย่างมหาศาล
พื้นที่มากกว่าร้อยล้านตารางหมี่ฟังดูเหมือนใหญ่ แต่หากคำนวณดูเข้าจริง เป็นขอบเขตเส้นผ่าศูนย์กลางของทรงกลมขนาดสองร้อยกว่าหมี่
ในทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางสองร้อยกว่าหมี่นี้ ลู่เซิ่งถึงขั้นควบคุมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในระดับอนุภาค
ควาร์ก[1]ได้อย่างแม่นยำเลยทีเดียว
แต่หากพื้นที่ใหญ่กว่านี้ก็ไม่อาจทำได้ แม้จะตรวจสอบพื้นผิวของพื้นที่ที่ใหญ่กว่านี้คร่าวๆ ได้ แต่ก็ไม่แม่นยำถึงขั้นนี้
ลู่เซิ่งไม่ต้องการตรวจสอบพื้นที่กว้างขนาดนั้น สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการทำความเข้าใจว่าสภาพของมิตินี้คืออะไรกันแน่ ตอนแรกเขาได้ลองประเมินแบบคร่าวๆ ดูแล้ว แต่พบเพียงฝุ่นละอองกับน้ำส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรอีก
เหาะเหินทะยานต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน ด้านหน้ายังคงมองไม่เห็นปลายทาง
ลู่เซิ่งหวนนึกถึงสภาพของที่นี่ในตอนเข้ามาใหม่ๆ ในใจคาดเดาส่วนหนึ่ง
ทว่าพอเหาะเหินตรวจสอบดู เขาก็ยืนยันการคาดเดานี้ได้จริงๆ
‘มิติแห่งนี้กำลังขยายใหญ่…’ ในที่สุดเขาก็หยุดลงด้านหน้าหมอกสีแดงขมุกขมัวผืนหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบแผ่วเบา
ด้านหลังหมอกสีแดงคือเยื่อบางเย็นเยียบและเรียบลื่นราวกับกระจก
ลู่เซิ่งออกแรงเล็กน้อย เยื่อบางไม่ขยับเยื้อน ทนทานไม่น้อย
เขาเหลียวมองรอบข้างด้านบนเยื้องไปทางขวามีหมอกสีแดงเข้มกลุ่มหนึ่ง ในหมอกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังหมุนอยู่
ลู่เซิ่งนึกเฉลียวใจ จึงเร่งความเร็วเข้าใกล้หมอกแดงกลุ่มนั้น
เขาพุ่งเข้าไปในหมอกแดง ปราณปฐพีทั่วร่างคุ้มครองร่างกายเอาไว้
หมอกแดงพลิกม้วนหมุนวนรอบตัวลู่เซิ่ง ตอนแรกหมอกหนาแน่นมาก ต่อมากลับจางลงอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ!
ทันใดนั้นหมอกโดยรอบพลันสลาย ด้านหน้าลู่เซิ่งเปิดโล่ง ราวกับพุ่งเข้ามาในมิติอีกมิติหนึ่ง
ด้านบนคือฟ้าสีขาวอมเทา ไม่มีก้อนเมฆ ไม่มีดวงอาทิตย์ มีเพียงสีเทามืดสลัว
ข้างใต้คือเมืองสีเทาอมดำที่กว้างใหญ่ไพศาล
เมืองนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ก้มมองลงไปเหมือนกับเป็นกองขยะที่เกิดจากการเอาขยะโลหะนับไม่ถ้วนมากองรวมกัน
หลายแห่งมีหนามแหลมงอกออกมาในแนวทแยง สิ่งก่อสร้างทั้งหมดสร้างขึ้นจากโลหะและก้อนหินสีดำขนาดใหญ่
ทั้งยังเห็นร่องรอยโบราณจากกาลเวลาอันเนิ่นนานจากมุมเล็กๆ บางส่วนได้
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก ที่นี่ไม่มีอากาศ แต่ว่าสัดส่วนด้านในกลับเป็นวัตถุเย็นเยียบที่มีพิษรุนแรงต่อคนธรรมดา
‘โลกที่เต็มไปด้วยไอความตายหรือ บางทีอาจเป็นซากในอดีตที่หลงเหลืออยู่ในมิติแห่งนี้ ถ้าเดาไม่ผิด มิติแห่งนี้น่าจะเป็นมิติที่เกิดใหม่หลังจากจักรวาลล่มสลาย ที่แห่งนี้อาจเป็นซากอารยธรรมที่หลงเหลือมาจากยุคสมัยก่อน’
ลู่เซิ่งดีดปราณปฐพีออกมากลุ่มหนึ่ง แล้วมองดูปราณปฐพีสีเหลืองจับตัวเป็นผลึกสีเหลืองกลางอากาศก่อนจะเริ่มเปล่งแสงสีเหลืองออกมา
จากนั้นเขาค่อยโฉบลงด้านล่าง เข้าหาเมืองสีดำที่ใหญ่โตมโหฬารแห่งนั้น
ฟู่…
กระแสอากาศจากการพุ่งลงของเขาพัดฝุ่นละอองสีดำที่อยู่บนพื้นกระจายออกไป
ลู่เซิ่งยืนอยู่กลางคฤหาสน์ ซ้ายมือคือประตูทรงซุ้มที่สูงใหญ่และประณีตบานหนึ่ง ทางขวามือมีเส้นทางกลางแจ้งที่เชื่อมต่อไปยังด้านในสิ่งก่อสร้างที่ลึกลับมืดมิด
เขาเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ก่อนจะยื่นมือไปผลักเบาๆ
แอ๊ด!
ประตูหินค่อยๆ ถูกผลักออก
กระแสอากาศที่เย็นยะเยือกพัดไปรอบข้าง หลังจากประตูถูกเปิด
ด้านหลังประตูคือโถงประชุมที่กว้างขวางงดงาม บนผนังมีรูปแกะสลักและรูปปั้นสัตว์ประหลาดจำนวนมาก
ทิศทางตรงข้ามกับประตูใหญ่คือบันไดกว้างขวางที่ทอดขึ้นไปด้านบน
รอบข้างไม่มีแสงสว่าง มีแต่ลำแสงสีขาวอมเทาไม่กี่เส้นสาดลอดผ่านเพดานที่เป็นรูโหว่ลงมา
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่า ทางขวาของบันไดเหมือนจะมีอะไรบางอย่างกำลังกะพริบอยู่ คล้ายเป็นแสงสว่างสีขาวอมเทา
เขาหรี่ตาและเดินเข้าใกล้อีกเล็กน้อย
ฟ้าว!
ทันใดนั้นก็มีเคียวสีดำเหวี่ยงมายังศีรษะของเขาอย่างรุนแรง
ลู่เซิ่งยกมือขึ้น
เคร้ง!
แขนปะทะกับเคียว ผงที่เหมือนกับฝุ่นสีดำระเบิดกระจายไปทั่ว
เคียวสีดำหายไปแล้ว
ลู่เซิ่งถอยหลังก่อนจะหลบเคียวขนาดยักษ์อีกเล่มที่ฟันมาจากทางซ้ายมือด้วยความเร็วสูง
เคียวเหวี่ยงเข้าใส่พื้น ทว่ากลับไม่ได้แตะเข้ากับผิวของพื้นเลยสักนิด หากแต่หายไปเหมือนกับภาพหลอน
“รนหาที่ตาย!” ลู่เซิ่งยื่นมือออกไป แขนปรากฏปราณปฐพีจำนวนมากไหลทะลักออกมาก่อนจะจับตัวเป็นกรงเล็บยักษ์บนผิวหนัง พร้อมกับตะปบใส่บริเวณรอบๆ อย่างรุนแรง
เพล้งๆๆ!
เกิดเสียงแตกหักติดต่อกันสี่ครั้ง ควันดำสี่กลุ่มระเบิดออกกลางอากาศ จากนั้นแสงสีขาวที่อยู่ไม่ไกลสลายหายไปเอง
ทุกสิ่งกลับมาเงียบสงัดเช่นเดิม
‘แม้แต่จิตวิญญาณของเราก็สัมผัสร่องรอยไม่ได้เหรอ...’ ลู่เซิ่งกวาดตามองซ้ายขวา ก่อนเร่งฝีเท้าเดินไปที่บันได
ขึ้นบันไดไปถึงชั้นสอง ไม้กางเขนสีเงินขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงปากบันได
ไม้กางเขนเปื้อนเลือด ขอบมีร่องรอยเก่าแก่เสียหาย ของที่เหมือนกับของเซ่นบางส่วนวางอยู่บนพื้นด้านหน้า
ลู่เซิ่งพิจารณาไม้กางเขนพร้อมกับกวาดตามองโดยรอบ
รอบข้างคือระเบียงทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีดำสนิท สองฟากของระเบียงมีประตูปิดสนิทอยู่เต็มไปหมด คล้ายกับมีห้องอยู่มากมาย
บนประตูห้องห้องหนึ่งมีแผ่นอะไรสักอย่างบางๆ เหมือนกับกระดาษติดอยู่
ลู่เซิ่งเดินเข้าไป จากนั้นก็เห็นว่าประตูของห้องที่ติดแผ่นกระดาษเอาไว้บานนี้ไม่ได้ลงสลัก เผยให้เห็นร่องแยกเล็กน้อยที่พอจะใช้มองด้านในได้
ตรงม่านหน้าต่างของห้องในร่องแยก มีสตรีร่างสะโอดสะองสวมกระโปรงสีขาวผมสีเทาเข้มคนหนึ่งหันหลังให้เขา กำลังมองไปนอกหน้าต่างไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน
ลู่เซิ่งมองเงาหลังของนาง ก่อนจะเอื้อมมือไปดึงกระดาษลงมา
บนกระดาษเขียนตัวอักษรเล็กๆ ไว้แถวหนึ่ง แต่ลู่เซิ่งอ่านภาษาที่ใช้ไม่ออก
เขาเก็บกระดาษไว้ พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้งสตรีตรงม่านหน้าต่างกลับหายไปแล้ว
เขาขมวดคิ้วและหยิบกระดาษขึ้นมาดูคุณลักษณะของมันอย่างละเอียด
‘เหมือนจะเป็นหนังอะไรสักอย่าง’
ลู่เซิ่งนึกเฉลียวใจ ถือกระดาษหนังเอาไว้ จากนั้นก็เจาะรูตรงกลางรูหนึ่ง แล้วมองผ่านเข้าไปในห้องผ่านรูตรงกลางนี้
เป็นอย่างที่คาด เมื่อมองผ่านรูเล็กเข้าไป สตรีนางนั้นยังคงยืนอยู่ตรงหน้าต่างในห้อง ลมพัดเข้ามาจากหน้าต่าง พัดชายกระโปรงของนางพริ้วไหวอย่างต่อเนื่อง
ภาพที่มองผ่านกระดาษไม่เหมือนกันหรือ
ลู่เซิ่งฉุกใจได้ ชะงักไปเล็กน้อย แล้วถือกระดาษไปตรวจสอบยังทิศทางอื่น
ตอนที่มองไปยังส่วนลึกของระเบียง เขาเห็นเด็กผู้หญิงสวมกระโปรงตัวเล็กสีดำคนหนึ่งยืนมองตนเองอยู่ที่สุดทางระเบียงอย่างเงียบๆ
มองดูจากไกลๆ นางมีผมยาวประบ่า เบ้าตาเป็นสีดำ ผิวขาวซีด มีแสงสว่างหลายกลุ่มที่ลอดออกมาจากห้องสองฟากส่องสว่างเลือนราง กลับเพิ่มความเงียบสงัดที่เหมือนมีเหมือนไม่มีขึ้นหลายส่วน
ลู่เซิ่งลดกระดาษหนังลง ระเบียงตรงหน้าพลันไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
พอถือกระดาษขึ้นอีกครั้ง เด็กสาวในระเบียงก็ยืนอยู่ห่างจากเขาด้วยระยะห่างประตูสามบานตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ ถึงกับอยู่ใกล้กับเขามาก
ครั้นลดกระดาษลง ด้านหน้ายังคงไม่เห็นอะไร จิตวิญญาณสัมผัสสิ่งใดไม่ได้
ลู่เซิ่งนิ่งไปสักพักก่อนจะหยิบกระดาษขึ้นมามองผ่านรูใหม่
เด็กสาวมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว กำลังเงยหน้ามองตนเอง รอยแตกบนผิวหนังที่อยู่ใกล้แค่คืบทำให้ทุกคนหวาดผวา
ลู่เซิ่งพลันขยับเล็กน้อย ถือกระดาษหนังมองไปที่ห้องอื่น ประตูห้องถูกเปิดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ หญิงสาวสวมกระโปรงขาวคนนั้นยืนอยู่ตรงประตูอยู่ใกล้แค่คืบเช่นกัน เบ้าตาสีดำอมเทามองตัวเองอย่างเงียบงัน
ทันใดนั้นนางก็ยิ้ม
กรี๊ด!
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องแหลมสูงน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด ลู่เซิ่งที่มองผ่านรูกระดาษเห็นหญิงสาวกับเด็กสาวพุ่งเข้าใส่แทบจะพร้อมกัน
…
สิบนาทีต่อมา
ลู่เซิ่งถือเชือกไว้ในมือเส้นหนึ่ง ปลายเชือกมัดหญิงสาวผิวขาวหนึ่งร่างใหญ่หนึ่งร่างเล็กซึ่งสลบไสลไปแล้วเอาไว้
ทั้งสองร่างอาบเลือด สองตาหลับปิดสนิท มีสีหน้าหวาดหวั่นพรั่นพรึง คล้ายกับเห็นภาพที่น่ากลัวอย่างที่สุดก่อนสลบไป ส่วนเอวและแขนขามีร่องรอยกระดูกหักจากการถูกทุบตีหลงเหลืออยู่
‘น่าจะเป็นที่นี่…’ ลู่เซิ่งมองสัญลักษณ์บนกระดาษหนัง ตามเบาะแสที่เขาเพิ่งได้มา ตัวหนังสือบนกระดาษเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง ขอแค่เจอห้องที่มีสัญลักษณ์เดียวกัน ก็จะได้รับเบาะแสของที่นี่อีกนิด
……………………………………….
[1] ควาร์ก คืออนุภาคมูลฐาน เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของสสารมีขนาดเล็กกว่าอะตอม