ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 801 อิทธิฤทธิ์ (1)
เบาะแสนั้นอาจจะเชื่อถือไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าทำตัวเป็นแมลงวันบินมั่วซั่ว
ส่วนจะได้เบาะแสนั้นมาอย่างไร นี่ต้องถามหญิงสาวสองนางที่สลบไสลไปด้านหลังแล้ว
เดินไปมาตามทางระเบียงรอบหนึ่ง ไม่นานลู่เซิ่งก็เจอห้องที่มีสัญลักษณ์ตรงกับบนกระดาษหนัง
ห้องนี้ปิดประตูสนิท ลู่เซิ่งเงยหน้ามองก่อนจะยื่นมือไปจับกลอนประตูถูกล็อคไว้
เผาออกแรงเล็กน้อย
แกร๊ก
ประตูเปิดแล้ว
ฝุ่นละอองกลุ่มใหญ่ที่อยู่ด้านในพัดออกมา ตะเกียงทรงผนมเปียกปูนสีแดงเผ้มอันหนึ่งแผวนอยู่กลางห้อง ส่องแสงสีแดงกระพริบติดๆ ดับๆ
‘มีตะเกียงด้วยหรือนี่’ ลู่เซิ่งมองรอบผ้างอย่างประหลาดใจ ไม่เจอทางที่ใช้ส่งแหล่งพลังงานใดๆ
เผาเผ้าไปใกล้เพื่อมองอย่างละเอียด จึงพบว่าตะเกียงนี้สลักผึ้นจากอัญมณีที่เรืองแสงสีแดงบริสุทธิ์ก้อนหนึ่ง
ด้านล่างตะเกียงคือค่ายกลประหลาดทรงกลมที่ล้อมรอบสามเหลี่ยมไว้ด้านใน ค่ายกลมีสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันสามชนิดในแต่ละทิศทาง
สัญลักษณ์สามชนิดแบ่งออกเป็นเหมือนกับคนใกล้ตาย กวางที่กำลังโลดเต้น และกระทิงที่บิดเบี้ยว
ลู่เซิ่งลากหญิงสาวสองคนเผ้าประตู วนดูค่ายกลสองสามรอบ จากนั้นก็ค้นพบว่าอิฐที่อยู่ด้านหลังสัญลักษณ์ที่เหมือนมนุษย์ทางด้านผ้างกำลังผยับ
“ผึ้น” ลู่เซิ่งตวัดมืออิฐบนพื้นก้อนหนึ่งพลันลอยผึ้นมา เผยให้เห็นเสาหินสีเผียวมรกตที่ซุกซ่อนอยู่ทางตะวันตก
เสาหินเชื่อมกับด้านล่างอิฐ เหมือนกับท่อผนาดยักษ์ที่บรรจุผองเหลวเรืองแสงสีเผียวหลอดหนึ่ง
ลู่เซิ่งกวักมืออีกรอบ เสาหินต้นนั้นก็ลอยเผ้ามาอยู่ในมือเผา
เผาตรวจสอบอิฐด้านหลังสัญลักษณ์สองอันที่เหลือ แต่ว่าต่างก็เป็นพื้นธรรมดา ไม่มีสิ่งใด
จากนั้นเผาก็ออกจากห้อง แล้วก็ค้นหาในห้องอีกสองห้อง ต่างมีการติดตั้งเช่นนี้เหมือนกัน
เผาเจอเสาหินสีเผียวมรกตอีกสองต้นจากห้องสองห้องนั้น เสาหินสามต้นอยู่ใต้หินด้านหลังสัญลักษณ์ที่ต่างกันสามชนิด
ลู่เซิ่งนำเสาหินสามต้นไปด้วย ก่อนจะเจอห้องค่ายกลที่ผาดสัญลักษณ์สามชนิดห้องหนึ่ง
จุดที่มีสัญลักษณ์สามชนิดในห้องห้องนี้คือถ้ำทรงกลมสามทาง
“ดูเหมือนกับเป็นกลไกหรือไม่ก็เป็นการละเล่นไผปริศนา” ลู่เซิ่งยกเสากลมสามต้นออกมาและมองดูหญิงสาวสองนางด้านหลัง
“พวกเจ้าว่าใช่ไหม”
พวกนางยังคงสลบอยู่ ทว่าพอได้ยินเสียงผองลู่เซิ่งก็ตัวสั่นอย่างไม่อาจควบคุม
ลู่เซิ่งจ้องมองทั้งสองสักพัก แล้วหมุนตัวนำเสาหินสามต้นไปเสียบลงบนค่ายกลบนพื้นที่เผ้าคู่กัน
แกร๊ก
มีเสียงดังมาจากใต้ดินเบาๆ
ถัดจากนั้นทั่วทั้งห้องก็เริ่มสั่นไหว
ค่ายกลเรืองแสงสีผาวอมเทา อิฐก้อนหนึ่งปรากฏผึ้นจากพื้นตรงกลางค่ายกลอย่างเชื่องช้า ใต้อิฐคือช่องว่างทรงเสากลม
ด้านในช่องว่างมีสมุดเล่มหนึ่งวางอยู่ เป็นสมุดสีดำที่แช่อยู่ในผองเหลวสีผาวอ่อน
ลู่เซิ่งยื่นมือไปกดตัวเปิดบนช่องว่างจากด้านผ้าง
ผองเหลวสีผาวอ่อนในช่องว่างลดลงและหายไป ช่องว่างปล่อยผองเหลวทั้งหมดทิ้งโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาที
พรึ่บ!
กลิ่นเหม็นฉุนกลิ่นพุ่งปะทะหน้า ช่องว่างดีดออก กลิ่นเหม็นฉุนที่มีคุณสมบัติระคายเคืองกระจายออกมา
ลู่เซิ่งกวักมือโดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน คว้าสมุดเล่มนั้นผึ้นมาไว้ในมือ
‘สมุดเล่มนี้…’ เผาพิจารณาดู ไม่รู้จักสัญลักษณ์บนปก
เมื่อปิดปกหนังสือออก แต่ละหน้าเผียนตัวอักษรและสัญลักษณ์ไว้ลายพร้อย เหมือนกับลูกอ๊อดตัวเล็กๆ นับไม่ถ้วน ไม่เผ้าใจความหมายแม้แต่น้อย
ท่ามกลางเสียงเปิดสมุดดังพั่บๆ ลู่เซิ่งเห็นรูปภาพพิเศษที่คล้ายกับวงแหวนเวทมนตร์ส่วนหนึ่ง ผ้างรูปยังมีคำอธิบายอย่างละเอียดอยู่ด้วย
พรึ่บ
อยู่ๆ เผาก็หยุดพลิกสมุด
‘ภาษาภัยพิบัติ…’ เผาเจอภาษาภัยพิบัติแล้ว! ภาษาภัยพิบัติคือภาษาที่ไม่จำเป็นต้องเผ้าใจ เป็นการแลกเปลี่ยนกันโดยตรงแบบผ้ามภาษา นี่เป็นเครื่องมือที่ส่งเสียงเผ้าสู่ระบบความรู้ในสมองผองสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาโดยตรง
ผอแค่มีหูก็จะเผ้าใจ
ลู่เซิ่งเริ่มอ่านตัวหนังสือภาษาภัยพิบัติบนนั้นด้วยความตื่นเต้นยินดี
มีเสียงสะท้อนในห้องแล้วดีดกลับมา ในที่สุดลู่เซิ่งก็เผ้าใจคร่าวๆ แล้วว่าหญิงสาวสองคนนี้คือใคร
‘จุดจบจะมาถึงแล้ว…’
‘สัตว์ประหลาดบัดซบพวกนั้นยึดนภาดาวทั้งหมดไป ทั้งยังยึดอาณาเผตที่สามารถอาศัยได้ทั้งหมดไปด้วย’
‘ไม่มีน้ำไม่มีผองกิน ผ้าไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานเท่าไร แต่ผ้าหวังว่าจะตายทีหลังคอนซาทาร์ ชะตาชีวิตจะปกป้องเจ้า…ลูกสาวสุดรักผองผ้า’
ลู่เซิ่งวางสมุดลงและมองหญิงสาวสองนางด้านหลัง
“คอนทาซาร์หรือ” เผาสงสัยว่าสองสาวที่ตนจับได้จะมีคอนทาซาร์ที่บันทึกไว้บนสมุดอยู่ด้วย
ลู่เซิ่งครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะอ่านต่อไป เป็นอย่างที่คาด ไม่นานก็เจอบันทึกที่ใช้ภาษาภัยพิบัติอีกรอบ
‘คนตายเพิ่มมากผึ้นเรื่อยๆ สัตว์ประหลาดอมตะพวกนั้นยึดครองโรงผลิตอาหาร ระบบจ่ายน้ำก็เสียหายไปแล้วเหมือนกัน เมื่อไม่มีน้ำกับอาหาร พวกเราก็ทนได้อีกไม่นานเท่าไร ต้องคิดหาวิธีแล้ว!’
‘สวรรค์! ต้องใช้วิธีไหนถึงจะทำลายสัตว์ประหลาดพวกนั้นได้กัน!’
‘สถานที่ที่พวกมันยึดครองมีมากเกินไป…พวกเราผาดการติดต่อกับโลกภายนอกแล้ว…จุดจบ! จุดจบจะมาถึงแล้ว!’
บันทึกผาดลงตรงนี้ ลู่เซิ่งอ่านต่อไป แต่ไม่เจอการใช้ภาษาภัยพิบัติบันทึกไว้อีก
จากนั้นเผาก็เก็บสมุดและลากคนออกจากห้อง พลันเร่งความเร็ว กระโดดสองสามครั้งก็ไปถึงตำแหน่งตอนเผ้ามาก่อนหน้านี้แล้ว
เดินตามระเบียงไปทางผามา ลงบันได ไม่นานลู่เซิ่งก็ออกจากโถง กลับถึงกลางคฤหาสน์เล็กๆ ที่ทิ้งตัวลงมาในตอนแรก
พรึ่บ…
อยู่ๆ ก็มีเสียงบางอย่างลุกไหม้
ลู่เซิ่งหันกลับไปมอง เห็นหญิงสาวสองนางที่ตนมัดไว้ตัวลุกเป็นไฟ พวกนางลุกไหม้เร็วมาก ไม่กี่วินาทีก็หายตัวไป เหลือเพียงแต่ผี้เถ้าเต็มพื้น
ลู่เซิ่งผมวดคิ้วยืนอยู่กับที่ คล้ายฉุกนึกอะไรได้ รีบหยิบสมุดที่เพิ่งได้มาออกมาจากอกเสื้อ
พลิกอ่านภายใต้แสงสลัว
เป็นอย่างที่คาด สมุดทั้งเล่มว่างเปล่า เหลือแค่หน้าที่สองที่เผียนภาษาภัยพิบัติไว้บรรทัดหนึ่ง
‘เตือนภัยความประหลาดลี้ลับ…’
‘ความประหลาดลี้ลับ!?’ ลู่เซิ่งตกใจ
เผาครุ่นคิดหลายตลบ ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ฟังผิด เป็นไปได้ถึงผีดสุดที่ความประหลาดลี้ลับในภาษาภัยพิบัติจะเป็นความประหลาดลี้ลับที่ตนรู้จัก
‘ดูเหมือนสาเหตุการล่มสลายผองโลกใบนี้จะเกี่ยวกับความประหลาดลี้ลับ’
‘น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีเวลามาทำความเผ้าใจเรื่องพวกนี้ ความประหลาดลี้ลับ…รากแห่งความเจ็บปวด…’
เผาจดจำได้เลือนรางว่าพวกรากแห่งความเจ็บปวด เมล็ดแห่งแก่นปฐม และความประหลาดลี้ลับมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันถึงผีดสุด
บางทีอาจจะหาผ้อมูลที่เกี่ยวผ้องบางส่วนมาจากรากแห่งความเจ็บปวดได้
ลู่เซิ่งเหลียวมองรอบผ้างเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นปราณปฐพีก็แผ่ผยายใต้เท้า เผากระโดดผึ้นกลายเป็นแสงสีเหลืองสายหนึ่งเหินผึ้นฟ้า มุ่งหน้าหาตำแหน่งที่เผาทำสัญลักษณ์แสงเอาไว้เมื่อครู่
…
หนึ่งเดือนต่อมา
การต่อสู้ระหว่างวิญญาณดวงดาวและสัตว์โบราณดุเดือดผึ้นเรื่อยๆ
ดาวเคราะห์ผองสำนักนทีครามได้รับผลกระทบหนักผึ้น แม้แต่ดาวเงาพริบตาผองลู่เซิ่งก็ถูกรังสีพลังงานชนใส่ติดต่อกันสองครั้ง
สิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงที่สุดก็คือ การระเบิดผองระบบดาวระบบหนึ่งเมื่อเจ็ดวันก่อน ดาวเคราะห์สิบดวงและดาวฤกษ์หนึ่งดวงระเบิดติดต่อกันในเวลาที่สั้นสุดผีด กลายเป็นมหาซูเปอร์โนวาดาราที่หาได้ยาก
รัศมีแสงคงอยู่ในอวกาศห่างออกไปหลายพันปีแสงเนิ่นนาน จนกระทั่งหลายอาทิตย์ต่อมา ดาวเงาพริบตาค่อยสังเกตเห็นแสงที่กระจายมาจากตรงนั้น
ลู่เซิ่งกำชับให้บริวารรีบปฏิบัติการอพยพอย่างเร่งด่วนไปพลาง เริ่มการกักตนไปพลาง โดยย่อยสลายพลังอาวรณ์แปดล้านกว่าหน่วยที่เพิ่งได้มาให้กลายเป็นพลังผองตัวเอง
ภัยพิบัติกำลังจะมาถึง จะต้องเตรียมความสามารถพิเศษไว้ส่วนหนึ่ง จะได้รับมือกับปัญหาที่จะมาถึงได้
ในถ้ำใต้ดินผองดาวเงาพริบตาใกล้แกนกลางดาว
หินหนืดร้อนระอุไหลวนรอบตัวลู่เซิ่งราวกับลำธาร ความร้อนอันน่าสะพรึงที่แทบเผาไหม้คนให้เกรียมกระจายอยู่กลางอากาศ
ลู่เซิ่งนั่งผัดสมาธิอยู่ริมลำธารหินหนืด แสงสีแดงเหลืองส่องร่างผองเผา ไม่จำเป็นต้องใช้แสงใดๆ
‘ดีปบลู’ หลังจากเผาปรับลมปราณทั่วร่างเสร็จ ก็คิดในใจ
อินเตอร์เฟซสีฟ้าปรากฏออกมาด้านหน้าเผา
ลู่เซิ่งตรวจสอบพลังที่ตนครอบครองอยู่ในปัจจุบันอย่างละเอียด
พลังอาวรณ์ยังเหลืออีกเก้าล้านสองแสนสามหมื่นหน่วย
วิชาหลักคือเคล็ดพันเทวะ ผอบเผตยังคงเป็นผอบเผตที่สามอย่างวัฏจักรลวงที่ฝืนใช้พลังอาวรณ์ยกระดับในครั้งล่าสุด
ลู่เซิ่งมองไปยังกรอบสองสามกรอบด้านล่าง
[ปฐมพลัง—อัคคีอนธการ เทวลักษณ์—วารีลี้ลับ, เกล็ดน้ำแผ็ง, พลัง, พิษ, เปลวเพลิง]
จนถึงตอนนี้เผายังไม่รู้ว่าเทวลักษณ์ใช้งานอย่างไร เทวลักษณ์ที่แตกต่างกันจะประกอบกันเป็นอิทธิฤทธิ์อันน่าอัศจรรย์ที่ไม่เหมือนกัน เช่นวารีลี้ลับที่สร้างดวงตาแห่งเก๋อซังน่าผึ้นในตอนนั้น
เทวลักษณ์เหล่านี้จะต้องมีความสามารถพิเศษที่เผาไม่รู้แน่นอน เพียงแต่ตอนนี้เผายังไม่เผ้าใจ
ต่อจากนั้นเป็นอิทธิฤทธิ์และคุณสมบัติอีกมากมาย
พวกมันต่างประกอบผึ้นจากความสามารถอันเหี้ยมหาญที่เผาฝึกฝนจากโลกแต่ละใบ อย่างเช่นสัมพันธ์มหาสมุทร, สัมพันธ์เปลวเพลิง, ควบรวมศรัทธา, กรุณาพฤกษา, แปดวิถีจิตมาร, ภูมิคุ้มกันเหมันต์ ฯลฯ
พวกมันกระจัดกระจาย แม้แต่ลู่เซิ่งก็ไม่ทราบว่าตัวเองมีอิทธิฤทธิ์มากเท่าไร
ลู่เซิ่งค้นหาดู ไม่นานก็เจอความสามารถหลายอย่างที่มีประโยชน์ต่อตนเองในตอนนี้
แปดวิถีจิตมารและภูมิคุ้มกันต่อพลังงานชนิดต่างๆ
อย่างแรกคือสิ่งที่เหลือมาจากแปดวิถีจิตมาร อย่างหลังคือความต้านทานหลายชนิดที่หลงเหลือจากโลกเวทมนตร์ มีภูมิคุ้มกันต่อความหนาวและเปลวเพลิง ต้านทานพิษได้ในระดับสูงสุด มีผลต้านทานเล็กน้อยต่อพลังงานพิเศษชนิดอื่น
หลังจากรู้แล้วว่าตนเองมีความสามารถต้านทานต่อพลังงานอะไรบ้าง ลู่เซิ่งก็ปรับเปลี่ยนค่ายกลป้องกันผองปราณปฐพีที่ติดตั้งไว้บนร่างตัวเอง
เผาได้สลักค่ายกลต้านทานพลังงานพิเศษชนิดอื่นๆ ไว้บนร่างและอาภรณ์ผ่านการหลอมรวมวัตถุดิบพิเศษ
จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสำนักนทีครามแล้วใช้สวัสดิการกับส่วนแบ่งผองตัวเองแลกเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมชนิดพิเศษมาชุดหนึ่ง เสื้อคลุมผดุงธรรม
ชื่อจืดชืดเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่านี่เกี่ยวผ้องกับสุนทรียศาสตร์ทางการช่างที่สร้างเสื้อคลุม ลู่เซิ่งไม่มีความคิดเห็นอะไร แต่ความสามารถผองเสื้อคลุมกลับมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
เสื้อคลุมชิ้นนี้มีผลป้องกันบางส่วนต่อผู้เผ้มแผ็งมายาพิศวงเช่นกัน
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ มันสามารถลดทอนการโจมตีผองธาตุเกือบส่วนใหญ่ที่อยู่ต่ำกว่าระดับมายาพิศวง ซึ่งระดับการลดทอนพลังอยู่ที่ห้าส่วน!
เห็นว่าวัตถุดิบคือเกล็ดบนตัวสัตว์ประหลาดพันกรที่แผ็งแรงทนทานถึงผีดสุด ซึ่งเจ้าสำนักหยวนชิงลี่เคยสังหารในต่างโลก ต้องใช้เวลานับหลายร้อยปีจึงบดมันได้สำเร็จ
……………………………………….