ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 802 อิทธิฤทธิ์ (2)
ขณะนั่งบนลำธารหินหนืด ลู่เซิ่งเพ่งความสนใจไปยังที่อื่น
เขาหยิบเสื้อคลุมผดุงธรรมขึ้นมาพิจารณาอย่างละเอียด
ไม่นานเขาก็ค้นพบความอัศจรรย์ส่วนหนึ่งบนเสื้อคลุม
บนเกล็ดทุกเกล็ดของผ้าคลุมมีอักขระเล็กละเอียดนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายอยู่ ระหว่างอักขระพวกนี้มีผลึกสีแดงหลายเม็ดที่เหมือนกับทรายฝังตัวอยู่ไม่ห่างกันมาก
จะเห็นได้ว่านี่เป็นค่ายกลควบคุมพลังแบบฝังที่สมบูรณ์แบบ
สามารถกระจายพลังที่มาจากภายนอกผ่านลวดลายค่ายกลที่ซ้อนทับกัน จากนั้นก็ใส่เข้าไปในผลึก แล้วปล่อยออกมาเพื่อทำให้สภาวะโจมตีอ่อนกำลังลงได้
‘แต่ผลึกกับลวดลายค่ายกลจะเยอะเกินไปแล้วมั้ง…’ ลู่เซิ่งเพิ่งจะเคยเห็นเครื่องสวมใส่ระดับมายาพิศวงเป็นครั้งแรก
กระนั้นสิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือ แค่เกล็ดลวดลายค่ายกลบนเสื้อคลุมชุดนี้ก็มีมากกว่าร้อยล้านเกล็ดแล้ว และบนเกล็ดทุกเกล็ดก็มีลวดลายค่ายกลกับผลึกเล็กๆ ที่เหมือนกับตัวแพร่เชื้อโรค
เดิมทีเกล็ดก็เล็กจนแทบมองไม่เห็นแล้ว ลู่เซิ่งต้องใช้พลังสายตากับสัมผัสสุดกำลังถึงจะฝืนมองเห็นความน่าอัศจรรย์บนลวดลายค่ายกลกับผลึกบนเกล็ดได้
‘มิน่าถึงทำซ้ำไม่ได้ ได้แต่ใช้วัตถุดิบตามธรรมชาติแปรรูปอย่างหยาบๆ…ต่อให้สร้างงานฝีมือแบบนี้ออกมาได้ เวลากับสมาธิที่ต้องใช้ก็มากมายมหาศาล…’ ลู่เซิ่งวางเสื้อคลุมลงและนึกสะท้อนใจ
‘พลังของเราในตอนนี้ไปถึงระดับยิ่งใหญ่มหาศาลแล้ว อย่าคิดจะได้รับการยกระดับอย่างใหญ่หลวงในเวลาสั้นๆ มีความเป็นไปได้ยากมาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…’
‘การต่อสู้จริง แบ่งเป็นสองส่วน ได้แก่การต่อสู้ด้วยทักษะยุทธ์กับการต่อสู้ด้วยอิทธิฤทธิ์ ความสามารถต่อสู้กายภาพของเราไปถึงขีดจำกัดแล้ว ด้านอิทธิฤทธิ์กลับยังมีศักยภาพให้ขุดค้นไม่น้อย’
ลู่เซิ่งเข้าใจเป็นอย่างดีว่า ตัวเองใช้พรสวรรค์หากินมาโดยตลอด เวลาต่อสู้มักปะทะตรงๆ กระบวนท่าก็มีแต่คร่าวิญญาณ ทำลายดาว อานุภาพเทพ หรือไม่ก็วิชาหมัดทำลายล้างในพริบตา
ความจริงวิชาเหล่านี้เป็นประเภทต่อสู้ด้วยวรยุทธ์หรือกายเนื้อ
ส่วนอิทธิฤทธิ์เป็นสิ่งที่เขาใช้สนับสนุนมาโดยตลอด
กระนั้นเขาก็เข้าใจดีว่า ในร่างตนเองมีอิทธิฤทธิ์ที่ยากจินตนาการบรรจุอยู่ หลายๆ ครั้งเขาถึงขั้นรู้สึกหวาดกลัวและตกตะลึงเพราะพลังแบบนี้ด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะโลกรูปจิตที่ทิ้งไว้เฉยๆ มาโดยตลอด
ที่พึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดของมารสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ถึงกับถูกเขานำมาใช้เป็นวิชาธรรมดาสำหรับปัดกวาดเช็ดถู
ครั้งนี้เขาต้องการจะขุดค้นพรสวรรค์ทางอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งของตัวเองออกมา ส่วนจะใช้การอย่างไร เขาได้คิดเอาไว้แล้ว
ลู่เซิ่งสั่งในความคิด ระลอกคลื่นสีดำกลุ่มหนึ่งค่อยๆ แผ่กระจายออกมาจากใต้ร่างกาย พื้นดินที่เป็นสีแดงอมเหลืองในตอนแรกถูกย้อมเป็นสีดำตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ
สีดำจำนวนมากกระเพื่อมเชื่องช้าราวกับทะเลสาบเหนียวเหนอะ
บุ๋งๆๆ…
ท่ามกลางเสียงฟองอากาศของกระแสน้ำอันเบาบาง ศีรษะกระเรียนสีดำขนาดใหญ่ที่ยาวสิบกว่าหมี่ค่อยๆ ปรากฏออกมาด้านหน้าลู่เซิ่ง
กระเรียนดำไม่ได้ออกมาทั้งหมด โผล่เพียงส่วนศีรษะกับดวงตาสีแดงฉานสองข้างออกมาเท่านั้น
นี่คือพันเทวะ สภาพอันแข็งแกร่งที่เกิดจากการแปลงจิตวิญญาณให้เป็นรูปเป็นร่าง ในตอนที่ลู่เซิ่งบรรลุวิญญาณแห่งวัฏจักร
ความจริงกระเรียนยักษ์พันเทวะเป็นจิตวิญญาณของเขา จิตวิญญาณก็คือพันเทวะ เพียงแต่ว่ามีสภาพแตกต่างออกไปเท่านั้น
‘กระเรียนยักษ์พันเทวะมีกายเนื้อที่สมบูรณ์แบบที่สุด และมีความต้านทานที่แข็งแกร่งต่อพลังงานในทุกๆ ด้าน เทียบกับใช้อิทธิฤทธิ์ของร่างหลักแล้ว มันมีอานุภาพเยอะกว่ามาก หากเราปลดปล่อยอิทธิฤทธิ์ออกมาในสภาพพันเทวะ อย่างนั้นอานุภาพจะต้องไปถึงขั้นที่ไม่อาจจินตนาการได้แน่’
ลู่เซิ่งได้เลือกอิทธิฤทธิ์ที่เหมาะกับพันเทวะเป็นอย่างยิ่งออกมาอย่างหนึ่ง
การคัดเลือกอิทธิฤทธิ์อย่างหนึ่งจากการจุติหลายครั้งได้ยากนัก สิ่งที่ยากก็คือ เขาต้องเลือกสิ่งที่เหมาะกับพันเทวะที่สุด
ลู่เซิ่งขบคิด ร่างก็จมลงไปในทะเลสาบสีดำอย่างเชื่องช้า
ไม่นานนักกระเรียนดำพันเทวะก็ค่อยๆ จมสู่ทะเลสาบสีดำตามมาด้วย
ลู่เซิ่งหลับตาอยู่ในความมืดมิด เขาตัดสินใจจะเรียนรู้วิชาหนึ่งออกมา เขาพัฒนามาถึงระดับนี้แล้ว ไม่อาจพึ่งพาดีปบลูได้ตลอด จะต้องมีความเข้าใจของตัวเองด้วย
‘ความต้านทานของพันเทวะเหมือนกับความต้านทานของร่างหลัก ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำจริงๆ ก็คือขยายจุดเด่นลดจุดด้อยเพื่อแสดงข้อได้เปรียบ หรือก็คือแสดงข้อได้เปรียบด้านน้ำ ไฟ และพิษ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ความต้านทานของพลังงานด้านอื่นๆ ’
ความคิดของลู่เซิ่งทำงานอย่างรวดเร็ว ความรู้ด้านอิทธิฤทธิมรรคายุทธ์จำนวนมากกำลังถูกคัดเลือกในใจของเขา
เค้าโครงอิทธิฤทธิ์ที่พร่ามัวค่อยเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ความจริงทะเลสาบดำผืนนี้คือด้านในร่างพันเทวะ
พันเทวะเกิดจากจิตวิญญาณที่บรรลุวิญญาณแห่งวัฏจักร แต่หลังจากกลายเป็นพันเทวะแล้ว มันก็ไม่ได้มีคุณสมบัติของจิตวิญญาณอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นสภาพของร่างกึ่งจับต้องได้ผ่านพลังแห่งวัฏจักรชนิดพิเศษ
ตอนนี้เท่ากับลู่เซิ่งรวมเป็นหนึ่งกับพันเทวะ
“ด้วยความเข้าใจทั้งหมดของข้า”
“ด้วยมรรคายุทธ์ตลอดชีวิตของข้า!”
“ด้วยสติปัญญาอันล้ำเลิศของข้า!”
“ด้วยคุณสมบัติที่ไร้คู่ต่อกรของข้า!” ลู่เซิ่งกางสองแขนออก อารมณ์พลุ่งพล่าน สัมผัสบางอย่างได้ เส้นสายสีทองเข้มจำนวนมากปรากฏขึ้นทั่วร่างอย่างฉับพลัน
เส้นสายพวกนี้ลอยออกไป และเริ่มแผ่ขยายกลางทะเลสาบดำอย่างไม่หยุดยั้ง
แค่ไม่กี่นาที เส้นสายสีทองเข้มก็ยึดครองร่างยักษ์ของพันเทวะโดยสมบูรณ์
“เริ่มเลย! ทะเลสาบแห่งความพิโรธ!”
ทันใดนั้นก็มีระลอกคลื่นสีทองเข้มหลายชั้นกระเพื่อมขึ้นด้านในห้องอันมืดมิด
ระลอกคลื่นหลายกลุ่มส่องสว่างและหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็จับตัวกันเป็นจานกลมสีทองเข้ม
จานกลมพลันปรากฏอักขระเทวะลักษณ์ทั้งหมดที่ลู่เซิ่งครอบครองเรืองรองกะพริบ
หลังจากอักขระเทวลักษณ์กะพริบอยู่พักหนึ่งก็เริ่มรวมตัวกันด้วยความเร็วสูง จับตัวกันเป็นกระบี่สีดำสนิทอันงามประณีตและเรียวยาว
‘กระบี่หรือ’
ลู่เซิ่งมองกระบี่ยาวตรงหน้า
คมกระบี่คือพลังงานสีดำที่กะพริบแสงสีดำสนิท ด้ามกระบี่คือจะงอยปากแหลมของกระเรียนดำ แยกซ้ายขวาเป็นจะงอยสองอัน
อักขระเทวะลักษณ์นับไม่ถ้วนที่เล็กเหมือนกับมดวนเวียนรอบด้ามกระบี่พร้อมกับเปล่งแสงสีม่วงอ่อน
‘นี่คือ…’ ลู่เซิ่งเอื้อมมือไปหมายจะคว้ากระบี่
ตูม!
กระบี่ยาวระเบิดออกในทันใด กระแสไฟฟ้าสีดำจำนวนมากซึ่งมีจุดแสงสีม่วงแทรกอยู่กระจัดกระจายไปทั่ว แรงกระแทกอันรุนแรงทำให้เขาสีหน้าแปรเปลี่ยน ต้องรีบถอยหลังออกไปหลายร้อยหมี่
ดีที่มิติความมืดมีพื้นที่ไพศาล พันเทวะเป็นตัวตนอันยิ่งใหญ่ที่ทำลายดาวเคราะห์ดวงหนึ่งได้ พื้นที่จึงใหญ่โตถึงขีดสุดตามไปด้วย
ตอนแรกใหญ่มากกว่าพันหมี่ ตอนนี้ยิ่งพองขยายไปถึงหลายพันหมี่ ด้านในมีพื้นที่กว้างขวางพอที่จะสลายแรงระเบิดในครั้งนี้
‘ล้มเหลวแล้ว…’ลู่เซิ่งกลับไปยังตำแหน่งเดิม สัมผัสร่องรอยการระเบิดของพลังงานที่หลงเหลืออยู่ก่อนหน้า
‘เป็นอย่างที่คิดไว้ โครงสร้างอิทธิฤทธิ์ที่ได้มาจากการก่อตัวอย่างหยาบๆ ไม่เสถียรถึงขีดสุด หนำซ้ำพลังงานจำนวนมากก็เสียเปล่าไปในการหักล้างกันเอง เลยแสดงอานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดออกมาไม่ได้ จะต้องมีระบบโครงสร้างพลังงานที่สอดคล้องกันระบบหนึ่ง ถึงจะแสดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นโครงสร้างพลังงานที่เราต้องการ…คืออะไรล่ะ’
ลู่เซิ่งหลับตาลงอีกครั้ง…
เวลาผ่านไปทีละน้อย หมอกดำหลายสายเริ่มจับตัวบนร่างเขา
หมอกดำหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ขณะจับตัวเป็นวัตถุ
นั่นคือเกราะสีดำน่ากลัวที่เรืองแสงสีม่วง หมวกเกราะกับไหล่สองข้างมีหนามแหลมที่โค้งขึ้นด้านบนเหมือนเขากระทิง เกราะหน้าเหมือนกับเป็นโลหะแข็งแกร่งในลักษณะแท่ง
โลหะแหลมสองก้อนที่เหมือนคอเสื้อแทงออกมาจากส่วนคอ โลหะสองก้อนนี้สูงกว่าส่วนศีรษะ ตรงขอบมีเทวลักษณ์ซับซ้อนที่เก่าแก่และลึกลับ
สิ่งที่ชวนให้ประหลาดใจก็คือ แขนซ้ายของเขากลายเป็นหัวหมาป่าขนาดยักษ์สามข้าง คอของหมาป่าเชื่อมติดกัน และต่อติดกับแขนของลู่เซิ่งพอดี
ส่วนแขนขวาเป็นมังกรสีดำสนิทคดเคี้ยว หางของมังกรเชื่อมกับท่อนแขนของลู่เซิ่ง
แกร๊ก
มีเสียงดังขึ้น ปีกยักษ์สีดำสนิทที่มีแผ่นโลหะกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมดคู่หนึ่งกางออกด้านหลังลู่เซิ่งอย่างช้าๆ นั่นคือปีกขนาดใหญ่ของกระเรียนดำพันเทวะ
‘ใกล้แล้ว…ใกล้แล้ว…เขาสัมผัสได้แล้ว’
ลู่เซิ่งหลับตา สัญชาติญาณดิบบางอย่างกระเพื่อมอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ
นั่นคือความปรารถนาดั้งเดิมที่เก่าแก่กว่าความต้องการเอาชีวิตรอด ซึ่งมาจากส่วนลึกของวัฏจักรนับไม่ถ้วน และซ่อนเร้นตัวอยู่…
บุ๋งๆๆ…
ฟองอากาศสีดำกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นจากใต้เท้าเขา
ร่างของลู่เซิ่งลอยขึ้น สองขาของเขาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ สิ่งที่มาแทนที่คือหางยักษ์น่ากลัวที่หยาบใหญ่และแข็งแกร่ง
หางใหญ่สะบัดแผ่วเบา ปีกของเขากางออก กระแสพลังงานสีดำจำนวนมากรวมตัวด้านหน้าเขาด้วยความเร็วสูง
ขณะเดียวกันก็มีก้อนแสงบริสุทธิ์สีเทากลุ่มหนึ่งรวมตัวขึ้นด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างช้าๆ เช่นกัน
หมาป่าสามหัวอ้าปากพ่นกระแสความเย็นสีฟ้าหลายสายเข้าไปในก้อนแสง ส่วนมังกรที่อยู่บนแขนขวาก็พ่นเปลวเพลิงสีดำอมม่วงใส่ก้อนแสงไม่หยุดเช่นกัน เหมือนกับกำลังปรับสมดุลและความเสถียรอยู่
ก้อนแสงสั่นระริกขณะขยายใหญ่และไม่เสถียรขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกัน เกล็ดน่ากลัวที่หยาบกระด้างและแข็งแกร่งของลู่เซิ่งก็เริ่มสัมผัสได้ว่ามีพลังงานที่ยิ่งใหญ่ไพศาลชนิดหนึ่งกำลังสั่นไหว
เปลวเพลิง กระแสความเย็น รวมถึงพลังงานชนิดอื่นๆ ได้ผสมกันด้วยสัดส่วนประหลาดชนิดหนึ่ง จับตัวเป็นก้อนสีเทาขนาดลูกแตงโม
‘นี่แหละ!’ ลู่เซิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการได้กลายเป็นจริงแล้ว อิทธิฤทธิ์ของเขามีมากมาย แต่อิทธิฤทธิ์ที่ใช้แสดงอานุภาพทั้งหมดของตนได้ มีแต่ก้อนโกลาหลสีเทานี้เท่านั้น
และหากต้องการสร้างก้อนสีเทานี้ เขาจะต้องทำให้ร่างหลักของตัวเองกลายเป็นสภาพที่สำแดงอิทธิฤทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด หรือก็คือสภาพน่ากลัวที่ทั้งแปลกประหลาดและดุร้ายในตอนนี้
ถ้าบอกว่าสภาพใบหน้าสามใบและแขนมากมายเมื่อก่อนหน้าเป็นสภาพที่เหมาะแก่การต่อสู้ด้วยกายเนื้อที่สุด อย่างนั้นสภาพของเขาในตอนนี้ก็คือสภาพที่เหมาะกับอิทธิฤทธิ์มากที่สุด
ในสภาพแบบนี้ อิทธิฤทธิ์ทั้งหมดจะแสดงอานุภาพออกมาได้มากกว่าเดิมสองร้อยเท่า และก้อนกลมสีเทาในตอนสุดท้ายก็ต้องมีสภาพนี้เท่านั้นถึงจะสร้างขึ้นได้
ส่วนก้อนสีเทาก้อนนั้น แม้จะเป็นก้อนเล็กๆ ที่เพิ่งจับตัวกันขึ้นมา แต่คุณสมบัติด้านในตัวมันกลับเป็นโครงสร้างอันน่าหวาดสะพรึงที่หวนกลับไปยังต้นกำเนิดและทำลายทุกสิ่ง
พึงทราบว่าสภาพของวัตถุใดๆ ต่างเป็นผลลัพธ์ทางธรรมชาติที่ได้มาจากการวิวัฒนาการเป็นเวลาหลายปี ส่วนการกลับคืนสู่ต้นกำเนิดเป็นการวิวัฒนาการชีวิตย้อนกลับให้กลายเป็นอวัยวะ ย้อนอวัยวะให้กลายเป็นเนื้อเยื่อ ย้อนเนื้อเยื่อให้กลายเป็นเลือดเนื้อและเซลล์ ย้อนเซลล์ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตดั้งเดิมที่มีขนาดเล็กกว่า จนกระทั่งย้อนกลับเป็นองค์ประกอบธาตุระดับพื้นฐานที่สุด
นี่ก็คือวิชาสูงสุดที่ลู่เซิ่งพัฒนาออกมาผ่านโลกรูปจิต อันเป็นพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของมารสวรรค์มายาพิศวง
ผ่านการใช้ความสามารถต่างๆ เช่น ภาพหลอน การสะกดจิต การชักนำพลังงาน และการกระแทกด้วยพลังงาน มาทำลายแรงรวมตัวในเซลล์ทั้งหมดของร่างอีกฝ่าย
กล่าวได้ว่า ในตอนที่เห็นก้อนกลมสีเทาโกลาหลกลุ่มนี้ การโจมตีก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
เป็นเพราะการมองเห็นก็เป็นความสามารถโจมตีชนิดหนึ่งเหมือนกัน
‘อีกด้านของการวิวัฒนาการ คือการวิวัฒนาการย้อนกลับ…’ ลู่เซิ่งมองก้อนกลมสีเทาตรงหน้า ‘การวิวัฒนาการกับการย้อนกลับ สองสิ่งคือวงจรสุดท้ายที่รักษาชีวิตทั้งมวลเอาไว้’
‘การวิวัฒนาการคือการได้มา การย้อนกลับคือการละทิ้ง การวิวัฒนาการคือการรวมตัว การย้อนกลับคือการแยกตัว ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็เรียกว่าประกายแห่งจุดเริ่มต้นก็แล้วกัน ประกายที่จะย้อนทุกสิ่งกลับสู่จุดเริ่มต้น!’
มังกรบนแขนขวาของลู่เซิ่งคำรามและงับใส่ก้อนสีดำ
ก้อนสีดำสาดแสงในปากมังกร
ตูม!
ลำแสงสีดำอมเทาสายหนึ่งถูกยิงออกจากปากมังกร พุ่งไกลออกไปในความมืดมิด
ลำแสงทะลวงทะเลสาบดำ เจาะผาหินในถ้ำใต้ดิน และพุ่งต่อไปยังท้องฟ้า
ทุกสิ่งที่มันพุ่งผ่านต่างกลายเป็นผุยผง กลายเป็นเม็ดอนุภาคนับไม่ถ้วนแรกสุดที่ตาเนื้อไม่อาจมองเห็น
ตอนแรกเริ่ม บนโลกไม่มีการแบ่งแยกพลังงานและวัตถุธาตุ
มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น
ณ ส่วนลึกสุดของถ้ำทรงกลม ลู่เซิ่งเงยหน้ามองนภาดาวที่ระยิบระยับด้านนอก คล้ายบรรลุอะไรบางอย่าง
……………………………………….