ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 803 การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง (1)
การวิวัฒนาการกับการวิวัฒนาการย้อนกลับ ความสามารถสองอย่างนี้คือความสามารถที่เคล็ดพันเทวะหรือวิชาระดับมายาพิศวงซึ่งลู่เซิ่งฝึกฝนให้กำเนิดขึ้น
แก่นของวิชาหว่านปุ๋ยที่พึ่งพาไม่ค่อยได้อันเป็นร่างต้นของเคล็ดพันเทวะ ทำให้สิ่งมีชีวิตรอบๆ วิวัฒนาการ ยกระดับ และเจริญรุ่งเรืองเองได้
แม้จะมีข้อจำกัดในระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นวิชาร้ายกาจที่เรียกได้ว่าอาชาสวรรค์เหินฟ้า อย่างน้อยก็ร้ายกาจในด้านเพาะปลูก
ต่อมาถูกเขาปรับปรุงจากวิชามายาพิศวงทั่วไปที่ไม่มีพลังต่อสู้แม้แต่น้อยจนกลายเป็นวิชาที่ใช้ต่อสู้ได้จริง จนกระทั่งถึงตอนนี้ ลู่เซิ่งจึงสัมผัสอานุภาพของวิชาอันคร่ำครึนี้ได้ในขั้นเบื้องต้น
‘การวิวัฒนาการย้อนกลับทุกสิ่ง ถึงขั้นย้อนกลับก้อนหินดินทรายได้อย่างสมบูรณ์…แม้อาณาเขตโจมตีจะแคบไปบ้าง แต่ก็มีอานุภาพยิ่งใหญ่ มีระยะยิงราวแสนกงหลี่ นี่เป็นระยะทางสูงสุดหลังจากเราระเบิดพลังสุดกำลัง’
ลู่เซิ่งละสายตากลับมา ในใจคำนวณปัจจัยต่างๆ เช่นจังหวะ ทักษะ และการสะสมพลังตอนใช้อิทธิฤทธิ์นี้
หลังจากยืนยันทุกอย่างเสร็จ เขาก็เริ่มคืนสู่ร่างมนุษย์ในสภาพกายเนื้อ
‘ต้องหาโอกาสทดลองอานุภาพอย่างเป็นรูปธรรมของอิทธิฤทธิ์นี้ดู แต่ตอนนี้ยังต้องออกไปดูด้านนอกก่อน อาจจะถึงเวลาอพยพเคลื่อนย้ายแล้ว’
ลู่เซิ่งชะงักเล็กน้อย ก่อนจะดีดนิ้วยิงแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งออกมารวมตัวเป็นกระจกน้ำแข็งกระจ่างใสบานหนึ่งตรงหน้า
ใบหน้าของหลี่ซุ่นซีค่อยๆ ปรากฏบนกระจกน้ำแข็ง
“พี่ใหญ่ ในที่สุดก็ติดต่อท่านได้แล้ว! เจ้าสำนักหยวนยืนยันโลกที่จะอพยพไปแล้ว ทั้งยังรอมานานมากแล้ว ท่านคิดว่าพวกเราจะตามไปด้วย หรือว่าจะตามหาเอง?!” หลี่ซุ่นซีท่าที่ร้อนใจผิดปกติ
“ตอนนี้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว”
“จากวันที่ท่านกักตนก็สามเดือนกว่าแล้วขอรับ!” หลี่ซุ่นซีรีบตอบ
“สามเดือนกว่าหรือ!?” ลู่เซิ่งตกใจ เขาเพียงแค่ทำความเข้าใจและสร้างอิทธิฤทธิ์ธรรมดาอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่กลับใช้เวลาไปถึงสามเดือนกว่าเชียว
สิ่งสำคัญคือเขาที่อยู่ใต้ดินไม่รู้สึกถึงการไหลเวียนของเวลาใดๆ เลย
“ทราบแล้ว ข้าจะกลับไปกำหนดเป้าหมาย ส่งพิกัดของโลกที่เจ้าสำนักหยวนเลือกไว้ให้ข้าที”
“เข้าใจแล้ว”
กระจกน้ำแข็งพลันสลาย ลู่เซิ่งลุกพรวด ในเมื่อสร้างอิทธิฤทธิ์ได้แล้ว เขาก็ควรจะเตรียมรับมือกับภัยพิบัติใหญ่ครั้งนี้ทันที
เป็นไปได้มากที่ความขัดแย้งระหว่างวิญญาณดวงดาวกับสัตว์โบราณจะกลายเป็นพายุทำลายล้างขนาดใหญ่ ทำให้เขตดาวผืนนี้ดับสูญโดยสิ้นเชิง
ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้น ลู่เซิ่งรู้ว่าตนจะต้องหาโลกใบเล็กๆ เตรียมไว้ก่อน
ไม่นานหลี่ซุ่นซีก็ส่งพิกัดโลกมาผ่านกระจกน้ำแข็งชนิดพิเศษ
ลู่เซิ่งตรวจดูคร่าวๆ ก็พบว่าเป็นโลกใบเล็กที่อยู่ใกล้โลกมารสวรรค์มาก จึงตกลงให้ทุกคนติดตามสำนักนทีครามอพยพไปยังโลกเล็กๆ ใบนี้
การเตรียมตัวและงานที่จำเป็นสำหรับการอพยพใหญ่ รวมถึงสถานที่ที่ต้องตรวจสอบมีมากมายถึงขีดสุด จะต้องตรวจสอบกฎเกณฑ์ทางกายภาพ กฎเกณฑ์ทางพลังงาน กฎพื้นฐาน และผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมของเวลาต่อร่างชีวิตในโลกใบนี้
หลังจากเข้าไปในโลก ก็ต้องมาเลือกต่อว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ในดาวเคราะห์แบบไหน หรือสภาพแวดล้อมแบบใดถึงจะทำให้ไม่เกิดปัญหากับผลข้างเคียง ขั้นตอนพวกนี้มีมากมาย แสดงให้เห็นว่าสำนักนทีครามเตรียมการณ์ไว้แต่แรก ยอดฝีมือจำนวนมากได้เข้าไปในโลกใบเล็กและดำเนินการตรวจสอบก่อนแล้ว
พวกเขาสรุปกรณีตัวอย่างการทดสอบจำนวนมากบนพื้นฐานไว้ให้แล้ว สะดวกสบายกว่าทดลองเองมากโข
ครึ่งเดือนผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา งานอพยพเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ
บนผิวของดาวเคราะห์ทั้งหมดใต้การปกครองของสำนักนทีครามเรืองแสงสีฟ้า แสงนับไม่ถ้วนกะพริบเป็นกลุ่มๆ ไม่มั่นคงราวกับหิ่งห้อย
กลุ่มพวกนี้คือซุ้มประตูข้ามมิติขนาดยักษ์ที่สูงสิบกว่าหมี่
ผู้อยู่อาศัยจำนวนมากต่อแถวเดินเข้าประตูแสง บนผิวดาวของดาวเงาพริบตาก็มีประตูแสงสีม่วงนับไม่ถ้วนส่องสว่างเช่นกัน นี่เป็นค่ายกลข้ามมิติที่ลู่เซิ่งออกแบบและผลิตขึ้นเอง
เทียบกับค่ายกลของสำนักนทีครามแล้ว แม้จะเห็นชัดว่าไม่ค่อยสมบูรณ์ดี แต่ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพถือว่าได้มาตรฐาน
อย่างไรค่ายกลของสำนักนทีครามก็ไม่ได้ถูกสร้างด้วยคนเพียงคนเดียว หากแต่เป็นของที่ยอดเยี่ยมที่สุดจากมวลกำลังคนจำนวนมาก
ประตูแสงที่ตั้งพิกัดไปยังโลกเป้าหมายได้ดูดกลืนผู้อยู่อาศัยที่ข้ามมิติไปไม่น้อย
ลู่เซิ่งกับหลี่ซุ่นซียืนมองอยู่ด้านข้าง อริยะเจ้าทงเซิงยังคงฝึกฝนต่อไป บางครั้งจะขอให้ลู่เซิ่งชี้แนะปัญหาเกี่ยวกับเจ้าแห่งอาวุธบางส่วนให้
ลู่เซิ่งย่อมบอกทุกอย่างหมดสิ้น ช่วงนี้ทงเซิงสัมผัสได้ถึงชายขอบของระดับเจ้าแห่งอาวุธแล้ว บางทีอาจจะใกล้เลื่อนระดับแล้ว
เขาติดอยู่ที่ระดับอริยะเจ้ามานานเกินไป มีแต่สรรพสิ่งหล่อเลี้ยงกับประกายวิญญาณอุดมสมบุรณ์ที่ลู่เซิ่งครองอยู่เท่านั้นถึงทำให้เขาเลื่อนระดับได้อย่างเงียบเชียบในสถานการณ์ที่ถูกหล่อเลี้ยง
แต่การเลื่อนระดับนี้ก็มีจุดที่ไม่ดีเช่นกัน
สืบสาวถึงที่สุด ความสามารถหล่อเลี้ยงของเคล็ดพันเทวะคือการใช้ปราณปฐพีของลู่เซิ่งค่อยๆ หล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น
ความจริงการหล่อเลี้ยงชนิดนี้เป็นการกระจายพลังระดับมายาพิศวงที่ลู่เซิ่งฝึกฝนได้ เข้าไปในตัวสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
และพลังงานชนิดนี้ก็มีตราประทับส่วนตัวที่แข็งแกร่งสุดขีด สามารถูกลู่เซิ่งดึงกลับได้ทุกเวลา ดังนั้นในความเป็นจริงการเลื่อนระดับนี้จึงเป็นการวิวัฒนาการแบบปลอมๆ เท่านั้น
นี่เป็นหลักการหลักที่ลู่เซิ่งเพิ่งจะเข้าใจหลังจากสร้างประกายแห่งจุดเริ่มต้นสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้
หลี่ซุ่นซีที่มองประตูแสงสูงใหญ่อดแสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมาไม่ได้
“พี่ใหญ่ ท่านไปยังโลกอีกฝั่งมาแล้วใช่หรือไม่ สถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
ลู่เซิ่งพยักหน้าเล็กน้อย
“ข้าแบ่งเนื้อออกมาสร้างเป็นร่างลูกแล้วส่งเข้าไป อีกฝั่งคืออวกาศธรรมดาที่ไร้ขอบเขต จุดข้ามมิติคือแถบดาวอุกกาบาตที่พังทลายแห่งหนึ่ง สำนักนทีครามกับพวกเราจะได้เลือกที่อยู่ได้สะดวก กฎเกณฑ์ส่วนใหญ่เหมือนกับด้านนี้ มีแต่กฎเกณฑ์เปลวเพลิงเท่านั้นที่ถูกจำกัดรุนแรงอย่างมาก”
“หมายความว่าทางนั้นเป็นโลกอุณหภูมิต่ำหรือขอรับ” หลี่ซุ่นซีนึกเฉลียวใจ
“ใกล้เคียง แต่ไม่ต้องเป็นกังวล สำนักนทีครามมีอุปกรณ์แปลงพลังงาน สามารถใช้ค่ายกลแปลงพลังงานความร้อนเพื่อสร้างรังของสิ่งมีชีวิตและปรับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติบนดาวเคราะห์ได้” ลู่เซิ่งตอบ “สิ่งที่เราต้องกังวลในตอนนี้ไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่ต้องกังวลว่าการอพยพต้องใช้เวลานานขนาดไหนถึงจะเรียบร้อยต่างหาก”
หลี่ซุ่นซีคำนวณเวลา จากนั้นก็ถามบริวารที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อตรวจสอบความก้าวหน้า
“ต้องใช้เวลาราวหนึ่งเดือนสี่วันขอรับ”
“หนึ่งเดือนหรือ…เพียงพอแล้ว” ลู่เซิ่งผงกศีรษะ
ถ้าเปลี่ยนไปอยู่ในโลกใบอื่น เป็นเพราะกฎทางกายภาพกับกฎทางพลังงานที่แตกต่างกัน เขาจึงจำเป็นต้องคำนวณข้อมูลต่างๆ ของค่ายกลจุติใหม่ นอกจากนี้การปรับปรุงค่ายกลจำเป็นต้องใช้เวลายาวนาน หากคิดจะจุติโดยเร็วจะค่อนข้างลำบาก
ดังนั้นเขาจึงคิดจะจุติอีกครั้งตอนออกจากโลกมารสวรรค์แล้ว
เวลาหนึ่งเดือน หากไม่ไปโลกพลังงานสูง แต่ไปยังโลกที่มีความแตกต่างของเวลามหาศาลแทน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวพลังอาวรณ์ได้เป็นกอบเป็นกำ
“ให้บันไซมาหาข้า” เขาทิ้งประโยคสุดท้ายไว้ ก่อนจะหันหลังเหินร่างออกไปไกล กลายเป็นแสงสีเหลืองสายหนึ่งพุ่งเข้าหาพระราชวังดาวเงาในชั่วพริบตา
หลี่ซุ่นซีได้สติกลับมา ถอนใจขณะมองลู่เซิ่งจากไป
นับตั้งแต่เขามายังดาวเงาพริบตา นอกจากการรวบรวมข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันแล้ว เวลาส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตธรรมดาอย่างสุขสงบ
ไม่นานก่อนหน้านี้เขาได้รู้จักกับหญิงสาวที่อยู่ในกลุ่มท่องเที่ยวเดียวกัน นางงดงามมาก พอได้คุยด้วย ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็พุ่งทะยาน แทบจะไปถึงขั้นคุยเรื่องแต่งงานกันแล้ว
กระนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในตอนนี้ก็ได้ทำลายแผนการของเขาทั้งหมดไป
‘หวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย…’ หลี่ซุ่นซีคิดในใจ สัมผัสหยกปีศาจในตัวอย่างละเอียด จากนั้นค่อยวางใจเล็กน้อยเพราะไม่มีการทำนายใดๆ
การทำนายของหยกปีศาจ ยิ่งเป้าหมายที่จะทำนายแข็งแกร่งเท่าไร กลับทำนายได้ง่ายเท่านั้น
เป็นเพราะผลกระทบของทุกๆ การเคลื่อนไหวของตัวตนที่แข็งแกร่งสร้างขึ้นรุนแรงเกินไป ในทางตรงกันข้ามสิ่งของธรรมดาที่เล็กกระจ้อยร้อยกลับยากเย็นยิ่งกว่า
นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขาใช้หยกปีศาจหลบหนีมารดาแห่งความเจ็บปวดได้ตลอด ทว่าตอนนี้ หยกปีศาจถึงกับไม่มีความผิดปกติใดๆ บางทีการอพยพครั้งนี้อาจจะปลอดภัยจริงๆ ก็ได้…
…
ด้านในพระราชวังดาว ลู่เซิ่งนั่งอยู่ในห้องโถงกว้างขวางเพียงลำพัง ด้านล่างคือบัลลังก์ผลึกสีขาวขนาดใหญ่ เขากำลังพลิกอ่านสมุดเล่มเล็กที่ได้มาจากหมอกแดงในมืออย่างตั้งใจ
หน้าที่สองของสมุดเล่มนั้นเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า เตือนภัยความประหลาดลี้ลับ
แต่ถ้าอยู่ในสถานที่ที่มืดสลัว จะเปลี่ยนเป็นสมุดอีกเล่มหนึ่งซึ่งเนื้อหาที่อยู่บนนั้นจะแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
‘สมุดเล่มนี้…น่าจะไม่ใช่แค่สมุดบันทึก คงจะมีประโยชน์อย่างอื่นอยู่อีก’
ลู่เซิ่งพลิกหน้าขาวโพลนบนสมุดพลางขบคิดไปด้วย ก่อนจะยื่นนิ้วชี้ออกมาแตะบนสมุดแผ่วเบา
ซู่…
เยื่อแสงสีดำอมเทาชั้นหนึ่งค่อยๆ กระจายออกมาจากจุดที่เขาใช้นิ้วแตะ ทั้งยังแผ่ปกคลุมสมุดทั้งเล่ม
ครู่ต่อมา สมุดเล่มเล็กก็ถูกเยื่อแสงสีดำห่อหุ้มไว้ อักขระและตัวหนังสือที่ชัดเจนหากแต่ซับซ้อนหลายตัวปรากฏขึ้นบนกระดาษ ในนี้มีรูปแปลกประหลาดจำนวนมากแทรกตัวอยู่
ลู่เซิ่งพลิกอ่านไปทีละหน้าอย่างตั้งใจ ตอนอยู่ในโลกเงียบสงัดใบนั้น เขาไม่ทันได้อ่านอย่างละเอียด ตอนนี้กลับมีเวลาพลิกดูแล้ว
เขาไม่รู้จักอักขระและสัญลักษณ์บนสมุด แต่ก็ดูรูปภาพแทนได้
สมุดมีทั้งหมดสิบหน้า นอกจากปกแล้ว หน้าที่สองมีอักขระตัวหนังสืออย่างเดียว ไม่รู้จัก ส่วนหน้าที่สาม ที่หก และที่เก้ามีรูปที่ไม่ทราบประโยชน์อยู่หน้าละภาพ
ภาพที่สามเหมือนกับเรือเหาะบางชนิด ดูลวกๆ เป็นอย่างยิ่ง ส่วนหลังรูปขนมเปียกปูนมีของที่เหมือนกับตะกอนจำนวนไม่น้อยหยดลงด้านล่าง
ส่วนรูปในหน้าที่หกกับที่เก้าคือสัตว์ประหลาดที่มีรูปร่างพิลึกกึกกือสองตัว
ลู่เซิ่งหยุดพิจารณาเรือเหาะ ก่อนจะมองสัตว์ประหลาดในหน้าที่หก
นั่นคือสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ในรูปแบบควันที่จับต้องไม่ได้ มันมีใบหน้าของมนุษย์ ร่างกายจมเข้าไปกลางก้อนเมฆกลุ่มใหญ่ คล้ายกับเป็นส่วนหนึ่งของก้อนเมฆ
ด้านล่างเขียนตัวหนังสือไว้แถวหนึ่ง แต่ลู่เซิ่งไม่รู้ความหมาย ดีที่เขาเจอตัวหนังสือภาษาภัยพิบัติจำนวนหนึ่งแทรกอยู่ในตัวหนังสือแถวนี้
“เอินซีหลี่?” เขาอ่านออกเสียงชื่อนี้
‘ถ้าหากเดาไม่ผิด ซากโบราณในหมอกแดงแห่งนั้นน่าจะเป็นส่วนที่เหลือมาจากการสิ้นสูญของจักรวาลก่อน ส่วนสัตว์ประหลาดบนภาพนี้ก็เป็นไปได้มากทีเดียวว่าจะเป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งสุดขีดในยุคสมัยก่อนของจักรวาลแห่งนั้น กระทั่งถึงตอนนี้ เราไม่เคยเจอความประหลาดลี้ลับที่มีพลังร้ายกาจมาก่อน สมมติ สมมติว่ามีสัตว์ประหลาดที่พลังระดับมายาพิศวง และสัตว์ประหลาดชนิดนี้เคลื่อนย้ายไปได้ทั่วทุกที่…อย่างนั้นวันสิ้นโลกก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้วจริงๆ’ ลู่เซิ่งที่จู่ๆ เกิดความคิดนี้ขึ้นก็พลันตื่นตระหนก
นี่มันตัวเรานี่
เขารู้สึกพิลึกอยู่บ้าง
‘ยังไม่สนใจเรื่องอื่น อาศัยจังหวะนี้ไปจุติอีกครั้งค่อยว่ากัน! รอเปลี่ยนจักรวาลแล้ว จุดออกเดินทางจะต่างไปจากเดิม ถ้าคิดจะจุติอีก ยังต้องปรับปรุงอีกนานมากโข’
ลู่เซิ่งวางสมุดลงก่อนจะลุกเดินไปยังทางซ้ายมือ ไม่นานก็มุ่งออกจากตัววัง ตัดทะลุทางระเบียง และตรงไปยังเขตทดลอง
……………………………………….