ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 804 การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง (2)
เขตทดลองแบ่งเป็นสามเขตใหญ่ เขตจุติอยุ่ในการดูแลของบันไซ ช่วงนี้เป็นเพราะต้องอพยพ เขาจึงกำลังเตรียมเคลื่อนย้ายก้อนทำนายสุดรักของเขาอยู่
ตอนนี้พอได้ยินลู่เซิ่งเรียกตัว บันไซก็รีบมาถึงเขตทดลองอย่างรวดเร็ว และกำลังรอคอยอย่างสงบอยู่ตรงทางเข้าเขตจุติ
ข้างกายเขายังมีชายชราร่างเตี้ยผิวขาวหัวล้านที่เป็นผู้รับผิดชอบเขตจุติอยู่ด้วย
พอเห็นลู่เซิ่งเดินมา ทั้งสองก็รีบเข้าไปทักทาย
“การเตรียมการณ์เป็นอย่างไรบ้าง ก่อนไปข้ายังต้องจุติอีกครั้ง ขอเป็นโลกที่มีเวลาต่างกันมากที่สุด จัดการได้ทันหรือไม่” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม
บันไซได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับเล็กน้อย
‘ไม่มีปัญหาขอรับ ขอแค่ปรับปรุงเล็กน้อยก็จัดการได้สบาย แต่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นานเท่าไรก็ต้องทิ้งค่ายกลจุติขนาดใหญ่ที่เพิ่งสร้างเสร็จแบบนี้ ก็น่าเสียดายไปบ้างจริงๆ’ เขาผุดสีหน้าหนักใจ
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่ทิ้งขาดหรอก ไม่แน่ดาวเคราะห์อาจจะยังอยู่ก็ได้ตอนเรากลับมา ถึงตอนนั้นค่อยใช้ต่อก็ได้” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
บันไซส่ายหน้า ทราบดีว่าลู่เซิ่งกำลังปลอบตนอยู่
คนแก่ร่างเตี้ยที่อยู่ด้านข้างเป็นคนที่สำนักนทีครามส่งมาช่วยในการอพยพ ชื่อเอเรียส ชื่อออกเสียงเหมือนกับเทพสงครามบนโลกใบเดิมในความทรงจำของลู่เซิ่ง
“ไม่เป็นไรหรอก เจ้าสำนักรับปากไว้แล้วว่าถ้าผู้อาวุโสนอกลู่เดินทางไปปักหลักในเขตเดียวกัน ทางสำนักจะชดเชยสิ่งที่เสียหายเหล่านี้ให้เอง” เอเรียสกล่าวอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นต้องขอบคุณเจ้าสำนักมาก” ลู่เซิ่งประสานมือ แม้เขาจะเคยมีความไม่พอใจเล็กๆ กับสำนักนทีคราม แต่เจ้าสำนักหยวนชิงลี่ที่เป็นผู้เข้มแข็งมายาพิศวงและอยู่ในจุดสูงสุดของระดับมายาพิศวงก็ให้ความสำคัญกับตัวเขามาโดยตลอด ลู่เซิ่งย่อมไม่ยึดติดกับความขัดแย้งก่อนหน้านี้แน่นอน
อย่างไรเขาก็เป็นคนใจกว้างเสมอมาอยู่แล้ว
“อย่างนั้นก็มาเริ่มการจุติกันเลย บันไซ ไปเรียกผู้ใช้ค่ายกลมาเริ่มปรับค่าซะ”
ลู่เซิ่งสั่ง
“ขอรับ!”
ลู่เซิ่งสาวเท้าเข้าทางเดิน ด้านในทางเดินที่เหมือนกับหยกขาวแบ่งเป็นทางเข้าห้องสามห้อง ทางเข้าแต่ละทางตรงกับเขตทดลองที่ค่อนข้างโอ่โถงทีเดียว
ห้องพวกนี้มีทั้งหมดสามระดับ โดยแบ่งตามความปลอดภัยของเขต เช่นนี้จะไม่เปลืองผลึกพลังงานสูงจำนวนมากในตอนจุติไปยังโลกระดับต่ำ
“น่าเสียดาย เพิ่งสร้างไปเอง…” บันไซพาลู่เซิ่งเดินเข้าห้องที่หนึ่ง ขณะมองค่ายกลจุติขนาดใหญ่กว้างสิบกว่าหมี่ด้านใน ใบหน้าฉายแววเสียดาย
ด้านในห้องสีดำ ค่ายกลทรงรีวาดกวาดเป็นเส้นวิถีสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนบนพื้น แสงสายฟ้าสีเหลืองหลายสายกะพริบผ่านร่องแยกบนเส้นวิถีตลอดเวลา
ผลึกสายฟ้าสีเหลืองสี่แท่งจัดเรียงเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ต่างปักกันอยู่ทั้งสี่มุมของค่ายกล บนผนังโดยรอบด้านหลังผลึกยังมีอักขระซับซ้อนในลักษณะวังวนที่เป็นตัวแทนมิติเวลาอยู่ด้วย
“เริ่มเลย นอกจากนี้ ข้าต้องการปรับแก้ค่ายกลเล็กน้อย โดยให้มันส่งสัญญาณมาบอกข้าตอนที่ใกล้อพยพเสร็จแล้วหลังจากข้าจากไปด้วย”
“ไม่มีปัญหาขอรับ” บันไซกับผู้รับผิดชอบอีกหลายคนพยักหน้า
“อย่างนั้นก็มาเริ่มกันเลย” ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะก้าวเท้าไปนั่งขัดสมาธิลงตรงกลางค่ายกล
บันไซกับผู้ใช้ค่ายกลที่เหลือเริ่มปรับการส่งพลังงานของผลึก
ไม่นานนักแสงสายฟ้าสีน้ำเงินหลายสายก็แล่นไหลเวียนแผ่พุ่งกะพริบไปทั่วทุกที่ จากนั้นแสงสายฟ้าก็กลายเป็นสีเหลืองแล้วรวมตัวเป็นของเหลว ก่อนจะไหลไปตามลวดลายค่ายกลอย่างเชื่องช้า
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางที่สายฟ้าสีเหลืองนับไม่ถ้วนไหลไปรวมตัวกัน
สายฟ้าไหลไปอยู่ข้างใต้เขา
ตูม!
เสียงดังกึกก้อง สายฟ้ารวมตัวเป็นลูกศรพุ่งขึ้นฟ้า วาดเป็นช่องรูปดวงตาสีเทาเหนือศีรษะลู่เซิ่ง
“ไป!” ร่างลู่เซิ่งส่องแสง กลายเป็นแสงสีเหลืองพุ่งเข้าหายเข้าไปในช่องว่าง
“เอ๋?” อยู่ๆ บันไซก็เบิกตากว้าง เส้นพลังงานอ่อนบางแปลกประหลาดสายหนึ่ง ผสมเข้าไปบนผลึกควบคุมทรงคลื่นพลังงานด้านหน้า ขณะที่ค่ายกลกำลังทำงานตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
เส้นพลังงานนี้เล็กเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นถ้าไม่สังเกตให้ละเอียดก็จะไม่พบ จนกระทั่งค่ายกลทำงานถึงจะมีคนสังเกตเห็น
“สิ่งนี้มาได้อย่างไร”
“แย่แล้ว มันกำลังส่งผลต่อเส้นทางจุติของใต้เท้า! รีบกำจัดมันเร็ว!”
“พวกเรากำลังพยายามอยู่!”
“บัดซบ! มันหายไปแล้ว!”
“ไปไหนแล้ว?!”
“ไม่รู้! ทิศทางเชื่อมเปลี่ยนไปแล้ว! พวกเราสูญเสียพิกัดของใต้เท้าแล้ว!”
“บัดซบ! รีบตามรอยเดี๋ยวนี้!” บันไซทุบมือด้วยสีหน้าซีดขาว
ถ้าหากลู่เซิ่งพลัดหลงในมิติเวลา เขากับทุกคนที่อยู่โดยรอบก็อย่าคิดมีชีวิตอยู่ต่อไปเลย
สำนักนทีครามจะเป็นตัวแทนลู่เซิ่งจัดการทุกคนที่เกี่ยวกับเรื่องนี้เอง!
…
ปี 1875 ลอนดอน
แจ๊คขมวดคิ้วขณะมองภาพน้ำมันในมือ
ท้องฟ้าสีเทา หมอกควันดำทะมึนจำนวนมากฟุ้งกระจายอยู่ทั่วอาคารของเมืองหลวงที่สูงตระหง่าน
หมอกควันส่วนหนึ่งกลายเป็นโครงสร้างเรียบง่ายคล้ายหน้าคน หมอกควันส่วนหนึ่งรูปร่างเหมือนมนุษย์ ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่บนถนน
อาคารในเมืองหลวงเป็นสีดำ หน้าต่างทุกบานไม่มีแสงสว่าง
มีเพียงแต่หน้าต่างบานหนึ่งที่จุดเทียนไข
มือที่เรียวยาวขาวซีดข้างหนึ่งยื่นเทียนไขออกไปนอกหน้าต่าง กลายเป็นแสงสีส้มเพียงหนึ่งเดียวในเมือง
“ภาพนี้ชื่อความหวัง ไม่เลวมากใช่ไหมล่ะ” ในห้องสมุดที่เก่าโทรม ศาสตราจารย์ชราขาด้วนหรี่ตามองเขาด้วยรอยยิ้ม
“อือ…จะว่าอย่างไรดีล่ะ มีความลุ่มลึกดี แต่ก็ชวนให้กดดันอยู่นิดหน่อย” แจ๊คเป็นตำรวจมาหลายปี พบเจอคดียากเย็นมาไม่น้อย แต่ว่าเพิ่งเคยเจอคดีแบบนี้ครั้งแรก
มีสามีภรรยาอายุน้อยคู่หนึ่งอาศัยในเขตชานเมืองลอนดอน คืนหนึ่งภรรยาผู้งดงามบอบบางใช้วิธีการโหดเหี้ยมอำมหิตสังหารสามีและทารกน้อยอายุห้าเดือน ทั้งยังเอาเนื้อของพวกเขามาต้มกินอยู่ในห้องตัวเองอีก
หากคดีแบบนี้มีคนรู้เข้าก็จะก่อให้เกิดความโกลาหลได้ แต่สิ่งที่ชวนให้สงสัยก็คือ คดีเพิ่งจะถึงมือตำรวจ ก็ได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ปิดปากทันที
ไม่อนุญาตให้เปิดเผย ไม่อนุญาตให้สัมภาษณ์ คดีถูกเก็บเข้าแฟ้มในลักษณะนี้ ไม่อนุญาตให้ตรวจสอบเป็นการส่วนตัว
คำสั่งของเบื้องบนทำให้แจ๊คไม่พอใจและโกรธเคือง เขาอาศัยอยู่ใต้ห้องสามีภรรยาคู่นั้น มักเจอพวกเขาเป็นประจำตอนขึ้นลงอาคาร ถือว่าเป็นคนรู้จักกัน
ฝ่ายชายเป็นผู้จัดการบริษัทค้าขาย ฝ่ายหญิงเป็นครูสอนวาดรูป ทั้งสองเข้ากันได้เป็นอย่างดี หนำซ้ำยังดูเหมือนความสัมพันธ์มั่นคงปรองดองดี ฝ่ายภรรยามีนิสัยอ่อนโยนเป็นมิตร ไม่เหมือนคนที่จะก่อคดีแบบนี้ได้โดยสิ้นเชิง
แจ๊คมีความทรงจำที่ดีต่อพวกเขา แต่คำสั่งของเบื้องบนทำให้เขาลำบากใจเป็นอย่างมาก
หลังจากลังเลอยู่หลายวัน เขาก็เริ่มตามสืบเองโดยไม่สนใจสถานีตำรวจ แม้จะเข้ามาในแวดวงตำรวจได้หลายปี แต่เขายังไม่แก่ตัว อุดมการณ์ของเขายังอยู่
เขาสามารถตบอกป่าวประกาศอย่างตรงไปตรงมาได้ว่า ตนเองยังไม่ถูกความเน่าเฟะและความไม่ถูกต้องกัดกร่อน ตนเองยังคงมีมโนธรรมครบถ้วน!
แม้ว่าเขาจะอายุสามสิบต้นๆ แล้วก็ตาม
“ความหวัง…ผมอยากจะรู้ว่าภาพวาดนี้มีความนัยอะไร” แจ๊คถามอย่างอดทน “ครูสอนวาดรูปผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนวาดภาพนี้ เธอยังดูเด็ก สวย อ่อนโยน มีความรู้ มีมารยาท ยังมีสามีที่รักเธอและพยานรักของพวกเธออีก”
“เธอกำลังล้อเล่นอยู่หรือ” ศาสตราจารย์ชราอดหัวเราะไม่ได้ “ความลุ่มลึกของภาพวาดนี้ ถึงขนาดถ้าในใจไม่ได้มืดมิดถึงที่สุด และนิสัยถึงขั้นบิดเบี้ยว ไม่มีคนปกติที่ไหนวาดภาพที่เปล่าเปลี่ยวและบ้าคลั่งแบบนี้ออกมาได้หรอก ถ้าเธอบอกว่าคนโรคจิตเป็นคนวาดภาพฉันถึงจะเชื่อ”
“แอนดรูว์ คุณพูดจริงหรือ” แจ๊คได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว
“แน่นอน” ศาสตรจารย์แอนดรูว์ไม่เพียงแต่เป็นจิตรกรเท่านั้น ขณะเดียวกันยังเป็นนักประวัติศาสตร์คนหนึ่งด้วย “ในประวัติศาสตร์มีฆาตกรต่อเนื่องจิตวิปริตคนหนึ่ง ก่อนจะตายเขาได้ทิ้งร่องรอยไว้บางส่วน แม้เขาจะมีทักษะวาดภาพไม่สูงนัก แต่ความลุ่มลึกที่แสดงออกมาชวนให้คนรู้สึกปั่นป่วนทีเดียว”
“มาๆ เดี๋ยวฉันจะให้เธอดูอะไรบางอย่าง” ศาสตราจารย์สวมแว่นตา หมุนล้อรถเข็นไปหาข้อมูลจากชั้นหนังสือให้เขา
ไม่นาน สมุดวาดภาพปกน้ำตาลเล่มหนึ่งก็ถูกดึงออกมาวางไว้บนโต๊ะหนังสือระหว่างคนทั้งสอง
ศาสตราจารย์แอนดรูว์พลิกสมุดวาดภาพหน้าแล้วหน้าเล่า ไม่นานก็เจอภาพน้ำมันที่แปลกประหลาดภาพหนึ่ง
สิ่งที่วาดอยู่บนภาพคือหมูตัวหนึ่ง เพียงแต่ใบหน้าของหมูตัวนี้เป็นผู้หญิง งูตัวหนึ่งซ่อนอยู่ในท้องของเธอ ส่วนลึกของโคลนใต้เท้าคือลาวาจากภูเขาไฟที่กำลังจะระเบิด
ลาวานั้นแดงฉานจนสะดุดตาเหมือนกับเลือด
“คนวาดภาพนี้คือฆาตกรต่อเนื่องที่ฉันเล่าให้เธอฟังเมื่อก่อนหน้านี้” ศาสตราจารย์ส่ายหน้าเล็กน้อย
“จิตใจของหล่อนผิดปกติมาตั้งแต่เกิด หลังจากใช้ชีวิตอย่างวิกลจริตมายี่สิบกว่าปี อยู่ๆ ก็เริ่มฆ่าคน นอกจากนั้นความรัดกุม และความช่ำชองก็ยังน่าตกตะลึง ถ้าไม่ใช่หล่อนฆ่าตัวตายกะทันหัน คงจะไม่มีใครพบว่าหล่อนเป็นคนร้ายของคดีฆาตกรรมเหล่านั้น”
แจ๊คมองภาพนี้อย่างละเอียด ภาพนี้ชวนให้เขารู้สึกเจ็บปวดและกดดันอย่างน่าแปลกประหลาดเช่นกัน
“เอ๋…” อยู่ๆ เขาก็อุทาน ยื่นมือไปกดบนกระดาษน้ำมันพร้อมกับชะโงกเข้าไปดูใกล้ๆ
“ตรงนี้…เหมือนจะมีอะไรบางอย่าง…” เขาจิ้มนิ้วชี้บนขาขวาของหมูในภาพ
ตรงนั้นมีตราประทับเล็กๆ เหมือนกับงูที่ขดรอบดวงตาดวงหนึ่ง
“อะไรหรือ” ศาสตราจารย์มองตามอย่างสงสัย “ว่ากันว่าสัญลักษณ์นี้เป็นรอยสักที่อยู่บนแขนของฆาตกร เป็นตัวแทนเทพนอกรีตเก่าแก่”
“รอยสักหรือ” แจ๊คส่ายหน้าก่อนจะหยิบภาพวาดนั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“ดูตรงนี้” เขาชี้แขนขาวซีดที่ถือเทียนข้างนั้น บนแขนมีขอบของรอยสักโผล่มาเล็กน้อย ดูเหมือนกับรอยสักบนภาพอีกภาพไม่ผิดเพี้ยน
ศาสตราจารย์งุนงง
“นี่…นี่มัน…!?” เขาอดจับแว่นตาไว้ไม่ได้ ใบหน้าผุดความตื่นตระหนก
แจ๊คนิ่งไป
เป็นเพราะจู่ๆ เขาก็นึกได้ว่า ตนเองเห็นสัญลักษณ์คล้ายคลึงกันนี้ในสถานที่เกิดเหตุคดีฆาตกรรมเหมือนกัน ตอนนั้นเขานึกว่าเป็นแค่การระบายและการแสดงศิลปะหลังความบ้าคลั่งเท่านั้น
ทว่าดูจากตอนนี้…ไม่น่าใช่เรื่องบังเอิญ
“จริงสิแจ๊ค เธอไปเอาภาพนี้มาจากไหน” ศาสตราจารย์อดถามเบาๆ ขึ้นไม่ได้
“เรื่องนี้คุณอย่ารู้จะดีกว่า” แจ๊คสีหน้าคร่ำเคร่ง อดลูบซองปืนบนเอวด้านหลังไม่ได้
เขาตัดสินใจว่าอีกประเดี๋ยวจะไปยังที่เกิดเหตุเพื่อตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง
อย่างไรที่ที่เขาอยู่ก็เป็นอาคารเดียวกับที่เกิดเหตุอยู่แล้ว
……………………………………….