ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 806 ฉุกละหุก (2)
ฟ้าว!
มือลู่เซิ่งคว้าใส่ความว่างเปล่า โรว์ลิงหายไปอีกครั้ง
เปรี้ยง
เกิดเสียงทึบดังขึ้นอีกครั้ง ลู่เซิ่งหมุนตัวเตะใส่เอวของโรว์ลิงที่เพิ่งปรากฏตัวขึ้น จนตัวเธอกระเด็นออกไปชนกับบานประตูและร่วงลงกับพื้น
“ไม่มีประโยชน์หรอกน่า…” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปใกล้
อยู่ๆ มีดทำครัวเล่มหนึ่งก็พุ่งมาด้านหลังเขาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงแหวกลม
ลู่เซิ่งเอียงศีรษะ มีดทำครัวพุ่งเฉียดเส้นผมของเขาแล้วปักเข้ากับกำแพงด้านหน้า
เขามองไปด้านหน้าอีกครั้ง เป็นอย่างที่คาด โรว์ลิงหายไปอีกแล้ว
ลู่เซิ่งหมุนตัวกลับมา โรว์ลิงยืนอยู่ตรงประตูห้องครัว มือถือส้อมโลหะคันหนึ่งพร้อมกับยิ้มอย่างประหลาดให้กับเขา
จู่ๆ ลู่เซิ่งก็สะดุ้ง รีบก้มหัวลง ควันดำสายหนึ่งแทงมาจากด้านหลังเขา เฉียดผ่านเหนือศีรษะเขาไปพอดี
ถ้าเมื่อครู่เขาไม่ได้ก้มหัวลง ควันดำสายนี้คงจะพุ่งเข้าท้ายทอยเขาแล้ว
พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ลู่เซิ่งก็เห็นควันสีดำสายหนึ่งลอยไปเกาะกับบาดแผลของโรว์ลิง ไม่นานก็กลายเป็นก้อนเนื้อ รักษาอาการบาดเจ็บ
“จะสู้ยังไงวะเนี่ย!?” อีกฝ่ายมีพลังเหนือธรรมชาติ ฆ่าไม่ตาย ส่วนเขาได้แต่ใช้ร่างกายของคนธรรมดาเท่านั้น
และเป็นเพราะการต่อสู้เมื่อครู่ เขาในตอนนี้จึงหอบบ้างแล้ว แสดงให้เห็นว่ากำลังกายของแจ๊คไม่มากพอที่จะสนับสนุนการต่อสู้มากมายขนาดนี้ เขาเข้าใจความรู้สึกของพวกคู่ต่อสู้ที่เคยสู้กับเขาขึ้นมาบ้างแล้ว
แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ อีกฝ่ายไม่ได้กระโจนเข้าใส่ หากแต่ยืนนิ่งอยู่ตรงประตูและมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
จากนั้นมุมปากของโรว์ลิงก็แสยะยิ้มประหลาด
ฟ้าว!
ครั้งนี้ด้านหน้าพร่ามัวอีกรอบ ลู่เซิ่งสูญเสียร่องรอยของโรว์ลิงไปโดยสิ้นเชิง
ในขณะเดียวกันหูเขาก็เริ่มได้ยินเสียงมากมาย เสียงหวีดของรถไอน้ำด้านนอก เสียงเด็กร้องไห้และเสียงคนแก่ไอค่อกแค่กจากชั้นล่าง บางครั้งยังมีเสียงหมาแมวร้องแทรกอยู่ด้วย
เสียงจำนวนมากระเบิดขึ้นเหมือนกับเครื่องเล่นถูกกดปุ่ม
ลู่เซิ่งหยิบมีดทำครัวขึ้นมาและตรวจสอบรอบข้างอย่างละเอียด ครั้งนี้โรว์ลิงหายไปจริงๆ แล้ว
เดินไปถึงประตูห้องครัว เขากวาดตามองระเบียง ไม่พบเห็นเงาคนสักสาย
ด้านในห้องรับแขกก็เงียบสงัดเช่นกัน
ลู่เซิ่งผ่อนลมหายใจลงช้าๆ เดินเข้าห้องรับแขกและตรวจสอบเบาะแสที่อาจเหลืออยู่ โดยเฉพาะสัญลักษณ์ที่เหมือนกับดวงตางูนั้น
ทว่ายังหาสัญลักษณ์ไม่ทันเจอ เขาก็เจอสมุดเล่มเล็กปกแดงเล่มหนึ่งในตู้เล็กๆ ติดผนังในห้องรับแขกเสียก่อน
ด้านบนเขียนสูตรทำอาหารเอาไว้
เขาพลิกอ่านดู ทั้งหมดเป็นสูตรทดลองทำอาหารในแต่ละวัน ยังมีปริมาณวัตถุดิบแต่ละอย่างด้วย
‘อะโวคาโด ¾, ฟูซีลี 110 กรัม, สโนว์พี 100 กรัม, หน่อไม้ฝรั่ง 100 กรัม, น้ำมันมะกอก 3 ช้อน, ผงพริกไทยเล็กน้อย…’
วัตถุดิบทำอาหารแต่ละชนิดถูกบันทึกไว้บนสมุด เห็นได้ชัดว่าตัวหนังสือบนสมุดค่อนข้างไก่เขี่ย แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความพิถีพิถัน น่าจะเป็นลายมือของโรว์ลิง
ขณะกำลังพลิกสมุดเล่มเล็ก อยู่ๆ ลู่เซิ่งก็หยุดชะงัก
มีภาพใบหนึ่งเหน็บอยู่ในสมุด
เขาหยิบรูปออกมาดู เป็นรูปถ่ายของโรว์ลิงกับฌอนผู้เป็นสามี
ทั้งสองยืนอยู่ริมชายหาดที่อบอุ่น โรว์ลิงคล้องแขนบนคอของฌอน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสดใสมีความสุข
ขณะมองภาพอยู่ ลู่เซิ่งพลันนึกถึงตนเองและเฉินอวิ๋นซีอย่างอดไม่ได้
‘บางที…ถ้าไม่ได้ตามเรามา อวิ๋นซีอาจจะยังคงเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งและใช้ชีวิตมีความสุขกว่านี้ก็ได้…’ เขาเก็บภาพ พอคิดว่าเฉินอวิ๋นซีเสียชีวิตในอุบัติเหตุ เขาก็เกิดความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้
พลิกอ่านสมุดเล่มเล็กต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งยังคงเป็นบันทึกสูตรอาหารอีกหลายสูตร
พลิกไปพลิกมา อยู่ๆ เขาก็หยุดชะงัก
‘คุณเคยรู้สึกเหงาไหม’
ประโยคนี้โผล่ขึ้นระหว่างสูตรมากมายบนสมุดเล่มเล็กอย่างฉับพลัน
ลู่เซิ่งเพ่งมองประโยคนี้อยู่ครู่หนึ่ง
พลิกต่อไปด้านหลัง เขาก็ไม่เจอความผิดปกติอื่นอีก
แต่ดูจากประโยคนี้ ปัญหาของโรว์ลิงน่าจะมีเค้าลางมานานแล้ว
ลู่เซิ่งอ่านต่อไป หลังจากไม่พบเบาะแสใดอีก เขาก็เข้าไปในห้องนอนที่เป็นจุดเกิดเหตุฆาตกรรม ในห้องนอนถูกตำรวจรื้อค้นจนเกลี้ยง ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย
ลู่เซิ่งหาดูอย่างระมัดระวัง สุดท้ายพอยืนยันได้ว่าไม่เหลือสิ่งใดอีกจริงจึงออกมาจากห้องนอน
เขากลับไปถึงระเบียงตรงประตูอย่างระวังตัว บิดที่จับประตู ก่อนจะออกไปแล้วพลิกมือปิดประตู เหลียวมองซ้ายขวา หลังยืนยันแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไรค่อยลงไปชั้นล่าง
ตอนเดินไปถึงหัวโค้งของบันได
แกร๊ก
จู่ๆ ประตูห้องโรว์ลิงก็มีเสียงดังมา
ถูกลงกลอนหรือ!?
ลู่เซิ่งรู้สึกผิดปกติ เงยหน้ามองไปทางประตูห้อง ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนกับเสียงที่เขาได้ยินเมื่อครู่เป็นเพียงหูฝาดไป
สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เขาเร่งฝีเท้าเดินลงชั้นล่างมาถึงหน้าห้องของแจ๊ค แล้วหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู
แต่พอเสียบกุญแจเข้ารูและบิดเปิด ด้านในถึงกับถูกลงกลอนไว้ ทั้งยังเป็นการลงกลอนจากด้านใน วิธีลงกลอนแบบนี้ไม่อาจเปิดจากด้านนอกได้
ลู่เซิ่งรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย เขานึกถึงผู้ชายที่หน้าตาเหมือนแจ๊คคนนั้นที่เปิดประตูเดินเข้าห้องแจ๊คไป ก็คล้ายจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ขณะกำลังชักกุญแจออกมา เขาก็ลองบิดดูเป็นครั้งสุดท้าย
แกร๊ก
ประตูเปิดแล้ว
ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย ดึงประตูออกมาด้านนอก ประตูถูกไขแล้ว แต่กลับเปิดไม่ได้ เหมือนกับ…เหมือนกับด้านในมีคนใช้มือจับลูกบิดแน่น ไม่ยอมให้ประตูถูกเปิด
ลู่เซิ่งออกแรงดึงดูหลายครั้ง ร่องประตูถูกดึงเปิดกว้างเท่านิ้วมือ แต่กลับมีคนออกแรงเท่ากับเขาอยู่ พอดึงอีกครั้งก็ดึงไม่ได้อีก ประตูค่อยๆ ถูกดึงกลับไป
เขาพลันหยุด แล้วได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาดังมาจากด้านใน
“แกเป็นตัวอะไรกันแน่!?” ลู่เซิ่งถามเสียงขรึม
ไม่มีการตอบรับ
อีกด้านของประตูมีแต่ความเงียบงัน
ลู่เซิ่งรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ความรู้สึกคุ้นเคยนี้คล้ายสัมผัสได้จากไหนมาก่อน หรืออาจบอกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ครุ่นคิดเล็กน้อย เขาก็คลายมือ ปล่อยให้ประตูปิดลงดังแกร๊ก
จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินลงชั้นล่างอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่หันหลังกลับ
อยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว
เขาสัมผัสกฎของโลกใบนี้อย่างละเอียด ความเข้มงวดของกฎ และการจำกัดระดับความแข็งแกร่งของที่นี่ ไม่เหมือนกับโลกพลังงานต่ำที่มีความแตกต่างของเวลามากมายเลย
ถึงขั้นกล่าวได้ว่ากฎมากมายเหมือนจะใกล้เคียงกับโลกมารสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นระดับความแข็งแกร่งหรือความเข้มงวด กฎของโลกใบนี้ล้วนเหนือกว่าโลกที่เขาจุติลงไปก่อนหน้านี้
ขณะเดินบนถนนใหญ่ ลู่เซิ่งหลุบตาต่ำ กวาดตามองคนเดินถนนที่ผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา
คู่รักที่พูดคุยกัน สามีภรรยาที่พลอดรักกัน รถม้าที่หยุดอยู่ริมถนน รูปวาดมากมายลายตาบนผนังกำแพง
ยังมีธงประเทศอังกฤษที่ใช้เชือกเส้นเล็กๆ แขวนไว้เหนือถนนในสถานที่บางส่วน
‘ที่นี่คือลอนดอน…แต่ไม่รู้ว่าเป็นลอนดอนที่เรารู้จักหรือเปล่า’ ลู่เซิ่งเงยหน้ามองธงชาติผืนเล็กที่เหมือนกับในความทรงจำเหล่านั้น
เขาเร่งฝีเท้าขึ้น ไม่นานข้างถนนก็มีรถม้าที่เก่าโทรมอยู่บ้างคันหนึ่งขับมา เขาเดินไปขวางก่อนจะกระโดดขึ้นไป
“ไปไหนหรือครับคุณผู้ชาย” สารถีหันมาถาม
ลู่เซิ่งครุ่นคิด
“ทูโจนส์ เลขที่เจ็ดสิบสาม”
“รับทราบ นั่งดีๆ นะครับ”
รถม้าค่อยเคลื่อนตัวออก
ลู่เซิ่งพิงที่นั่ง ครั้งนี้ค่อยผ่อนคลายจริงๆ พอผ่อนคลายลง เขาก็รู้สึกปวดเนื้อปวดตัว แขนขาหนักจนขยับไม่ไหวราวกับถ่วงตะกั่ว
นอกจากนี้ปอดยังแสบร้อน ศอกกับขาบวมเป่ง เนื่องจากไม่ได้ผ่านการฝึกต่อสู้ระยะยาวมาก่อน ทำให้กล้ามเนื้อและผิวของแจ๊คไม่ได้ทนทานเท่ามืออาชีพ
ผิวของคนธรรมดาแบบนี้ หากใช้แรงมากหน่อยก็จะช้ำ
‘อ่อนแอเกินไปแล้ว…ต้องรีบเพิ่มความแข็งแกร่งให้เร็วที่สุด!’ ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ ไม่ได้สัมผัสความรู้สึกปวดหนึบแบบนี้มานานมากแล้ว
เขาพยายามพิงที่นั่งอย่างเต็มที่เพื่อให้เอวของตัวเองได้พัก
ฝั่งตรงข้ามของถนนทูโจนส์หมายเลขเจ็ดสิบสาม คือสถานีตำรวจลอนดอน หรือก็คือที่ที่เขาไปทำงานในเวลาปกติ
เวลาพวกเขานั่งรถม้า จะบอกที่อยู่นี้ ไม่ได้บอกว่าสถานีตำรวจตรงๆ
ด้านหนึ่งเพราะมีข้อห้ามบางส่วน ด้านหนึ่งเป็นเพราะตรงข้ามกับสถานีตำรวจมีหอพักเจ้าหน้าที่
ในเมื่ออยู่บ้านไม่ได้แล้ว ตอนนี้เขาก็ได้แต่มาอยู่ในหอพักเจ้าหน้าที่ของตัวเองไปก่อนสักระยะ
‘กลับบ้านไม่ได้ เงินก็มีไม่พอ…’ ลู่เซิ่งลูบกระเป๋าเงินของแจ๊ค พลิกหาอยู่สักพัก เหลือเศษเงินอยู่สิบสามปอนด์ เงินที่เหลืออยู่ในลิ้นชักตู้เสื้อผ้าที่บ้าน ตอนนี้กลับไปไม่ได้ จึงไม่อาจหยิบออกมาใช้ได้
‘ตอนนี้เรียกใช้ปราณปฐพีไม่ได้ ทั้งยังเปิดไข่มุกกลืนสมุทรไม่ได้ เลยไม่อาจเอาทองแท่งกับไข่มุกที่เตรียมไว้ด้านในออกมา…ดูเหมือนว่าได้แต่ต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว’ ลู่เซิ่งค่อนข้างจนปัญญา
รถม้าแล่นไปเรื่อยๆ หลังผ่านไปราวสิบกว่านาทีก็หยุดลงหน้าสิ่งก่อสร้างสี่เหลี่ยมปูกระเบื้องสีแดงอ่อน
ตรงประตูของสิ่งก่อสร้างมีตำรวจในเครื่องแบบสีดำสวมหมวกทรงสูงคอยลาดตระเวน เข็มขัดหนังมันเงาบนเอวของพวกเขาเหน็บกระบองกับปืนพกเอาไว้ แต่ละคนไว้หนวดจิ๋มไม่หนามากก็น้อย สีหน้าหยิ่งทะนง ชวนให้รู้สึกถึงความเคร่งขรึมและความเย่อหยิ่งที่มีเฉพาะในโครงสร้างอำนาจ
ลู่เซิ่งกวาดตามอง ก่อนจะจ่ายเงิน แล้วเดินลงรถม้าไปยังประตูสถานีตำรวจ
สถานีตำรวจลอนดอนในยุคสมัยนี้ไม่ได้อยู่ในยุคสมัยที่มีกฎหมายครอบคลุม ผลประโยชน์ของสถานีตำรวจอันเป็นโครงสร้างอำนาจในเวลานี้มีมากถึงขนาดที่เกินกว่าสถานีตำรวจในอนาคตจะเทียบได้
ลู่เซิ่งทราบจากในความทรงจำของแจ๊คว่า ช่วงนี้เบื้องบนของสถานีตำรวจกำลังมีการปรับโครงสร้าง คล้ายกับต้องให้ความร่วมมือกับการปฏิวัติกระบวนการยุติธรรมของทั้งประเทศ บางครั้งจะมีผู้ตรวจการลงมาตรวจสอบสถานการณ์ ดังนั้นตำรวจลาดตระเวนพวกนี้จึงทำงานอย่างขยันขันแข็ง
โครม
เพิ่งจะเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว เด็กส่งหนังสือพิมพ์คนหนึ่งก็พุ่งออกมาจากตรงไหนสักที่อย่างเร่งรีบ แล้วชนใส่ตำรวจลาดตระเวนคนหนึ่ง
“ขอโทษครับๆ! ขอโทษครับคุณตำรวจ! ผมไม่ได้ตั้งใจ” เด็กส่งหนังสือพิมพ์หน้าซีดทันที รีบโค้งตัวขอโทษขอโพย
“คิดจะทำร้ายเจ้าพนักงานหรือยังไง” ตำรวจลาดตระเวนถลึงตา จับคอเสื้อของเด็กส่งหนังสือพิมพ์แล้วยกตัวเขาขึ้นจากพื้น
“พอแล้วๆ บัดดี้ จะไปโมโหเด็กมันทำไม” ลู่เซิ่งสาวเท้าเดินเข้าไป
“แจ๊ค นายกลับไปแล้วไม่ใช่หรือ วันนี้นายไม่ได้เข้าเวรดึกนี่” พอตำรวจลาดตระเวนอ้วนเห็นลู่เซิ่ง ก็ทักทายอย่างสนิทสนม ก่อนจะปล่อยเด็กส่งหนังสือพิมพ์ในมือลง
“ช่วยไม่ได้ ไม่อยากจะอยู่บ้านแล้วน่ะสิ” ลู่เซิ่งยักไหล่พลางทำหน้าเจื่อน
……………………………………….