ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 807 สภาพคดี (1)
“ฮ่าๆ ไม่ใช่ว่ากลัวหรอกนะ” บัดดี้หัวเราะ ทุกคนรู้ว่าคดีฆาตกรรมล่าสุดเกิดขึ้นที่ชั้นบนของห้องแจ๊ค
“ได้ยินมาว่านายรู้จักสามีภรรยาคู่นั้นด้วยนี่” บัดดี้ถามอย่างสงสัย
ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างเอือมระอา
“ไม่อยากกลับไปเพราะอย่างนี้นี่แหละ เวลานอนบนเตียงเหมือนเพดานจะมีเลือดซึมลงมาเลย”
“เอางั้นก็ได้ นายเข้าไปก่อน ฉันเข้าเวรอยู่ อีกเดี๋ยวว่างแล้วค่อยคุยกัน”
“ได้” ลู่เซิ่งเดินผ่านประตูเหล็กของสถานีตำรวจ หยิบบัตรยืนยันตัวตนออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อให้คนเฝ้าประตูดู จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้าโถงใหญ่ของสถานีตำรวจ
เจ้านายของเขาเป็นคนไว้เครายาวอายุสี่สิบปี เป็นพวกที่มีความขัดแย้งในตัวเอง หยิ่งกับคนภายนอก แต่ดีกับคนของตัวเอง กอปรกับคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นเหนือห้องที่แจ๊คอยู่พอดี เขาจึงได้รับการอนุโลมให้อยู่อาศัยในหอพักของตัวเอง หลังลงทะเบียนข้อมูลเรียบร้อย เขาก็อยู่หอพักได้ทุกวัน หนำซ้ำยังมีอาหารให้สามเวลา เช้า กลางวัน และเย็น
พอจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ เขาก็ถือกุญแจตรงดิ่งไปยังหอพัก ลางสังหรณ์ที่มาจากจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งบอกเขาว่า เป็นไปได้เป็นอย่างยิ่งที่ต่อจากนี้จะมีเรื่องที่ยุ่งยากกว่าเดิมเข้ามาอีก
เขาต้องรีบยกระดับพลังของร่างกายร่างนี้ให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้น…
เข้าไปในหอพัก ลู่เซิ่งถอดเสื้อผ้าที่สกปรกออก จากนั้นก็ออกไปซื้อของกินของใช้ที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ นี้
แล้วก็รีบกลับห้อง เพื่อเริ่มแนวทางเพิ่มความแข็งแกร่งในการจุติครั้งนี้
หอพักเป็นห้องเดี่ยว มีตู้เสื้อผ้า เตียง โต๊ะ กับเก้าอี้ ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นห้อง
แสงไฟสีเหลืองสลัวส่งความอบอุ่นอ่อนๆ อยู่เหนือศีรษะเขา
‘ร่างนี้อ่อนแอเกินไปแล้ว…’ ลู่เซิ่งยกมือขึ้นมาขยับข้อต่อ กระดูกส่งเสียงลั่นกร๊อบแกร๊บเบาๆ นี่หมายความว่าเวลาปกติเคลื่อนไหวน้อยเกินไป ไม่ได้ขยับข้อต่อบางส่วน จึงเกิดเสียงเช่นนี้
‘การจำกัดของกฎรุนแรงมาก แต่ไม่เป็นไร เมื่อมีดีปบลูอยู่ด้วย ทุกอย่างก็ไม่ใช่ปัญหา’
ลู่เซิ่งลูบคาง
‘แต่สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ เราจำได้แท้ๆ ว่าความเร็วของเวลาที่กำหนดไว้ก่อนจุติไม่ใช่ความเร็วอย่างตอนนี้นี่นา…’
เขาสงสัยว่าตัวเองอาจได้รับผลกระทบอะไรสักอย่าง ตอนนี้ใช้ปราณปฐพีไม่ได้ ทั้งยังขยายจิตวิญญาณไม่ได้เช่นกัน เลยไม่อาจทำอะไรไปมากกว่านี้
‘โลกใบนี้มีเลือดลมระดับพื้นฐาน สามารถเดินบนเส้นทางเลือดลมได้ จากนั้น ในเมื่อมีพลังเหนือธรรมชาติอยู่ ก็ควรจะเดินบนเส้นทางนี้ได้เหมือนกัน เพียงแต่จำเป็นต้องทดสอบและทำความเข้าใจดูก่อนว่าพลังธรรมชาติทางด้านไหนของที่นี่ไม่ถูกจำกัดบ้าง ถ้าหากเจอระบบพลังของที่แห่งนี้ได้จะดีที่สุด’
ลู่เซิ่งแบฝ่ามือออกมา ยกนิ้วชี้อีกข้างขึ้นมากัด ก่อนจะวาดเป็นสัญลักษณ์เล็กๆ มากมายบนฝ่ามือ
สัญลักษณ์พวกนี้เป็นตัวแทนของเทวลักษณ์หรืออักขระพลังงานย่อยทุกชนิดที่เขาครอบครองอยู่ ตั้งแต่คุณสมบัติพิษไปจนถึง ดิน น้ำ ลม ไฟ และคุณสมบัติแยกย่อยอื่นๆ…
สัญลักษณ์หลายชนิดเรียงกันเหมือนบทความสั้นๆ กลางฝ่ามือของเขา
‘เรียบร้อย…สัญลักษณ์พลังสิบสามชนิด เป็นสัญลักษณ์พื้นฐานทั้งนั้น ดูหน่อยซิว่าจะใช้พลังงานพื้นฐานชนิดไหนได้บ้าง’
ลู่เซิ่งกำมือก่อนจะลุกขึ้นไปหาผ้าพันแผลกับแอลกอฮอล์มาฆ่าเชื้อทำแผลอย่างตั้งใจ
จากนั้นก็เป็นเวลาทดสอบที่น่าเบื่อหน่ายที่สุด นั่นคือการปรับสัญลักษณ์เลือดบนฝ่ามือให้เป็นหนึ่งเดียวกับ ลมหายใจ จิตใจ และเสียง เพื่อให้ใช้พลังได้
ลู่เซิ่งทดลองสัญลักษณ์ทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เกิดผลสักอย่างเดียว
‘หรือว่ากฎจะทำให้การกระตุ้นสัญลักษณ์ไม่ทำงาน’ ลู่เซิ่งจนปัญญาอยู่บ้าง ทำได้แต่หยุดลงก่อนชั่วคราว
ก๊อกๆๆ
อยู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากประตู
“ใครน่ะ ฉันอาบน้ำอยู่!” ลู่เซิ่งชะงักเล็กน้อยก่อนเอ่ยถามเสียงดัง
“ฉันเอง ฮาสัน พรุ่งนี้มีประชุม ท่านผู้กำกับมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ นอกจากนี้บ่ายวันที่แปดมาดอนน่าจะเป็นคนนำกลุ่ม คดีฆาตกรรมเหนือห้องนายเมื่อก่อนหน้านี้มีเบาะแสใหม่แล้ว นายเองก็เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ต้องออกปฏิบัติงานเหมือนกัน อย่าไปไหนล่ะ” ด้านนอกมีเสียงแหบห้าวของผู้ชายดังมา
“เบาะแสใหม่…โอเค ประชุมกี่โมง” ลู่เซิ่งถามอีก
“สิบโมง อย่าสายล่ะ ฉันไปกินข้าวก่อน” ฮาสันพูดจบก็เดินจากไป
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกสัมผัสได้รางๆ ว่า เหมือนกับมีมือปริศนากำลังยื่นเข้ามาหาเขาจากความมืดที่เขาไม่อาจสัมผัสได้อย่างช้าๆ
‘ดีปบลู’ เขาคิดในใจ
อินเตอร์เฟซสีฟ้าปรากฏออกมาลอยอยู่ตรงหน้า
ลู่เซิ่งไม่สนใจกรอบหลักของร่างหลัก ก่อนจะนึกย้อนถึงวิชาเลือดลมจำนวนมากที่ตัวเองถนัด
แม้จะปลดปล่อยจิตวิญญาณออกด้านนอกไม่ได้ แต่ยังคงมองภายในได้อยู่
‘ทักษะที่ร่างนี้ครอบครองอยู่มีน้อยเกินไป…ได้แต่ต้องเริ่มใหม่แต่ต้น’
เป็นเพราะไม่เข้าใจในข้อจำกัดกฎด้านพลังงานของโลกใบนี้ ลู่เซิ่งจึงถือโอกาสจัดระเบียบวิชา เรียบง่ายที่ใช้ฝึกเลือดลมชุดหนึ่งออกมา
วิชานี้ใช้เพียงอาหารและการออกกำลังกายมาเพิ่มความอดทน เพิ่มพละกำลัง และความเร็วเล็กน้อย
นี่เป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นเองโดยอัตโนมัติเพื่อยกระดับเลือดลม
แน่นอนว่ายังมีภูมิคุ้มกันอื่นๆ อีก ซึ่งหากเลือดลมแข็งแกร่งขึ้น พวกมันก็จะยกระดับโดยภาพรวมขึ้นให้เอง
‘วิชานี้ เพิ่มพวกวิชาภายนอกกับวิชาแข็งกร้าวเข้าไปหน่อย เพื่อยกระดับการป้องกันกับความสามารถเอาตัวรอด…เพิ่มท่าเท้าที่ใช้เร่งความเร็วกับปฏิกิริยาตอบสนองอีกนิดเพื่อใช้หลบหลีก จะได้รับมือทันตอนเจอพวกอาวุธยุทโธปกรณ์…แล้วถ้าหากได้รับบาดเจ็บแต่ความสามารถฟื้นฟูอ่อนด้อยก็แย่เหมือนกัน…ยังมีความอดทน…ต้องเน้นหน่อย แบบนี้จะได้สวมอุปกรณ์ป้องกันอย่างเกราะกันกระสุนเพิ่มเพื่อเพิ่มการป้องกันได้อีก…แล้วก็ไอ้นี่…ไอ้นี่ก็ต้องเพิ่มเหมือนกัน…ไม่อย่างนั้น…อันนี้ก็ด้วย…’
ครึ่งชั่วโมงต่อมา…
ลู่เซิ่งมองวิชาไม่มีชื่อที่โผล่มาใหม่ในกรอบของดีปบลูด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
[วิชาไม่มีชื่อ: ยังไม่ได้เรียนรู้ (เพิ่มพละกำลัง 0.1 ระดับ, ความเร็ว 0.1 ระดับ, ความอดทน 0.1 ระดับ, ปฏิกิริยา 0.1 ระดับ, ภูมิคุ้มกัน 0.1 ระดับ…)]
ต่อจากนั้นยังมีรายการคุณสมบัติร่างกายอีกมากมาย
‘ผลลัพธ์จากการใส่ทุกอย่างก็คือ ทุกอย่างสมดุลเกินไป ความสมดุลที่มากเกินไปหมายถึงความธรรมดา…’
ลู่เซิ่งเข้าใจเหตุผลนี้ดี
‘ดีตรงที่เรามีพลังอาวรณ์ หากจะยกระดับความธรรมดาที่แสนธรรมดาก็อาจจะกลายเป็นเก่งกาจ ทุกด้านก็ได้ เพียงแต่กุญแจสำคัญเพียงหนึ่งเดียวนั้นอยู่ที่การยกระดับเลือดลมขั้นพื้นฐานเพื่อใช้หล่อเลี้ยงกายเนื้อ จะได้เพิ่มความแข็งแกร่งติดต่อกันได้ อย่างนั้น…มาเริ่มกันเลย…’
วิชานี้เป็นวิชาที่เขาบัญญัติขึ้นด้วยการจัดระเบียบความรู้และความเข้าใจด้านวรยุทธ์ของตัวเอง เขาสามารถปรับปรุงสามระดับแรกได้เอง
‘ตั้งชื่อว่า…วิชาเลือดลมก็แล้วกัน’
ลู่เซิ่งตั้งชื่อง่ายๆ
‘ยกระดับวิชาเลือดลมหนึ่งระดับ’ เขาใช้จิตกดปุ่มปรับเปลี่ยนด้านล่างอินเตอร์เฟซของดีปบลู
จากนั้นก็เพ่งมองกรอบวิชาอย่างคุ้นเคย
ซู่…
กรอบพร่ามัวในทันใด จากนั้นก็แจ่มชัดอย่างรวดเร็ว
[วิชาเลือดลม: ระดับแรก (คุณสมบัติทุกด้านยกระดับหนึ่งขั้น)]
อือ!
ในทันทีที่กรอบชัดเจน ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายพองขึ้น ผิวบนตัวมีอาการปวดบวมราวกับลูกโป่งที่ถูกเป่าลม
อาการปวดบวมแตกต่างจากวิชาที่เขาเคยฝึกฝนก่อนหน้านี้ เป็นความเจ็บปวดจากภายในถึงภายนอก ถึงขั้นที่จิตใจก็พลอยถูกฉีกทึ้งไปด้วย แต่ร่างกายไม่มีอาการปวดเลยแม้แต่น้อย
ความเจ็บปวดก่อนหน้าที่เกิดจากวิชาที่เขายกระดับเหล่านั้นเทียบกับความเจ็บปวดครั้งนี้แล้วเป็นคนละระดับโดยสิ้นเชิง
เป้าหมายแรกของเขาในการสร้างวิชานี้คือการยกระดับกายเนื้อขึ้นทุกด้าน กลับนึกไม่ถึงว่าการยกระดับกายเนื้อทุกด้านหรือการยกระดับกายเนื้ออย่างสมดุลประเภทนี้ จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
‘จิตวิญญาณ…กำลังขยายตัว!’ จิตวิญญาณระดับมายาพิศวงที่ยิ่งใหญ่ถึงขีดจำกัดของลู่เซิ่ง กลับได้รับการหล่อเลี้ยงและเพิ่มระดับจากการยกระดับทุกด้านนี้
แม้จะยกระดับเพียงนิดหน่อย แต่นี่เป็นโลกใบเล็ก ก่อนหน้านี้มีเพียงแต่ต้องสะสางผลกรรมเท่านั้น ถึงจะหลอมรวมกับวิญญาณ และทำให้จิตวิญญาณขยายตัวได้ ทว่าพอมาอยู่ที่นี่ แค่ฝึกฝนก็ยกระดับจิตวิญญาณได้แล้ว
‘โลกใบนี้ผิดปกติ!’ ลู่เซิ่งระวังตัวขึ้นทันที ถ้าหากโลกทุกใบเป็นแบบนี้ เช่นนั้นเขาคงไร้คู่ต่อกรมานานแล้ว สามารถหาสถานที่ที่มีเวลาแตกต่างกัน จากนั้นก็ฝึกฝนเป็นเวลาร้อยล้านปี เสร็จแล้วค่อยกลับไปต่อยสัตว์โบราณและกระทืบวิญญาณดวงดาวเอาก็ได้
พลังอาวรณ์ถูกใช้ไปสิบเจ็ดหน่วยจึงค่อยหยุดนิ่งลง
‘แค่ยกระดับคุณสมบัติทุกด้านหนึ่งขั้น ก็ใช้พลังอาวรณ์ถึงสิบเจ็ดหน่วยแล้ว…’ ลู่เซิ่งอดกลั้นต่อความเจ็บปวด สัมผัสได้ถึงเรื่องนี้
ไม่ว่าจะเป็นผลจากวิชาหรือว่าการผลาญพลังอย่างเป็นรูปธรรม โลกใบนี้ก็ผิดปกติอย่างที่สุด
ความเจ็บปวดคงอยู่อีกหลายชั่วโมง จนกระทั่งถึงตอนตีสามกว่าถึงค่อยสงบลง
หลังจากเสร็จสิ้น ลู่เซิ่งก็นอนหงายบนพื้น เหน็ดเหนื่อยอิดโรยจนไม่อยากลุกขึ้น
คราบสีแดงเข้มชั้นหนึ่งซึมออกมาจากผิวเขา เป็นสิ่งเจือปนกับเลือดสกปรกที่ถูกขับออกมาหลังจากภายในร่างกายได้รับการปรับแต่งและเสริมความแข็งแกร่ง
‘เพิ่มยกระดับขั้นเดียวก็เจ็บปวดขนาดนี้แล้ว…’ นอนอยู่สักพักลู่เซิ่งจึงค่อยลุกไปอาบน้ำ
หลังจากชำระล้างร่างกายเรียบร้อย เขาก็เดินออกมาถึงหน้ากระจกบนประตูตู้เสื้อผ้าในสภาพเปลือยเปล่า
‘ไขมันบนร่างหายไปแล้ว กล้ามเนื้อและรูปร่างเพรียวขึ้น กระดูกได้รับการปรับแต่งรอบหนึ่งเพื่อให้ส่งแรงได้ดีกว่าเดิม’
เขาต่อยหมัดไปด้านหน้า
ฟ้าว!
หมัดถูกต่อยออกและชักกลับอย่างรวดเร็ว
‘ความเร็วกับพละกำลังได้รับการยกระดับ รวมไปถึงพวกการเคลื่อนไหว การมองเห็น ปฏิกิริยาตอบสนอง และความเร็วล้วนเพิ่มระดับขึ้นทั้งหมด มีแต่อวัยวะภายในกับกระดูกที่เหมือนได้รับภาระอย่างหนัก ต้องปรับอีกเล็กน้อยถึงจะยกระดับต่อไปได้’
ในการยกระดับใดๆ ต่อให้เป็นดีปบลู ก็ต้องดำเนินการตามกฎธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของสภาพแวดล้อมภายนอก
ธรรมชาติของกล้ามเนื้อและกระดูกมีความทนทานกับอายุการใช้งาน หลังจากปรับแต่งไปมากมาย ยังต้องใช้เวลาหล่อเลี้ยงฟื้นฟู ไม่อย่างนั้นจะทำให้ร่างกายพังทลาย ได้ไม่คุ้มเสียเอา
พักผ่อนสักพัก ลู่เซิ่งรู้สึกหิวจนไส้กิ่ว จึงเอาอาหารที่ซื้อไว้มากินอย่างตะกละตะกราม แต่ก็ยังรู้สึกไม่อิ่ม จึงสวมเสื้อผ้าลงไปซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงที่อยู่ใกล้ๆ แล้วแบกกลับมาที่ห้องอีกครั้ง
ถ้าร่างกายต้องการปรับตัวเข้ากับการเพิ่มความแข็งแกร่งในครั้งนี้อย่างสมบูรณ์ แล้วเริ่มการเพิ่มความแข็งแกร่งครั้งที่สอง ตามการคำนวณแล้วอย่างน้อยต้องใช้เวลาสามวัน แต่พรุ่งนี้จะเริ่มทำงานแล้ว อีกทั้งลู่เซิ่งยังไม่มีความคิดจะทิ้งสถานะตำรวจนี้ไปด้วย
……………………………………….