ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 809 หมากลับ (1)
ลู่เซิ่งวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะ ตามด้วยอาหารอีกชุดหนึ่ง เป็นขนมปังแห้ง โยเกิร์ต กับช็อกโกแลตที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อ เขาไม่เคยได้ยินชื่อยี่ห้อมาก่อน ด้านนอกห่อฟอยล์สีเทาที่มีเฉพาะร้านสะดวกซื้อร้านนั้น ทั้งหมดให้พลังงานแคลอรี่สูงมาก
ในเมื่อจะสร้างการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติ ย่อมต้องเตรียมไว้ให้ครบทุกสิ่ง
ลู่เซิ่งถอดเสื้อผ้าออกส่องกระจก ร่างกายกำยำกว่าแจ๊คคนก่อนมาก แต่ยังไปไม่ถึงขีดจำกัด
หวูดๆๆ
เสียงแหลมสูงดังสนั่นของรถไอน้ำดังมาจากด้านนอก
ลู่เซิ่งเดินไปเลิกผ้าม่านดู ลอนดอนถูกปกคลุมอยู่ในหมอกสีดำอมเทา เมื่อมองผ่านหมอกก็จะเห็นรถสองคันเหมือนจะชนกันอยู่ข้างใต้หอพัก คนขับกำลังเปิดหวูดใส่กันเสียงดังเอะอะ
ริมถนนมีคนหยุดดู แต่ส่วนใหญ่เร่งฝีเท้าจากไปด้วยท่าทางเร่งรีบและสีหน้าด้านชา
กรี๊ด!
ในเมืองอันมืดมิดที่อยู่ไกลออกไปมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา เป็นเสียงผู้หญิง
เสียงเช่นนี้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง เมื่อลอนดอนเข้าสู่ยามกลางคืนมักจะได้ยินเป็นประจำ
‘พวกร่อนเร่ที่ไหนสักคนไปทำให้คนเดินถนนตกใจเข้าล่ะสิ บางทีคนเดินถนนอาจจะเจออุบัติเหตุบนถนนก็ได้ หรือไม่ก็ถูกข่มขืน…’
ลู่เซิ่งรู้สึกเฉยชา เรื่องแบบนี้อีกไม่นานก็ได้เห็นในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันแล้ว ลอนดอนของโลกใบนี้วุ่นวายเกินไป
‘พอที…ต้องเริ่มแล้ว…’
ก๊อกๆๆ
ในตอนนี้เองประตูห้องก็ถูกเคาะขึ้นมา
“แจ๊ค จดหมายจากครอบครัวของนาย”
เป็นบุรุษไปรษณีย์ที่อยู่ใกล้กับสถานีตำรวจ
“ขอบใจ” ลู่เซิ่งเดินไปเปิดประตูและรับจดหมายสองฉบับมาจากมือบุรุษไปรษณีย์
หลังปิดประตูแล้ว เขาก็เปิดจดหมายฉบับหนึ่ง
บนจดหมายเป็นการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบที่ผู้เฒ่าแจ๊คหรือพ่อของแจ๊คเขียนมา เนื่องจากเป็นห่วงเรื่องคดี ที่เกิดขึ้นด้านบนห้องที่แจ๊คเช่าอยู่
ยังมีเรื่องของพี่สาวกำลังจะหมั้นหมาย เลยอยากให้เขาพยายามกลับบ้านในช่วงกลางเดือนหน้า เพื่อเข้าร่วมพิธีหมั้น
สุดท้ายเป็นเรื่องที่ดอกอาคาเซียดำที่แจ๊คปลูกไว้ก่อนหน้านี้ผลิบานแล้ว สามารถกลับไปดูได้ รวมถึง เจ้าหมาแก่เฮนรี่ที่ขาบาดเจ็บเมื่อวาน...จากนั้นเป็นเรื่องทั่วไปที่ไม่สลักสำคัญอะไร
ลู่เซิ่งวางจดหมายลง ก่อนจะเปิดจดหมายที่ส่งมาจากเบอร์ลิน
คนส่งคือ ไคลี จี
เธอคือแม่ของแจ๊ค และเป็นภรรยาคนแรกที่ได้หย่ากับผู้เฒ่าแจ๊คไปแล้ว
ในจดหมายพูดถึงความกังวลเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นด้านบนห้องเขา ขณะเดียวกันยังบอกด้วยว่า ถ้าเป็นไปได้ หวังว่าเขาจะลาออกจากอาชีพตำรวจ แล้วเปลี่ยนไปทำงานที่ค่อนข้างปลอดภัยแทน
การโน้มน้าวแบบนี้พบเห็นได้ไม่น้อยในความทรงจำของแจ๊ค แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จริงใจและลงรายละเอียดขนาดนี้
ไคลีผู้เป็นแม่พูดถึงกรณีตัวอย่างของตำรวจหลายนายที่ตายในหน้าที่ที่เบอร์ลิน เธอโน้มน้าวให้แจ๊คไปอยู่ด้วย ยังพูดอีกว่าช่วงนี้ทางเยอรมันกับฝรั่งเศสเกิดความขัดแย้งกัน เป็นไปได้มากที่จะเกิดความขัดแย้งทางการเมือง เลยต้องการให้แจ๊ครีบไปโดยเร็วที่สุด
เทียบกับจดหมายของผู้เฒ่าแจ๊ค จดหมายของไคลี จี ผู้เป็นแม่เย็นชากว่าเล็กน้อย แม้ความรู้สึกที่แสดงออกมาในแต่ละบรรทัดจะสมจริง แต่ก็แสดงอุปนิสัยและคุณลักษณะเด่นๆ ของทั้งสองออกมาอย่างชัดเจน
ผู้เฒ่าแจ๊คชอบระลึกถึงความหลัง มีความอบอุ่น และเอาใจใส่กับทุกอย่างรอบตัว
ส่วนไคลีเพียงให้ความสนใจและความสำคัญกับสิ่งที่ตัวเองเป็นห่วงเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงเรื่องรอบข้างแม้แต่น้อย จึงดูเย็นชายิ่งกว่า
ลู่เซิ่งวางจดหมายลงแล้วเดินไปหน้าโต๊ะหนังสือ ก่อนจะเขียนจดหมายตอบกลับคนทั้งสอง
ทางผู้เฒ่าแจ๊คยังดีหน่อย แต่ทางไคลี จี กลับต่างออกไป จะต้องเรียบเรียงคำพูดอย่างระมัดระวัง ไคลีเป็น คนที่หลอกได้ยาก
หนำซ้ำสาเหตุที่แจ๊คคนเดิมไม่อยากไป หลักๆ แล้วเป็นเพราะไม่อยากแทรกตัวเข้าไปในสังคมของผู้เป็นแม่อย่างกะทันหัน
เธอหย่าไปแล้ว จึงมีสังคมของตัวเองห่างไกลจากเขาเหลือเกิน
เธอมีครอบครัวใหม่ มีความสัมพันธ์ใหม่ มีกิจวัตรการใช้ชีวิต บรรยากาศ และลักษณะการพูดการจาใหม่
สังคมแบบนั้นเป็นสังคมที่เขาไม่อาจหลอมรวมเข้าไปได้ และไม่อยากจะหลอมรวมเข้าไป
เขาอายุไม่น้อยแล้ว แค่อยากจะหาผู้หญิงดีๆ สักคน แต่งงาน มีลูก และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เท่านั้น
นี่เป็นความคิดในใจของแจ๊คคนเดิม
…
ณ กรุงเบอร์ลิน
ด้านในคฤหาสน์สไตล์ราชสำนักที่มีหลังคารูปโดมแบบคลาสสิคสีขาวน้ำนมแห่งหนึ่ง
ไคลีกางร่มเดินอยู่บนพื้นหญ้า เธอปัดผมออก ดวงตาเรียวยาวที่หรี่ลงเล็กน้อยมองไกลออกไป
ในสายตาคนนอก เธอเป็นหญิงแกร่งคนหนึ่งที่ธุรกิจประสบความสำเร็จ สง่างามและมีความรู้ นอกจากนิสัยเย็นชาไปบ้าง ความสามารถเก่งกาจไปหน่อย ที่เหลือก็ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง
ทว่ามีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ว่า ในใจตนยังคงคิดถึงครอบครัวนั้นอยู่
เธอไม่ได้คิดถึงคนคนนั้น หากแต่คิดถึงลูกชายที่ตนเองอุ้มท้องนับสิบเดือน
นับตั้งแต่เธอตรวจเจอว่าเธอไม่อาจตั้งครรภ์ได้อีกเพราะอุบัติเหตุทางรถครั้งหนึ่ง เธอก็ให้ความสำคัญกับแจ๊คผู้เป็นลูกชายคนเดียวของตนยิ่งกว่าเดิม
ยามนี้ การให้ความสำคัญก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุที่มากขึ้น
“เจ้านายคะ เป็นเพราะเรื่องของแจ๊คหรือคะ” หญิงสาวผมน้ำตาลมัดหางม้าคนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ห่างจากเธอมากก็ยกเครื่องดื่มค็อกเทลมาให้เธอ
“อือ แจ๊คยังเป็นตำรวจอยู่…ก่อนหน้านี้ฉันนึกว่าเขาจะเล่นสนุกพอแล้วเสียอีก นึกไม่ถึงเลยว่าจะเกิดปัญหาใหญ่แบบนี้”
ไคลี จี ตอบอย่างสงบ เธอดูไม่เหมือนคนอายุใกล้เลขห้าแม้แต่น้อย ผิวพรรณได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี บวกกับเครื่องแต่งหน้าที่งดงาม จึงดูเหมือนมีอายุราวสามสิบปีเท่านั้น
“แจ๊คคงคิดเผื่อคุณนั่นแหละค่ะ อย่างไรคุณก็ไม่ใช่คุณคนเดิมแล้ว เขาไม่อยากทำให้คุณลำบากไปด้วย” หญิงสาวส่ายหน้าเล็กน้อยพลางเกลี้ยกล่อม
เมื่อสิบกว่าปีก่อน ไคลี จีได้แต่งงานกับคาโปพ่อค้าแห่งกรุงเบอร์ลิน และได้กลายเป็นหนึ่งใน ผู้คุมหางเสือในธุรกิจครอบครัวของคาโป เทียบกับวันเวลาที่ยากลำบากก่อนหน้า ไคลีในตอนนี้ได้กลายเป็นสมาชิกของสังคมชั้นสูงแล้ว
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เธอแต่งงานกับคาโปในตอนที่เธอครอบครองธุรกิจซึ่งไม่ด้อยกว่าตระกูลคาโป เป็นการแต่งงานในระดับเดียวกัน
ดังนั้นเธอจึงมีอำนาจต่อรองในตระกูลคาโปเป็นอย่างมาก
“ฉันรู้ดี เพียงแต่รู้สึกว่าแบบนี้ไม่ยุติธรรมกับแจ๊ค เซลีน่ากับบรองค์มีความสุขแล้ว เขาก็ควรจะได้ด้วย” ไคลี จีเอ่ยเสียงราบเรียบ
เซรีนากับบรองค์เป็นลูกของคาโป แต่เธอเลี้ยงดูพวกเขาเหมือนลูกแท้ๆ
“ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว เซลีน่าบอกว่าจะไปเที่ยวที่เวอเนอร์ ตอนนี้ออกเดินทางหรือยัง” ไคลี จี ถามก่อนจะยกค็อกเทลขึ้นจิบ
“ออกเดินทางแล้วค่ะ นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายที่จะให้นายน้อยบรองค์ไปเรียนต่อที่มหาลัยอลาสโกก็เตรียมไว้แล้วเช่นกัน พร้อมออกเดินทางทุกเวลาค่ะ” หญิงสาวตอบ
“ดูให้ดีว่าเขายังขาดเหลืออะไร นอกจากนี้เพิ่มเงินให้เขาอีกเดือนละห้าพันปอนด์จากบัญชีของฉัน เวลาอยู่ในโรงเรียนจะปล่อยให้ภาพลักษณ์แย่ไม่ได้ จะต้องมีการเข้าสังคมระดับพื้นฐานด้วย” ไคลีดูแลลูกติดสามีอย่างดีเช่นกัน
“ค่ะ”
“นอกจากนี้ให้พวกเขาเตรียมเจอกับพี่ชายของพวกเขาในวันปีใหม่ด้วย” ไคลีทราบว่าทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่มากเสียหน่อย สังคมทางด้านนี้อยู่คนละระดับกับแจ๊คโดยสิ้นเชิง
แต่เธอไม่อยากให้ลูกชายของตัวเองโดดเดี่ยว
“วันเทศกาลอย่าลืมไปรับเขามาล่ะ”
แม้แจ๊คจะรู้สึกอึดอัดทุกครั้งที่มา แต่ไคลียังคงตัดสินใจจะให้ลูกสามคนได้ใกล้ชิดกัน
เธอตัดสินใจแล้ว
“รับทราบค่ะ” หญิงสาวไม่มีความเห็นอะไร แจ๊คถูกเรียกให้มาเข้าร่วมงานเลี้ยงของทางนี้เกือบทุกปีอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่ค่อยดีใจเท่าไรก็แค่นั้น
…
‘ผิดปกตินิดหน่อยแฮะ…’ ลู่เซิ่งควบคุมปราณปฐพีที่ฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อยให้หล่อเลี้ยงร่างกายของตัวเองอย่างรวดเร็ว
เขากำลังจะเริ่มเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่วิชาเลือดลมของร่างกายร่างนี้ อยู่ๆ ก็สังหรณ์ใจถึงอะไรบางอย่าง จึงอยากทดลองเชื่อมจิตวิญญาณของร่างหลักเข้ากับสัญญาณจากโลกมารสวรรค์ดู
ทุกครั้งที่จุติ ร่างหลักของเขาจะมีคุณสมบัติใช้พลังเชื่อมต่อกับสัญญาณที่มาจากโลกมารสวรรค์
ทว่าเขาเพิ่งจะเกิดลางสังหรณ์ และเชื่อมต่อกับสัญญาณจากโลกมารสวรรค์ได้ไม่ทันไร ก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่าสัญญาณได้หายไปแล้ว
‘เกิดอะไรขึ้นกันแน่!? บันไซไม่มีทางทำข้อผิดพลาดง่อยๆ แบบนี้แน่!’ ลู่เซิ่งรู้สึกเคร่งเครียด ในที่สุดก็สัมผัสได้ว่า ความรู้สึกกระวนกระวายในใจหลังจากมาถึงโลกใบนี้ของเขามาจากไหน
เขาเปลี่ยนวิธีการเชื่อมต่อสิบกว่าวิธีติดต่อกัน นำเทวลักษณ์ อักขระ และค่ายกลมาซ้อนกัน ใช้ปราณปฐพีค้นหากฎของมิติ ตามหาร่องรอยที่เหลืออยู่ในมิติ ใช้วิธีทุกวิธี น่าเสียดายที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
เครื่องหมายตอบกลับสัญญาณที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ ทั้งสิ้น
ยุ่งวุ่นวายอยู่สักพักหนึ่ง สีหน้าของลู่เซิ่งก็คร่ำเคร่งจนน่ากลัว
กลับไม่ได้
ไม่เพียงแต่ไม่มีสัญญาณกลับไป แต่ถึงขั้นออกจากมิตินี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
มิติทั้งมิติเหมือนกับแข็งแกร่งขึ้นถึงขีดสุดในพริบตา ไม่อาจเทียบกับตอนเข้ามาได้โดยสิ้นเชิง
ความรู้สึกเข้าได้ออกไม่ได้นี้ทำให้ลู่เซิ่งนึกถึงเจ้าลัทธิไม่จีรังในตอนนั้นทันที
‘ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญแน่!’ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก ‘แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ควรสร้างความมั่นคงในโลกนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน’
ระบบพลังของโลกใบนี้ไม่แตกต่างจากโลกใบเดิม
พลังงานในสถานการณ์ปกติทั้งหมดเรียกใช้ได้ยาก ในอากาศไม่มีปราณกำเนิดอันเป็นพลังงานนับไม่ถ้วนที่เต็มเปี่ยมเหมือนโลกใบอื่นๆ
‘ดีปบลู’
สีหน้าของลู่เซิ่งเคร่งขรึมขึ้น
ฟิ้ว
อินเตอร์เฟซสีฟ้าปรากฏออกมา
ลู่เซิ่งใช้จิตวิญญาณตรวจสอบสภาพในร่างกายของตัวเอง พร้อมทั้งปรับลมหายใจให้ผ่อนคลาย เพื่อทำให้เลือดลมเสถียรกว่าเดิม
‘เริ่มกันเลย…’ เขาเพ่งสายตาไปที่ปุ่มปรับเปลี่ยนด้านล่างแล้วกดลงไป
จากนั้นก็ละสายตากลับมาบนกรอบด้านล่างสุด
[วิชาเลือดลม: ระดับที่หนึ่ง (คุณสมบัติทุกด้านยกระดับหนึ่งขั้น ยกระดับคุณสมบัติทุกรายการ 0.1 ขั้น)]
‘การยกระดับหนึ่งขั้นนี้มุ่งเป้าไปที่คุณสมบัติทั้งหมด เป็นการยกระดับขั้นละประมาณสิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้เรามีปราณปฐพีมาหล่อเลี้ยงฟื้นฟูแล้ว อยากเห็นเหมือนกันว่าจะยกระดับถึงขีดจำกัดได้ไหม’
ลู่เซิ่งข่มกลั้นอารมณ์ที่หงุดหงิดเอาไว้
‘ยกระดับวิชาเลือดลมถึงระดับที่สอง’
เสียงฟิ้วดังขึ้น กรอบวิชาเลือดลมพร่ามัวทันที
สองวินาทีต่อมา กรอบชัดขึ้นอย่างรวดเร็ว พลังอาวรณ์สายหนึ่งทะลักออกจากช่องอก แล้วกลายเป็นเส้นสาย นับไม่ถ้วนพุ่งไปยังทุกส่วนของร่างกาย
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายกำลังพองขยายและแข็งแกร่งขึ้น ทุกส่วนของร่างกายรวมถึงอวัยวะภายในต่างก็คันยิบๆ แผ่กระจาย การหล่อเลี้ยงของปราณปฐพีช่วยฟื้นฟูความเสียหายหลังจากเพิ่มความแข็งแกร่ง
สิบนาทีต่อมา…
‘เราแข็งแกร่งขึ้นแล้ว…’ ลู่เซิ่งกำมือ สัมผัสได้อย่างแจ่มชัดว่า ร่างกายตัวเองยกระดับขึ้นหนึ่งเท่า
‘ดูเหมือนจะห่างจากขีดจำกัดอีกไกล ต่อเลย…ยกระดับวิชาเลือดลมถึงระดับสาม…’
ไม่นาน พลังอาวรณ์อีกสายก็ทะลักออกมาจากช่องอก จากนั้นก็กลายเป็นเส้นเล็กๆ นับไม่ถ้วนกระจายไปทั่ว ทุกส่วนของร่างกาย
ครั้งนี้เหมือนร่างกายจะปรับตัวได้บ้างแล้ว การยกระดับจึงไวขึ้น ลู่เซิ่งถึงขั้นได้ยินกายเนื้อส่งเสียงดังซู่ๆ ในตอนที่ได้รับการหล่อเลี้ยงและเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
‘ต่อไป ยกระดับถึงระดับสาม…’
‘ยกระดับถึงระดับสี่…’
‘ระดับห้า…’
‘ระดับหก…’
‘ระดับเจ็ด…’
……………………………………….