ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 810 หมากลับ (2)
“ฆ่ามัน…”
“ฆ่ามัน…”
“ฆ่า…”
หญิงสาวสวมเดรสสีแดงคนหนึ่งยืนอยู่ในเงามืดใต้ไฟเหลืองสลัวริมถนน สองตามองเหม่อไกลออกไป
หน้าซีดขาวของเธอฉายแววร้อนรน แต่ก็ดูไร้ชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิมเมื่ออยู่ในเงามืด
“ฉันกำลังฟัง…” หญิงสาวตอบเสียงที่ลอยเข้าหูของเธออย่างต่อเนื่องจากในความมืด
“ฉันกำลังฟัง…เสียงที่มาจากความมืด…”
หมอกจางค่อยเริ่มแผ่กระจายออกมารอบตัวหญิงสาว แสงไฟสีเหลืองจากไฟริมถนนดูสลัวลงกว่าเดิมเหตุด้วยถูกหมอกบดบัง
“ราชาแห่งวารีที่ยิ่งใหญ่…พลังของราชาแห่งวารีคงอยู่ทุกแห่งหน พิธีกรรมของพวกเราจะต้องจัดขึ้นให้ได้ ทุกคนที่ขัดขวางจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!” เสียงในความมืดกล่าวต่อ
“ฉันรู้…” หญิงสาวตอบเสียงต่ำ
“ขอแค่จัดพิธีกรรมได้อย่างราบรื่น พลังของราชาแห่งวารีจะชำระล้างลอนดอน พวกมันจะโหยหวน ร่ำไห้ และสำนึกเสียใจต่ออาชญากรรมมากมายที่ได้ทำลงไปในหุบเหวแห่งวารีที่ไร้สิ้นสุด”
“ตอนนี้สร้างตราประทับเสร็จสิ้นไปสองครั้งแล้ว ขอแค่มีครั้งที่สาม ก็จะเริ่มพิธีกรรมขั้นแรกได้…ทูตจะก้าวข้ามผ่านโลกมา…แล้วค่อยเพิ่มความแข็งแกร่งและเริ่มพิธีกรรมช่วงที่สอง” เสียงนั้นว่าต่อ
“ดังนั้น จงไปเถอะ…ไปฆ่าผู้ขัดขวางทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใคร…ไม่ว่าจะ…”
หญิงสาวยืนเงียบงันอยู่ในเงามืด
ทันใดนั้น ผมสีดำของเธอก็ยาวขึ้นและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็ตกลงไปบนพื้นราวกับสายน้ำ แล้วเริ่มแผ่กระจายไปโดยรอบ
พื้นใต้ร่างเธอกลายเป็นสีดำจากผมดำกองสุมรวมกัน ส่วนตัวหญิงสาวค่อยๆ หลอมละลายกลายเป็นเส้นผมนับไม่ถ้วน และแยกส่วนลงมาผสมกับผมสีดำข้างใต้ ก่อนจะหายไปทันที
…
‘จิตวิญญาณของเรา…กำลังยกระดับอยู่…’ ลู่เซิ่งไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้มาก่อน การยกระดับพลังในโลกใบเล็กถึงกับทำให้จิตวิญญาณเพิ่มระดับขึ้นไปด้วยเหมือนกับคนธรรมดา!
พึงทราบว่าจิตวิญญาณของเขาไปถึงขั้นที่ยิ่งใหญ่จนไม่อาจยิ่งใหญ่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ทว่าระดับแบบนี้ยังยกระดับขึ้นต่อได้อีก ช่างน่าเหลือเชื่อโดยแท้
ทันใดนั้นเขาก็อดนึกถึงสัญลักษณ์ลึกลับที่ตนได้เห็นก่อนหน้านี้ไม่ได้ งูตัวหนึ่งที่ขดเป็นวงแหวนรอบดวงตาข้างหนึ่ง…
‘ดวงตาแห่งความเลวทรามก็เป็นดวงตาเหมือนกัน และสิ่งนี้ก็เป็นดวงตา…’ ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงเกิดความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างกับสัญลักษณ์ประเภทนี้ เหมือนกับเขาเคยเห็นของสิ่งนี้มานานมากๆ แล้ว
‘ยกระดับต่อ…ระดับยี่สิบสี่…วิชาเลือดลม…’ เลือดลมเป็นสิ่งที่สามารถยกระดับได้อย่างไร้ขีดจำกัด ขอแค่ร่างกายรองรับไหวก็พอแล้ว
ลู่เซิ่งไม่เคยลองใช้วิธียกระดับเลือดลมเพื่อยกระดับคุณสมบัติทุกด้านมาก่อน
วิถีนี้เป็นการทดลอง ทดลองขีดจำกัดเลือดลมที่สิ่งชีวิตบนโลกใบนี้จะรองรับได้
ฮู่ว…
ฮ่า…
ฮู่ว…
ลู่เซิ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้อง ปอดสูดลึกและผ่อนปรนอากาศขนาดใหญ่หลายสายอย่างไม่หยุดยั้ง เขาในตอนนี้มีเลือดลมเยอะกว่าคนธรรมดาถึง 2.4 เท่าแล้ว การยกระดับทุกด้านแบบนี้ไม่เพียงมีแค่การป้องกัน พลังฟื้นฟู หรือความเร็วเท่านั้น ยังมีจิตวิญญาณด้วย…
เขาเหมือนย้อนกลับไปสู่สภาพคนธรรมดา ตอนนั้นขอแค่กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นแค่นิดเดียว ก็จะทำให้จิตวิญญาณยกระดับตามไปด้วย
‘มีบางอย่างผิดปกติ…!’
เลือดลมพองขยายและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าทั่วร่างเกิดอาการปวดบวม นี่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะกายเนื้อเริ่มไม่อาจรองรับเลือดลมที่เพิ่มขึ้นได้ในเวลาอันสั้น
นี่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะขีดจำกัดจากยีนในร่าง แต่ก็ไม่อาจปรับตัวได้เร็วขนาดนี้
‘ปราณปฐพี!’ ลู่เซิ่งโคจรพลังของร่างหลัก กระแสอากาศสีเหลืองหลายสายโคจรในร่างอย่างรวดเร็ว ที่ใดกายเนื้อเสียหาย ก็จะพุ่งเข้าไปเร่งฟื้นฟู
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป
ระดับยี่สิบหก…
ระดับสามสิบ...
ระดับสี่สิบ...
ระดับสี่สิบหก…
ระดับสี่สิบเจ็ด…
ระดับสี่สิบแปด…
ตูม!
ทันใดนั้นก็มีเลือดไหลออกมาจากตา หู จมูก ปากของลู่เซิ่ง
เขาลืมตาอ้าปาก ราวกับส่งเสียงตะโกนที่ไร้เสียง เส้นเลือดฝอยในดวงตาใกล้ปริแตก
‘ใกล้จะไม่ไหวแล้ว ถึงขีดจำกัดแล้ว ดูเหมือนได้แต่รอเพิ่มความแข็งแกร่งในครั้งต่อไปแทน…’ ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่เหมือนกับทั้งร่างถูกฉีกกระชากแทบจะระเบิด จึงเตรียมจะให้ปราณปฐพีหล่อเลี้ยงและฟื้นฟูร่างกายต่อ
ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสบางอย่างได้ จึงก้มหน้ามองตัวเองโดยสัญชาตญาณ
เอ๋?
จู่ๆ เขาก็ชะงัก
ไม่รู้ว่ามีเส้นสีเลือดจำนวนมากปรากฏขึ้นตรงหน้าอกของร่างกายร่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร เส้นเล็กๆ เหล่านี้ดูเหมือนกับเส้นเลือดฝอยบนผิวที่แตกออก ก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งไม่ทันสังเกต แต่พอพิจารณาดู เวลานี้เขากลับพบบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้
‘นี่มัน…อะไรกันเนี่ย?!’
ลู่เซิ่งยื่นมือไปลูบหน้าอกเบาๆ เส้นเลือดตรงนั้นดูพร่ามัว ไม่เห็นสิ่งใด แต่ว่าหลังจากเขาใช้นิ้วลูบเบาๆ สัญลักษณ์ตัวหนึ่งก็ค่อยปรากฏนูนขึ้นบนผิว
มันคือเหยี่ยว มีปีกทั้งสองด้านของสัญลักษณ์ ด้านหลังมีหาง ด้านบนมีหัวเหยี่ยว มีดวงตาข้างหนึ่งอยู่ตรงกลาง
เหมือนกับงูที่ขดตัวเป็นวงแหวนและห้อมล้อมดวงตาไว้
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่า ทั้งสองสิ่งนี้เหมือนจะมีการเชื่อมโยงกันพิเศษ
‘สัญลักษณ์นี้…ลักษณะคล้ายกับสัญลักษณ์เทพนอกรีตที่เห็นก่อนหน้านี้เลย แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว มันมาอยู่บนตัวเราตั้งแต่เมื่อไร…อยู่มานานแค่ไหนแล้ว’ ลู่เซิ่งไม่ทราบ
เขาไม่รู้สึกถึงภาวะวิกฤตมานานแล้ว ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณ
ลู่เซิ่งหลับตา แล้วดำดิ่งจิตวิญญาณลงไป จิตเข้าสู่ความว่างเปล่าอันมืดมิดของกระเรียนยักษ์พันเทวะอย่างรวดเร็ว
ภายในความว่างเปล่า พันเทวะอันเป็นร่างหลักของเขาขดตัวอยู่นิ่งๆ ในความมืด
ลู่เซิ่งส่งจิตกลับไปในร่างพันเทวะ จากนั้นก็พบความผิดปกติทันที
ตอนนี้กลางอกของกระเรียนยักษ์พันเทวะมีสัญลักษณ์ลึกลับรูปเหยี่ยวห่อหุ้มดวงตาปรากฏขึ้นเช่นกัน
‘สัญลักษณ์นี้เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ไม่สิ…ไม่ใช่…กลิ่นอายแบบนี้ ไม่มีทางเด็ดขาดที่จะมีอะไรเล็ดลอดเข้ามาในจิตวิญญาณเราอย่างไร้สุ้มเสียงได้!’
ลู่เซิ่งมั่นใจในเรื่องนี้มาก เขาคือมารสวรรค์มายาพิศวง เป็นปรมาจารย์ด้านการควบคุมจิตวิญญาณ ไม่มีทางถูกคนวางเล่ห์กลในจิตวิญญาณโดยที่ตัวเองไม่พบเห็นเด็ดขาด
ทว่าตอนนี้จู่ๆ เขาก็พบว่าพลังจิตวิญญาณของตัวเองมีสิ่งนี้อยู่ด้วย เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสพบเจอมาก่อน นี่ทำให้เขาตื่นตระหนกเข้าแล้ว
‘มารสวรรค์มายาพิศวงมีความสามารถย้อนความทรงจำทั้งหมดของตัวเองที่สมบูรณ์แบบ ก่อนหน้านี้นึกว่าความสามารถนี้ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ตอนนี้กลับเอามาใช้ได้พอดีว่าสิ่งนี้คืออะไร!’
กระเรียนยักษ์พันเทวะในความมืดค่อยๆ ขยับตัว ก่อนจะอ้าปากพ่นลมหายใจอย่างไร้เสียง
ครืน!
ชั่วพริบตานั้นแสงสว่างสีเหลืองอมดำกลุ่มหนึ่งก็ห่อหุ้มมันไว้ พันเทวะค่อยๆ หลับตา ความทรงจำเริ่มเล่นย้อนกลับอย่างรวดเร็ว
ภาพนับไม่ถ้วนไหลย้อนกลับในดวงตาของลู่เซิ่ง เรื่องราวที่เคยผ่านพบมาไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ ต่างนึกย้อนได้เป็นฉากๆ
เหมือนกับเล่นภาพยนตร์ย้อนกลับ สามารถกดปุ่มหยุดและพิจารณารายละเอียดในภาพได้ตลอดเวลา
ความทรงจำตั้งแต่เริ่มจุติย้อนกลับไปถึงดาวเงาพริบตาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ย้อนไปในตอนเขาเพิ่งเข้าร่วมสำนักนทีคราม กลับถึงนครตราชั่ง กลับถึงบทสนทนาระหว่างเขากับอสูรอินทรีราชสีห์แปดเศียร…
พลังจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของลู่เซิ่งตรวจสอบช่วงความทรงจำช่วงละหนึ่งวินาที
ไม่นานนัก ความทรงจำก็ย้อนกลับไปถึงบนดาวปรภพ ตั้งแต่สำนักมารกำเนิด ถึงต้าซ่ง ถึงแดนเหนือ
‘เป็นไปได้อย่างไร!?’ ลู่เซิ่งมองดูตนเองในความทรงจำ ไม่ว่าจะหยุดลงช่วงเวลาใด ขอแค่หาให้ละเอียด ก็จะเจอสัญลักษณ์ดวงตากับเหยี่ยวบนตัวในความทรงจำได้ตลอด
สัญลักษณ์ประหลาดนั่นซ่อนอยู่ลึกสุดขีด ซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดของจิตวิญญาณเสมอมา
ลู่เซิ่งหยุดดูหลายสิบรอบ ถึงขั้นเห็นสัญลักษณ์อันนั้นเปล่งแสงอย่างลับๆ หลายครั้งเพื่อช่วยเร่งฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ
ไม่นานความทรงจำก็ย้อนกลับไปถึงเมืองเก้าประสาน!
เปรี้ยง!
ดวงตาขนาดยักษ์ของกระเรียนยักษ์พันเทวะฉายแววโมโห ตกตะลึง และบิดเบี้ยวอย่างไม่อาจควบคุม
‘สัญลักษณ์นี้!…’ เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีสัญลักษณ์นี้มาตั้งแต่ต้น
มันซ่อนอยู่ในร่างกายและส่งผลซ่อนเร้นอย่างลับๆ
ความทรงจำยังคงเล่นย้อนกลับ ความทรงจำในเมืองเก้าประสานเล่นช้าลงมาก เวลานี้เป็นเวลาที่เขาทะลุมิติมาเป็นคนธรรมดาตอนเพิ่งมาถึงดาวปรภพ
แต่ยิ่งมาถึงตรงนี้ ลู่เซิ่งก็ยิ่งขนลุกขนพอง
แม้สัญลักษณ์นี้จะไม่ได้มีความรู้สึกของการดำรงอยู่มากนัก แต่เขาก็รับไม่ได้ที่ตัวเองไม่เคยเจอการดำรงอยู่ของมัน
นี่คือตัวแปร!
ความทรงจำเล่นย้อนกลับไปจนถึงฉากที่นอนอยู่บนเตียงตอนเพิ่งทะลุมิติ
ไม่นานนัก เขาก็เห็นจิตวิญญาณของตัวเองพลิกไปมาในร่าง ในจิตของตัวเองย้อนนึกถึงความเจ็บปวดเจียนตาย ณ เวลานั้น วิญญาณหลอมรวมเข้ากับกายเนื้อที่ไม่คุ้นเคย ความเจ็บปวดในตอนนั้นไม่ได้ผ่อนคลายไปกว่าความทรมานที่พบเจอหลังจากนั้นเลย
หลังจากจิตวิญญาณกับกายเนื้อหลอมรวมกัน ในที่สุดลู่เซิ่งก็ค้นพบว่า จิตวิญญาณอันนั้นมาจากที่ใด
ในตอนที่จิตวิญญาณกับกายเนื้อกำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง สัญลักษณ์ดวงตากับเหยี่ยวอันลึกลับก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในเลือดเนื้อ และเริ่มช่วยกายเนื้อป้องกันจิตวิญญาณของลู่เซิ่ง
แต่คล้ายจะเป็นเพราะพื้นฐานของกายเนื้ออ่อนแอเกินไป หลังจากสัญลักษณ์นั้นสู้กับจิตวิญญาณของลู่เซิ่งอยู่สักพัก มันก็ผลาญพลังมากเกินไป จึงจำต้องถอยกลับไปอยู่ในส่วนลึกของร่างกายเหมือนทำได้เพียงเพิ่มพละกำลังให้แก่กายเนื้อเท่านั้น ไม่มีความสามารถใดๆ อีก
สุดท้ายจิตวิญญาณก็หลอมรวมกับร่างกายเป็นหนึ่ง
ความทรงจำย้อนต่อไป
ภาพต่อไปเป็นภาพที่จิตวิญญาณของลู่เซิ่งลอยละล่องในกระแสวังวนมิติเวลาสีรุ้ง เวลาที่ล่องลอยอยู่ยาวนานอย่างยิ่ง…
ตอนแรกยังมีจิตวิญญาณที่คล้ายกันจำนวนมากล่องลอยอยู่ร่วมกับเขา แต่พอกระแสวังวนมิติเวลาเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง จิตวิญญาณก็เริ่มถูกบดขยี้ จิตวิญญาณที่ป่นปี้กลายเป็นอนุภาคนับไม่ถ้วน แล้วถูกจิตวิญญาณที่เหลือหลอมรวมดูดซับ
ลู่เซิ่งเห็นวิญญาณของตัวเองเป็นดวงที่ดูดซับมากที่สุด หลังจากเวลาผ่านไปเรื่อยๆ วิญญาณที่ตายก็ทวีจำนวนขึ้น พวกมันเหมือนเริ่มปลุกความสามารถต่างๆ ขึ้นมาได้
เพียงแต่ตอนนั้นจิตยังสับสน ไม่รู้อะไรสักอย่าง เมื่อไม่มีกายเนื้อคอยประคับประคอง และไม่เคยผ่านการฝึกฝนมาก่อน จิตวิญญาณก็ทำตามแค่สัญชาตญาณเท่านั้น
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไร สุดท้ายลู่เซิ่งก็เห็นจิตวิญญาณของตัวเองจับตัวกันในระดับหนึ่ง ในที่สุดก็เจอโอกาสดีที่พันปียากพบพาน
ร่องแยกสีเทาสายหนึ่งปรากฏขึ้นแวบหนึ่งท่ามกลางกระแสวังวนมิติเวลา
‘มันนี่เอง!’
ลู่เซิ่งเห็นวิญญาณของตัวเองเบียดเสียดวิญญาณที่หลงเหลืออยู่โดยรอบอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะพุ่งเข้าไปในร่องแยกเหมือนสุนัขหิวโซพุ่งเข้าหาอาหาร
เหมือนเป็นเพราะหลังจากปรับตัวเข้ากับมิติเวลาได้ในขณะกำลังข้ามมิติ ก็ได้รับการหล่อเลี้ยงจากกระแสปั่นป่วนของมิติเวลาที่ห่อหุ้มอยู่
ลู่เซิ่งมองเห็นจากในความทรงจำว่า วิญญาณของตนแข็งแกร่งถึงขีดสุดตั้งแต่แรก เหมือนจะมีพรสวรรค์ความสามารถบางอย่างอยู่แล้ว
เขาเห็นตัวเองพุ่งลงมาถึงดาวปรภพราวสายฟ้าฟาด ลอยไปถึงเมืองเก้าประสาน และมุดเข้าไปในร่างชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง
หนุ่มคนนั้นเพิ่งจะอยู่ในสภาพย่ำแย่หลังจากจิตวิญญาณสู้กับพลังงานบางอย่างในตัว
ลู่เซิ่งมองเห็นจิตวิญญาณของตนฉวยโอกาสมุดเข้าไป จากนั้นก็เริ่มแย่งชิงสิทธิ์ควบคุมร่าง
……………………………………….