ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 814 เบอร์ลิน (2)
น้ำในสระกระเพื่อมน้อยๆ ผมสีทองของเซลีน่าสยายออก เหมือนดอกไม้สีทองที่เบ่งบานกลางน้ำ
เสียงดำน้ำดังซู่ซ่า
เธอโผล่ตัวขึ้นจากน้ำ สะบัดหยดน้ำบนตัว หน้าอกหน้าใจที่ตั้งตระหง่านส่ายไปมาในมุมที่ชวนน่าลุ่มหลง
เธอจับราวโลหะที่อยู่ด้านข้างสระน้ำแล้วเดินขึ้นฝั่ง
“เซลีน่า! เห็นยาโรคหัวใจของฉันไหม” บรองค์ถามเสียงดัง
“ไม่นี่ นายเอาไปวางไว้ในห้องนอนไม่ใช่เหรอ ห้องนอนนายน่ะ” เซลีน่าเช็ดน้ำบนใบหน้าก่อนจะตอบ
“หาไม่เจอ” บรองค์ตบไหล่ของเพื่อนที่อยู่ด้านข้างแล้วเดินมาทางนี้
เขานั่งลงริมสระว่ายน้ำและคุยกับเซลีน่าเบาๆ
ญาติทางครอบครัวพ่อของพวกเขากำลังเล่นไพ่กับลูกๆ อยู่ไม่ไกลออกไป
อีกด้านหนึ่ง หนุ่มสาวหลายคนที่ไม่รู้จักกำลังคุยเล่นกันอยู่
ลู่เซิ่งถึงขั้นค้นหาในความทรงจำของแจ๊คอยู่นานโข ก็ไม่เจอภาพประทับใจใดๆ เห็นได้ชัดว่า แจ๊คไม่รู้จักคนพวกนี้เช่นกัน
เป็นแบบนี้ทุกครั้ง
เป็นแบบนี้ทุกปี
ลู่เซิ่งหยิบเหล้าแก้วหนึ่งบนโต๊ะใกล้เขามาจิบ ความจริงแอลกอฮอล์ของเหล้าพวกนี้ต่ำมาก บวกกับใส่อะไรอีกหลายอย่างเข้าไปเช่นน้ำผลไม้ เวลาดื่มจึงรู้สึกไม่ต่างจากน้ำผลไม้เท่าไหร่
ลู่เซิ่งไม่ชอบดื่มเหล้า ดังนั้นเหล้าที่เขาดื่มจึงเป็นประเภทเจือจาง
นี่เป็นภาพเหตุการณ์ที่มายังงานเลี้ยงของไคลี จีผู้เป็นมารดาทุกปี แต่ละปีล้วนเป็นแบบนี้ แจ๊คแตกต่างจากพวกเขา เพราะเขาไม่อาจหลอมรวมเข้ากับกลุ่มได้ และพวกบรองค์กับเซลีน่าก็ไม่มีความคิดจะช่วยเขาด้วย
พวกเขาเหมือนกับแม่น้ำสองสายที่แบ่งแยกกันชัดเจน ไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน
ลู่เซิ่งนอนอยู่ใต้ร่มกันแดดริมสระเงียบๆ ดื่มเหล้าพลางอาบแดด เช็ดถสองขาอย่างเกียจคร้าน
“ถึงเวลารับประทานข้าวแล้วค่ะ!” จนกระทั่งถึงยามเที่ยง หญิงรับใช้จึงมาเรียกทุกคนไปกินข้าว เขาค่อยลุกขึ้นจากเก้าอี้เอนหลัง สวมเสื้อนอกที่ตั้งอยู่ด้านข้าง แล้วเดินลากเท้าไปในคฤหาสน์
โถงใหญ่ของคฤหาสน์ตากอากาศกว้างขวางมาก ตรงกลางมีโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสตั้งชิดกันสองตัว กลายเป็นโต๊ะยาวที่นั่งได้สิบกว่าคน
เหล่าคนรับใช้รีบปูผ้าขาว วางอุปกรณ์ทานอาหาร จากนั้นก็ยกอาหารมา
ไคลี จีนั่งบนตำแหน่งประธาน มองดูลูกชายลูกสาวและหลานชายหลานสาวของตัวเองด้วยความรักใคร่
“พวกเราเป็นครอบครัวใหญ่ ทุกๆ ปีที่ฉันให้พวกเธอมารวมตัวกันครั้งหนึ่ง ก็เพราะหวังว่าในอนาคตเวลาไปอยู่ที่อื่นแล้วเจอความลำบากจะได้ช่วยเหลือกัน ไม่ใส่ร้ายกัน ฉันหวังว่าพวกเธอจะทะนุถนอมความสัมพันธ์และข้อผูกมัดนี้”
“คุณแม่ รีบกินข้าวเถอะครับ อีกประเดี๋ยวพวกเรายังต้องไปโรงกลั่นเหล้าองุ่นใกล้ๆ นี้ องุ่นของที่นั่นสุกแล้ว ได้ไปเที่ยวเล่นพอดี” บรองค์เลิกคิ้วและกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขานับว่ายังหนุ่มยังแน่นเมื่อเทียบกับคนที่นั่งอยู่ที่นี่ เพิ่งอายุยี่สิบกว่าปี อยู่ในวัยชอบเที่ยวพอดิบพอดี
“เพื่อนฉันบอกว่าจะไปซื้อหนังสือที่ถนนซานฟรานตอนบ่าย…ฉันนัดกับเขาไว้แล้ว ตอนบ่ายคงไปกับพวกนายไม่ได้” หนุ่มหล่อผมสีทองอีกคนเอ่ยอย่างเสียดาย
“งั้นก็เหลือแค่พวกเราสินะ” เซลีน่าส่งเสียงถาม
“ใช่ เหลือแค่พวกเรา”
กลุ่มคนเริ่มสนทนากันเอง ไคลี จี ส่ายหน้าอย่างจนใจ เธอเอ็นดูเด็กๆ เหล่านี้มาโดยตลอด
เธอมองลู่เซิ่ง ลูกติดจากสามีคนแรกยังคงนั่งกินข้าวอยู่ตรงนั้นโดยไม่ส่งเสียง เหมือนกับไม่ได้ยินคำพูดของลูกคนอื่นๆ อย่างไรอย่างนั้น
ยังเข้ากันไม่ได้อีกหรือ
ไคลี จีถอนใจในใจ
“เซลีน่า ตอนบ่ายลูกว่างอยู่ใช่ไหม” เธอถามตามตรง
“เอ่อ…หนูนัดเพื่อนสนิทไว้แล้ว…”
“พาแจ๊คไปด้วยสิ” ไคลี จีตัดบทเธอ
เซลี น่าเผยสีหน้าไม่ยินยอม แต่เธอรู้จักแม่ของตัวเองดี ถ้าเกิดว่าคุณแม่ตัดบทเวลาคนอื่นพูด การตัดสินใจที่เธอทำไปแล้วไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีก ถ้าไม่ปฏิเสธจนถึงที่สุดแล้วสุดท้ายถูกต่อว่า ก็ต้องตอบรับโดยไม่มีข้อแม้
เธอมองแจ๊คอย่างจนปัญญาอยู่บ้าง ในใจหงุดหงิดเล็กน้อย ไม่มีใครอารมณ์ดีในเวลาแบบนี้ได้หรอก ทั้งที่ตัวเองวางแผนการทุกอย่างไว้แล้ว แต่อยู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้าโผล่มาแทรก ยังต้องให้ตัวเองคอยรับผิดชอบพาเขาเที่ยวทุกที่ทุกเวลาอีก
“ก็ได้ค่ะ…” เธอพยักหน้า สุดท้ายก็ตกลง เพราะไม่อาจต่อต้านได้
ลู่เซิ่งมองเซลีน่า ความจริงเขาไม่อยากจะไปเสวนากับน้องชายน้องสาวเหล่านี้ แต่ท่าทีของไค ลี่จีนั้นห้ามตั้งข้อสงสัย เขาเองก็ไม่ได้คิดอะไร อย่างไรเบาะแสก็อยู่ในเบอร์ลิน ไปเดินเล่นก่อนก็ไม่เลวเหมือนกัน ถือว่าทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม
ขณะกินข้าว ไคลี จีก็สอบถามสถานการณ์ของพวกหลานๆ ไปด้วย
เซลีน่าเพิ่งเข้าไปดูแลบริษัทขุดเจาะน้ำมัน ถือว่ารับหน้าที่ระดับหัวหน้าควบคุม แต่ความจริงนี่เป็นอาชีพที่เธอยอมทำเพราะเห็นแก่เบื้องหลังของวงศ์ตระกูล ทุกๆ วันเธอแค่ต้องทำเป็นเดินดูเอกสารก็พอ ส่วนเวลาที่เหลือก็แทบไปเที่ยวเล่นจนหมด
ปีนี้เซลีน่าอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว ตระกูลแนะนำคนหนุ่มมากความสามารถให้เธออย่างต่อเนื่อง ถ้าเธอยังไม่ยอมตกลง คาดว่าจะต้องถูกบังคับให้หมั้นหมายแน่
ตอนนี้เธอมีสิทธิ์เลือกอิสรภาพเพราะไคลี จีรับแรงกดดันให้ ถ้าเธอไม่ยืนหยัด ภายหน้าคงลำบาก กลายเป็นคนเสียสละที่เอาไว้แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ของพวกตาเฒ่าในตระกูล
ทุกคนบนโต๊ะอาหารสนทนากันโดยมีเซลีน่าเป็นศูนย์กลาง
ลู่เซิ่งที่ฟังอยู่ด้านข้างก็เบื่อหน่าย จึงก้มหน้าก้มตากินไป พอกินไปได้ครึ่งทาง ไคลี จีก็ลากหัวข้อมาที่ตัวเขา
“แจ๊ค ลูกคิดจะทำงานตำรวจนั่นต่อไปอีกเหรอ อาชีพแบบนี้มีความหมายสำหรับลูกนักหรือไง” ไคลี จีมองลู่เซิ่งด้วยความจนปัญญา
“ผมแค่อยากทำเรื่องที่ผมอยากทำครับ” ลู่เซิ่งตอบ
“คดีเมื่อก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เตือนสติลูกอีกเหรอ หรือสักวันลูกคิดจะให้แม่กับพ่อไปยืนไว้อาลัยให้ลูกจริงๆ” คำพูดของไคลี จีหนักอึ้งเล็กน้อย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารที่เดิมทีคึกคักจึงกร่อยลง
ดวงตาสิบกว่าคู่มองลู่เซิ่ง ดูว่าเขาจะตอบอย่างไร
ลู่เซิ่งนิ่งไปเล็กน้อยและค่อยๆ กล่าวว่า “ผมแค่รับประกันได้ว่าจะพยายามรักษาตัวเองอย่างเต็มที่”
ไคลี จีส่ายหน้าอย่างผิดหวัง ไม่ได้พูดอะไรอีก
ในบรรดาลูกๆ แจ๊คเป็นคนไม่กี่คนที่ไม่ฟังคำสั่งของเธอ เพราะเขาไม่รับบุญคุณจากเธอ และไม่ต้องการเงินของเธอ ชีวิตประจำวันของเขาถึงขั้นเรียบง่ายกว่าคนธรรมดา ดังนั้นเธอจึงไม่อาจใช้เรื่องพวกนี้มาบีบบังคับเขาได้
ไม่เหมือนกับลูกคนอื่นๆ หากไม่มีเงินช่วยเหลือชีวิตหรูหราสุรุ่ยสุร่าย ก็จะกลับสู่สภาพเดิมในพริบตา
“ในเมื่อลูกยืนกราน อย่างนั้น…ก็ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว กินข้าวต่อเถอะ” ไคลี จีเปลี่ยนเรื่องทุกคนกินข้าวกันอย่างเงียบๆ เหล่าคนรับใช้ยกอาหารหลักมาเสิรฟ์อย่างไม่หยุดหย่อน
หลังพ้นช่วงบ่าย ลู่เซิ่งก็เดินตามเซลีน่าเลียบสระว่ายน้ำจากสวนด้านหลังไปยังลานจดรถ
“นั่งรถฉันไป จะได้เอาของให้เพื่อนสนิทได้” เซลีน่าสะบัดผมสีทองอร่าม เธอสวมกระโปรงคอร์เซทคอต่ำสีดำ เสื้อผ้าแหวกอกถึงขั้นเห็นร่องลึกขาวโพลนชวนคนให้ตาลาย
เอวคอดกิ่วของเธอดูบอบบางกว่าเดิมภายใต้การรัดจากกระโปรงดำ เหมือนกับแค่บีบเบาๆ ก็อาจหักได้
กอปรกับหน้าตาที่งดงามและรูปร่างที่สูงชะลูด ต่อให้อยู่ในแวดวงระดับเดียวกันของเบอร์ลิน เซลีน่าก็ถือว่าเป็นสาวงามคนหนึ่ง
ทั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่มีหัวข้ออะไรให้คุย บรรยากาศจึงกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“แจ๊คคุณอายุสามสิบแล้ว ยังไม่คิดแต่งงานอีกหรือ” เซลีน่าหาประเด็นมาคุย
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไร” ลู่เซิ่งตอบ
“ให้ฉันแนะนำให้ดีไหม ผู้หญิงที่ฉันรู้จักมีอยู่ไม่น้อยเลยนะที่เหมาะกับคุณ” เซลีน่าเสนอ
“ขอถามด้วยเลยก็แล้วกันว่า คุณได้เงินเดือนเท่าไร ถ้าหากน้อยเกินไปคงจะเลี้ยงดูคุณหนูสวยๆ พวกนั้นไม่ได้”
“เดือนหนึ่งมีรายรับตายตัวที่หนึ่งพันกว่าปอนด์ พอใช้จ่ายได้” ลู่เซิ่งตอบตามจริง
“หนึ่งพันปอนด์เหรอ” เซลีน่าไม่รู้ควรพูดอะไรดี เงินแค่นี้…ในสังคมของเธอ ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทที่สภาพครอบครัวธรรมดาที่สุดและยังไม่ได้แต่งงาน ก็มีเงินเดือนสามพันปอนด์แล้ว…
จากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ตอนเดินจะถึงลานจอดรถ เซลีน่าก็อดถามไม่ได้
“คุณไม่คิดจะเปลี่ยนงานหรือ”
“ไม่” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
จากนั้นก็ไม่พูดอะไรกันอีก
รถของเซลีน่าเป็นรถร่วมสมัยสีขาวบริสุทธิ์ ไฟหน้ารถสองดวงด้านหน้าใหญ่โตเหมือนกับลูกตาคางคก
ทั้งสองแยกกันขึ้นรถ
“คุณอยากไปเที่ยวไหนล่ะ ฉันจะไปเดินร้านหนังสือกับเพื่อน จากนั้นไปซื้อชุดชั้นใน” เซลีน่าแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่คิดพาลู่เซิ่งไปด้วย
ลู่เซิ่งก็อยากจะแยกกับเธอเหมือนกัน
“ไปส่งฉันที่เขตถนนฟานดีเซลก็ได้”
“ตรงนั้นมีอะไรเหรอ ช่างเถอะแล้วแต่คุณก็แล้วกัน” เดิมทีเซลีน่าอยากถามให้ละเอียด แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าเขาจะอยากทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่ดี
รถถูกสตาร์ตและแล่นออกจากลานจอดรถ ไปยังเขตเมือง
ลมอ่อนๆ ในวันแดดออกพัดมาปะทะหน้า ลู่เซิ่งนั่งพิงเก้าอี้หนัง พาดแขนบนประตูรถ รถเปิดประทุนพุ่งฉิวไปตามทางเดินรถกลางทุ่งนา
ความเร็วสามสิบหลาถึงกับมอบความรู้สึกนั่งรถสปอร์ตให้แก่พวกเขา
รถแล่นผ่านนาข้าวสีเขียวไปหลายผืน เห็นคนขี่ม้าวิ่งเหยาะย่างร่วมกับสหายบนเส้นทางได้เป็นระยะ ในทุ่งนาเองก็มีชาวนากำลังดำนาอย่างขยันขันแข็งเช่นกัน
ตอนที่รถใกล้ถึงเขตเมือง ชายผมสั้นที่พันผ้าพันแผลไว้บนหน้าหลายคนก็โผล่ขึ้นข้างทางเมื่อไรก็ไม่ทราบ
พอคนพวกนี้เห็นรถเข้าใกล้ก็พากันลุกฮือเหมือนกับนัดกันไว้
ม่านตาของลู่เซิ่งหดตัวเล็กน้อย
“รอก่อน เจอคนรู้จักพอดี ฉันขอลงตรงนี้ก็แล้วกัน” เขาเอ่ยอย่างผ่อนคลายพร้อมกับยิ้มแย้ม
“ตรงนี้เหรอ คุณแน่ใจนะ” เซลีน่าพลันประหลาดใจ
“ใช่ ตรงนี้” ลู่เซิ่งพยักหน้ายืนยัน
“ก็ได้ จากที่นี่ไปด้านหน้าอีกสองสามร้อยเมตรจะมีสถานีพักม้าอยู่ ถ้าคุณไม่อยากเดินก็ขี่ม้าเข้าเมืองเอาก็ได้” เซลีน่าจอดรถ
ลู่เซิ่งโบกมือก่อนจะเปิดประตูลงจากรถ
“ไว้เจอกันตอนค่ำ”
เขาเดินไปหาคนพันผ้าพันแผลบนใบหน้าพวกนั้น
คนพวกนี้ยืนกระจายกันอยู่ พันผ้าพันแผลปิดใบหน้าครึ่งล่างและริมฝีปาก ดูประหลาดยิ่งนัก
พอเห็นลู่เซิ่งมา พวกเขายังยกมือขึ้นโบกไปมาด้วย
เซลีน่าไม่ได้สงสัยอะไร ส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะขับรถไปต่อ
ลู่เซิ่งละสายตาจากรถหันมามองพวกคนด้านหลัง
“เห็นสัญลักษณ์น่าขยะแขยงบนตัวพวกแกมาแต่ไกลแล้ว” เขาเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“รอแกมานานแล้ว แต่ดูเหมือนแกไม่คิดจะตามพวกเราไปดีๆ สินะ…” ชายพันผ้าพันแผลที่เป็นผู้นำหรี่ตาจ้องมองลู่เซิ่ง พร้อมกับถูมือเข้าด้วยกัน
เสียงของพวกเขามีสำเนียงท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด
“แกฆ่าหมีดำ ทำลายการเซ่นสรวง ทั้งยังมาถึงที่เอง ถ้าหากพวกเรายังไม่ตอบโต้ อย่างนั้นก็ซื่อบื้อเกินไปแล้ว…” ชายที่เป็นผู้นำยิ้มเยาะ
“ไปเถอะ ไม่มีปืน แกคงไม่คิดหรอกใช่ไหมว่าจะรับมือพวกเราได้”
……………………………………….