ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 820 เข้าเรียน (2)
“พวกแกรู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “พวกแกใช้ปืนของตัวเองเล็งมาที่พลเมืองดีอย่างฉันหรือ”
เขายื่นมือออกไปจับปากกระบอกปืนตรงหน้าแผ่วเบา
“จงอย่าให้ความปรารถนามาควบคุมมโนสำนึกของตัวเอง…”
“พูดบ้าอะไรวะ! ลงรถ!” โจรตะโกนอย่างอดไม่ไหว กำลังจะลั่นไก
ควับ!
อยู่ๆ มือใหญ่ข้างหนึ่งก็จับมือที่กำลังจะลั่นไกของมันไว้
“ฉันบอกแล้วนะว่าฉันไม่มีอาวุธ!” ลู่เซิ่งยืนขึ้นจากที่นั่ง สีหน้าคร่ำเคร่ง ตอนแรกเขาคิดจะใช้ความสามารถสะกดจิตของวิชาจิตโน้มนำ เพื่อดูว่าความสามารถเกลี้ยกล่อมของตัวเองจะมีผลบ้างหรือไม่
น่าเสียดาย…เมื่อไม่มีความสามารถพิเศษ ความสามารถในการเกลี้ยกล่อมของเขาจึงเหมือนไร้ผล
“มือ…มือฉัน!” โจรส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดเหมือนหมูถูกเชือด ชายฉกรรจ์อย่างเขาคิดจะสลัดมือใหญ่ของลู่เซิ่งให้หลุดออกไปอย่างบ้าคลั่ง
แต่ก็ไร้ประโยชน์เหมือนทารกคิดจะสลัดให้หลุดจากผู้ใหญ่
กร๊อบ
เสียงหักดังขึ้น โจรตะลึงไปเสี้ยววินาที ก่อนจะกรีดร้องอย่างหวาดสะพรึงยิ่งกว่าเดิม
อ๊ากก!
โจรที่เหลือต่างตกใจกับภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางนี้
“ฆ่ามัน!” ชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าตะโกนขึ้น แล้วเล็งปืนไปที่ลู่เซิ่ง
“ตามกฎหมายของประเทศเยอรมนี ฉันน่าจะถือว่าป้องกันตัวนะ” ลู่เซิ่งลงจากรถ แล้วกระโจนไปทางซ้ายทันทีที่อีกฝ่ายลั่นไก ก้าวอีกสองสามก้าวก็เข้าไปถึงตัวอีกฝ่าย ก่อนจะต่อยหมัดใส่
ตูม!
หัวหน้าโจรเหมือนกับถูกค้อนหนักฟาดใส่ ร่างตีลังกาทะลุเข้าไปในร้านขายเครื่องไม้เครื่องมือที่อยู่ใกล้ๆ
หลังจากเกิดเสียงดังโครมคราม ด้านในก็ไม่มีเสียงอะไรอีก
ลู่เซิ่งไม่หยุดเคลื่อนไหว สืบเท้าไปถึงด้านหลังอีกคน แล้วถองศอกใส่ด้านหลัง
กร๊อบ
เกิดเสียงกระดูกสันหลังหัก
“พวกแกบังอาจยิงใส่พลเมืองดีที่ไม่มีอาวุธ รนหาที่ตาย!”
ลู่เซิ่งฟาดมือใส่หน้าของผู้หญิงถือปืนคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง
เกิดเสียงดังเปรี้ยง ปากกระบอกปืนในมือผู้หญิงคนนี้ยิงขึ้นฟ้ามั่วซั่วดังปังๆๆ แก้มซีกขวาบวมขึ้นด้วยความเร็วที่ตาเนื้อเห็นได้ ร่างหมุนไปสิบกว่ารอบก่อนจะล้มลงไปทางขวา ปืนในมือตกลงข้างลำตัว
ลู่เซิ่งพุ่งตัวอีกสองสามก้าวไปถึงตัวโจรที่เหลือ สองฝ่ามือพุ่งใส่ทีละคน ทำร้ายคนทั้งหมดให้บาดเจ็บสาหัสได้ภายในเวลาหนึ่งวินาที
เกิดเสียงปะทะดังปึกปักอย่างต่อเนื่อง
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้น ล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนหนึ่งจากกระเป๋าเสื้อออกมาเช็ดเลือดบนมือ
“พาไปส่งโรงพยาบาลซะ ถ้าช้าไปเดี๋ยวจะตายเอา” เขาเตือนคนเดินถนนที่มาชมดูใกล้ๆ คนหนึ่ง
“เอ่อ…เอ่อครับ!”
คนผู้นี้ได้สติกลับมา ก่อนจะวิ่งล้มลุกคลุกคลานออกไปด้วยสีหน้าซีดขาว
ลู่เซิ่งทิ้งผ้าเช็ดหน้า หมุนตัวกลับไปนั่งบนรถ
อีวาเจอลีนที่อยู่บนที่นั่งคนขับมองเขาด้วยสีหน้าตื่นตะลึงเหมือนมองมนุษย์ต่างดาว
“อยากจะพูดอะไร” ลู่เซิ่งเหลือบมองเธอ “แต่ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ฉันหวังว่าเธอจะไปส่งฉันถึงธนาคารที่พวกเราจะถอนเงินก่อน ไม่อย่างนั้นหากอยู่ที่นี่ต่อ ก็เป็นไปได้ว่าจะโดนเชิญไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ”
อีวาเจอลีนเหมือนตื่นจากภวังค์ รีบติดเครื่องยนต์พาลู่เซิ่งจากไป ทิ้งโจรที่บาดเจ็บนอนร้องโหยหวนอยู่บนพื้น
ลมเย็นพัดผมสั้นลู่เซิ่งให้ปลิวไสวไปด้านหลัง เขาเล่นปืนสีเงินในมือที่ปลดมาจากตัวโจรคนหนึ่ง
เขาไม่รู้ว่าปืนกระบอกนี้เป็นยี่ห้ออะไร แต่ตัวปืนวิจิตรใช้ได้ ก็เลยเอามาด้วย
“แจ๊ค…คุณ…คุณเป็น…” อีวาเจอลีนมีคำถามเต็มไปหมด แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี
เธออยากจะถามว่าทำไมคุณถึงร้ายกาจปานนี้ ฝีมือของคุณเรียนมาจากไหน ทำไมถึงได้มีพละกำลังมากมายนัก คุณเป็นตำรวจธรรมดาจริงหรือ
คำถามมากมายถูกกดข่มไว้ในใจ พร้อมจะระเบิดออกมาได้ทุกเวลา
อีวาเจอลีนไม่เคยเจอพลังที่…น่าตกตะลึงแบบนี้มาก่อนในชีวิต ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ก็จัดการโจรปล้นธนาคารที่ถือปืนเจ็ดแปดคนได้แล้ว
มิหนำซ้ำเขาล้มโจรได้ทีละคนๆ โดยที่ไม่มีอาวุธสักชิ้นอีกต่างหาก ผลงานที่เกือบเป็นปาฏิหาริย์นี้ ทำให้เธอตื่นเต้นจนตัวร้อนผ่าว หัวใจเต้นระรัวกว่าเดิมหลายเท่าตัว
ตอนแรกยังเศร้าสลดเพราะบรองค์ทิ้งเธอ แต่ตอนนี้ ไอ้ของไร้ค่าอย่างความรักอะไรนั่น เธอไม่สนใจอีกแล้ว!
เธอเจอสิ่งที่ตื่นเต้นกว่าเดิมแล้ว
รถแล่นไปอย่างราบรื่นเป็นเวลาสองสามนาที ในที่สุดก็หยุดลงหน้าธนาคารเล็กๆ ที่มีเสาหินอ่อนสีดำสามต้นตั้งอยู่หน้าประตู
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองป้าย ธนาคารเอ็กเซเลนท์ เอ็กซ์เปิร์ต
ในธนาคารมีคนไม่ค่อยมาก อีวาเจอลีนยังคงดำดิ่งอยู่ในการต่อสู้ที่สุดยอดเมื่อครู่อยู่
“ถอนเงินที่นี่หรือ” ลู่เซิ่งถามยืนยันตำแหน่ง
“ที่นี่แหละ ถึงจะไม่ใหญ่ แต่ความจริงมีคนไม่น้อยชอบฝากเงินไว้กับที่นี่ เป็นเพราะการรักษาความลับดีเยี่ยม พวกเงินสีเทาไม่น้อยก็นิยมมาฝากไว้ที่นี่เหมือนกัน” อีวาเจอลีนอธิบาย
ลู่เซิ่งพยักหน้า ก่อนจะลงจากรถเดินเข้าธนาคาร หลังจากถอนเงินมามากกว่าหมื่นมาร์ค ก็กลับขึ้นมาบนรถใหม่
“ไปเถอะ พาฉันไปที่สถานี ฉันต้องการม้าที่จะไปยังหมู่บ้านเมย์เฮน”
“คุณจะกลับมาอีกไหม ก่อนจะกลับลอนดอนน่ะ” อีวาเจอลีนรีบถาม
“ฉันไม่กลับมาแล้ว” ลู่เซิ่งขบคิดก่อนจะตอบ “วันหยุดของฉันมีแค่สองเดือน ตอนนี้ผ่านไปสัปดาห์กว่าๆ แล้ว ดังนั้น…พอกลับจากโรงเรียนแล้ว ฉันก็จะไปลอนดอนเลย”
“งั้นเหรอ น่าเสียดายจริงๆ…” อีวาเจอลีนอยากจะเรียนสักสองสามกระบวนท่าจากลู่เซิ่ง “อย่างนั้น ทิ้งวิธีติดต่อให้หน่อยได้ไหม”
“ได้อยู่แล้ว” ลู่เซิ่งหยิบปากกาออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เขียนที่อยู่ลงบนนามบัตรแผ่นหนึ่ง แล้วส่งให้อีวาเจอลีน
“ถ้าหากแม่มีปัญหาอะไร ให้เธอเขียนจดหมายหาฉัน หรือจะส่งแฟกซ์ไปก็ได้”
“ได้ เข้าใจแล้ว!” อีวาเจอลีนพยักหน้าหงกๆ
“อย่างนั้น ดีใจที่ได้รู้จักเธอนะ ยัยหนูผู้น่ารัก” ลู่เซิ่งยิ้ม
“ฉันก็เหมือนกันค่ะ คุณลุง” อีวาเจอลีนยิ้มตาหยีเช่นกันเดียวกัน
…
ในหลุมใต้ดิน
สัตว์ประหลาดร่างยักษ์ที่เหมือนกับลำไส้ใหญ่กำลังเดินไปมาในพื้นที่ว่างอันมืดมิดอย่างหวาดกลัว
“แย่แล้ว ครั้งนี้แย่แล้ว ข้าเกือบจะโจมตีเมล็ดกาฝากเข้าให้แล้ว! เกือบจะส่งผลต่อแผนการคืนชีพของเทพนอกรีตองค์อื่นเสียแล้ว”
มันบูชาราชาแห่งวารีมาหลายปี เข้าใจดีว่าพวกสาวกงมงายที่แท้จริงจะทำเรื่องน่ากลัวแบบไหนได้บ้าง
พวกมันบ้าคลั่ง ชั่วร้าย ไร้กฎเกณฑ์ แต่ตัวมันไม่เหมือนกัน
มันแค่เลือกเป็นสาวกเทพนอกรีตเพราะผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ได้คิดจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เทพนอกรีตผู้ยิ่งใหญ่ทั้งกายและใจ
การที่เกือบจะลอบโจมตีเมล็ดกาฝากของเทพนอกรีตที่แท้จริงองค์หนึ่ง ทำให้สัตว์ประหลาดหวาดหวั่นสั่นกลัว มันเข้าใจดีว่ พลังที่เทพนอกรีตองค์หนึ่งครอบครองแข็งแกร่งแค่ไหน
สงครามระหว่างเทพด้วยกันน่ากลัวเพียงใด
ความโกลาหลกับความโกลาหล ความไม่รู้กับความไม่รู้ การระเบิดของพลังสองสายสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามต่างสยบต่อความหวาดกลัวและความไม่รู้นั้นได้ทั้งสิ้น
มันคือนักแสวงโชค หากเกิดไปกระตุ้นสงครามเทพเข้า มันจะเป็นคนแรกที่โดนกำจัดทิ้ง
“ไม่ต้องกลัว…” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากในความมืด
สัตว์ประหลาดร่างแข็งทื่อ ค่อยๆ หันไปมองต้นเสียง
“จงทำการบูชาให้สำเร็จเถอะ…พลังนอกรีตที่จุติลงมาเพิ่มจะทำให้สิ่งมีชีวิตได้รับการปนเปื้อนมากกว่าเดิม พลังของราชาแห่งวารีจะทำลายทุกการต่อต้าน ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็ตาม…” เสียงนั้นแฝงความยั่วยวนอย่างเข้มข้น
สัตว์ประหลาดกลืนน้ำลาย สองตาแดงฉานกว่าเดิมภายใต้การล่อลวงของเสียงนั้น จิตที่สับสนสายหนึ่งทะลักเข้าห้วงสมองของมัน
“บูชา…จุติ…บูชา…จุติ…” ร่างของสัตว์ประหลาดสั่นไหวท่ามกลางเสียงพึมพำ แหวกว่ายเข้าไปในความมืด ก่อนจะค่อยหายลับไป
…
กรู๊ๆๆ…
นกพิราบฝูงใหญ่บินไปเกาะอยู่บนสิ่งก่อสร้างที่เหมือนกับหอระฆังอย่างต่อเนื่อง
แสงที่ถูกใบไม้เฉือนออกเป็นชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน ตกลงบนสิ่งก่อสร้างอย่างพอดิบพอดี สะท้อนแสงเรืองรองสีทองออกมาบางส่วน
ผิวสิ่งก่อสร้างมีเส้นโลหะสีทองและเงินอันวิจิตรที่เป็นของประดับกระจายอยู่ทั่ว
โครม
ลู่เซิ่งพลิกมือปิดประตูรถ เงยหน้ามองประตูทางเข้าของโรงเรียนขนาดใหญ่ตรงหน้า
รูปแกะสลักหินสีดำสนิทที่เหมือนกับคนกำลังเจ็บปวดยืนอยู่ที่ทางเข้า
รูปแกะสลักหินรูปนี้กุมศีรษะของตนไว้แน่น สันหลังโค้งงอขณะหมอบกราบกับพื้น แผ่นหลังเข้าหาประตูใหญ่ เหมือนกำลังหมอบกราบไปทางประตูมหาวิทยาลัย
ลู่เซิ่งมองป้ายด้านล่างรูปแกะสลัก
‘ราดิส ปอมเปย์ แกะสลักปี 1775 ชื่อรูปแกะสลัก: ความหวังแห่งการดิ้นรน’
ลู่เซิ่งอ้อมผ่านรูปสลัก ข้างใต้ประตูโรงเรียนมีซุ้มโค้งขนาดยักษ์ ด้านในจัดวางเก้าอี้ไว้ตัวหนึ่ง หญิงชราสวมเสื้อคลุมสีแดงคนหนึ่งนั่งอยู่บนนั้น
“เฮ้ คุณก็มาสอบเข้ามหาวิทยาลัยมิสกาเหมือนกันหรือ” ด้านหลังลู่เซิ่งไม่ทราบว่ามีรถอีกสองคันมาจอดอยู่ร
มีเด็กชายหนึ่งคนและเด็กหญิงอีกสองคนลงมาจากรถ พวกเขาแต่งตัวค่อนข้างพิถีพิถัน แสดงให้เห็นว่าฐานะทางบ้านไม่เลว
คนที่ทักทายลู่เซิ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่ดูห้าวๆ อย่างเด็กผู้ชาย
เธอไว้ผมสั้น สวมเดรสสีดำ ใบหน้ามีสีผิวอย่างคนเอเชีย แต่ก็มีเค้าโครงของคนฝั่งยุโรป น่าจะเป็นลูกครึ่ง
“ใช่ ฉันมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี้เหมือนกัน” ลู่เซิ่งหันไปพิจารณาผู้มาทั้งสาม
“คุณอายุมากแล้วนี่…อ้อ ฉันรู้แล้ว คุณคงสอบเข้าเรียนสำหรับคนเป็นผู้ใหญ่สินะ สวัสดี ฉันไมเคิล พวกเขาสองคนคือเจอร์รี่กับซิสเลย์” เด็กผู้หญิงที่ดูห้าวๆ แนะนำตัวอย่างเป็นมิตร
“สวัสดี” ลู่เซิ่งพยักหน้าให้คนทั้งสอง
“คุณลุงมาคนเดียวเหรอคะ” ซิสเลย์เป็นเด็กผู้หญิงสวมกระโปรงขาวที่ไว้ผมยาว บุคลิกให้ความรู้สึกอบอุ่นมาก
“ใช่ ฉันทำงานแล้ว แต่รู้สึกยังขาดอะไรหลายๆ อย่าง เลยคิดจะกลับมาเรียนอีกครั้งน่ะ” ลู่เซิ่งตอบอย่างจริงจัง
“พอแล้วๆ อย่ามาคุยกันตรงนี้เลย รีบเข้าไปเถอะ ยังต้องยื่นเรื่องขอเข้าสอบอีกนะ จะเข้าได้รึเปล่าก็ยังไม่รู้ จะคุยกันไปทำไม” เด็กผู้ชายคนนั้นเอ่ยอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
ลู่เซิ่งไม่พูดอะไร ส่วนไมเคิลขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินนำกลุ่มเข้าซุ้มประตูโรงเรียน
คนที่เหลือเดินตามไป
ทันทีที่เดินเข้าซุ้มประตู ลู่เซิ่งพลันหันกลับไปมองรูปสลักสีดำรูปนั้น
สองตาของรูปสลักมีเลือดหลายสายไหลออกมาเชื่องช้า พอกะพริบตาอีกครั้ง สายโลหิตก็หายไปทันที เหมือนไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน
……………………………………….