ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 823 สอบ (1)
ในมหาวิทยาลัยมีสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะจำนวนมาก เช่น ม้านั่งยาว เก้าอี้ใต้ร่มไม้ โต๊ะกลมตัวเล็กๆ ที่ย้ายตำแหน่งไปมาตลอดเวลา บางครั้งบนโต๊ะยังจะมีกล่องใส่กระดาษชำระวางอยู่ ข้างกันมีถังขยะสีสำริดที่ปิดฝาไว้มิดชิดอยู่ด้วย
บนต้นไม้ริมทางในบางจุดมีสัญลักษณ์คล้ายดวงอาทิตย์ติดอยู่ ว่ากันว่าด้านในนั้นมีเรื่องราวที่เล่าขานในมหาวิทยาลัยเรื่องหนึ่งซ่อนอยู่ ขอแค่มีคนไขความลับที่สัญลักษณ์นี้ซุกซ่อนเอาไว้ได้ ก็จะเจอสมบัติที่พวกรุ่นพี่ได้ทิ้งเอาไว้
นี่เป็นธรรมเนียมที่มหาวิทยาลัยมิสกาถ่ายทอดมาโดยตลอด นักศึกษาที่จบการศึกษาในทุกๆ ปีจะทิ้งของส่วนหนึ่งให้แก่นักศึกษารุ่นต่อไปโดยไม่รู้ตัว
ของขวัญเหล่านี้บ้างก็เป็นของใช้จำเป็นในชีวิตประจำวันที่ผ่านการใช้มาก่อน บ้างก็อาจจะเป็นสมุดหรือหนังสือเรียน
แต่ก็มีข้อยกเว้นเช่นกันว่านักเรียนจำนวนน้อยถึงที่สุดจะทิ้งสมบัติที่ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนคนไหนก็ตามสามารถเรียนจบภายในสี่ปีได้อย่างสุขสบายราวกับเรื่องตลกร้ายไว้ บ้างก็เป็นความลับที่มีความหมายจริงๆ ส่วนหนึ่ง
“ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่พวกเรามาเพ่นพ่านในสถานที่ผีสางแบบนี้สินะ” ไมเคิลมองซิสเลย์อย่างจนใจ เป็นเพราะพวกเธอมาด้วยกัน หัวหน้าหอพักผู้เมตตาจึงจัดให้พวกเธออยู่ในห้องเดียวกัน อย่างไรหอพักหญิงก็มีคนไม่มาก จึงมีห้องว่างมากมาย
คนที่เดินอยู่ใกล้กับ พวกเธอมีอีกสองคน คนหนึ่งคือลู่เซิ่ง อีกคนคือผู้ชายสวมแว่นรูปร่างผอมสูง
พวกเขาย่อมไม่ได้มาเพ่นพ่านในป่าบวงสรวงเฉยๆ ว่ากันว่าที่นี่เป็นป่าที่มีต้นไม้สัญลักษณ์ดวงอาทิตย์รวมตัวอยู่หนาแน่นที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นจุดทดสอบสำหรับการสอบข้อเขียนของผู้ใหญ่เช่นกัน
“ฉันได้ยินลุงแจ๊คบอกว่า ที่นี่เป็นจุดที่เขาใช้สอบ ในเมื่อพวกเรามาด้วยกัน ก็ต้องมาช่วยเชียร์เขาสิ!” ซิสเลย์กำหมัดน้อยๆ พลางกล่าวเสียงดัง
แต่ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสนใจของเธอกลับบอกความในใจเธอออกมาหมดแล้ว ยัยหนูนี่แค่มาดูสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์เท่านั้น
“เอาล่ะๆ พวกเธอไปเที่ยวก่อนเถอะ ภายในสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์ทุกอันที่อยู่ที่นี่จะมีปริศนาอย่างหนึ่งอยู่ ไปลองไขดูสิ” ลู่เซิ่งส่ายหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อย่างนั้นพวกเรา…ขอล่วงหน้าไปก่อนนะคะ” ซิสเลย์จับมือของไมเคิลด้วยสีหน้ารอคอย
“ไปเถอะๆ” ลู่เซิ่งโบกมือ
เด็กสาวสองคนส่งเสียงรับ ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ ไปยังป่ารกชัฏที่อยู่ไม่ไกลออกไป แม้แต่ไมเคิลที่บอกว่าไม่เอาๆ แต่ร่างกายกลับทรยศซะงั้น
ลู่เซิ่งส่ายหน้าอย่างจนใจ เหลือบมองชายสวมแว่นที่มีท่าทางกระเหี้ยนกระหือรืออยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง ดูเหมือนไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมือนเขาที่ไม่สนใจสมบัติของพวกรุ่นพี่ที่ทิ้งเอาไว้เลย
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไรมากอีก ก่อนจะเดินไปตามทางเดินปูหินเล็กๆ เดินไปไม่ถึงสองร้อยเมตร ด้านหน้าก็ปรากฏตึกหินสีดำขนาดสองชั้นแห่งหนึ่ง
ขอบของชั้นเหมือนกับลวดลายที่ใช้กระดูกแกะสลัก รูปกระรอกปีศาจเสมือนจริงสองตัวถูกสลักไว้เหนือประตู
แม้กระรอกปีศาจทั่วไปจะมีขนยุ่งเหยิงเล็กน้อย แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตของความเป็นกระรอก ทว่ากระรอกสีดำที่อยู่เหนือประตูสองตัวนี้กลับมีท่าทางแปลกประหลาด เหมือนเป็นมนุษย์เจ้าเล่ห์สองคน กำลังยิ้มมีเลศนัย เชื้อเชิญให้ทุกคนที่ยืนอยู่นอกประตูเข้าไปด้านใน
ประตูใหญ่แง้มอยู่เล็กน้อย ได้ยินเสียงพูดคุยจากด้านในได้รางๆ
ลู่เซิ่งเดินอยู่ด้านหน้าสุด จึงเบียดเข้าช่องประตูเข้าไปเป็นคนแรก
ด้านในคือลานรูปทรงรี มีโต๊ะเก้าอี้วางอยู่ไม่น้อย คนจำนวนมากกำลังนั่งทำข้อสอบอยู่ ส่วนใหญ่ถือกระดาษและปากกาพลางขบคิดใคร่ครวญอย่างหนัก แสดงให้เห็นว่าข้อสอบนั้นยากมากทีเดียว
หญิงวัยกลางคนร่างผอมสูงสวมแว่นตาคนหนึ่ง ไพล่มือไว้ด้านหลังและเดินไปเดินมาระหว่างโต๊ะเก้าอี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“คนที่มาใหม่ไปหยิบข้อสอบแล้วมานั่งสอบได้ตามต้องการ จงจำไว้ด้วยว่า ทันทีที่นั่งลง คุณจะมีเวลาทำข้อสอบทั้งหมดสองชั่วโมง พอหมดเวลา โต๊ะจะดีดแผ่นโลหะสีแดงออกมาโดยอัตโนมัติ” หญิงวัยกลางคนแนะนำด้วยเสียงเย็นชา
ลู่เซิ่งพยักหน้า แล้วเดินไปถึงหน้ากระจกบานเล็กด้านข้างประตู มีมือข้างหนึ่งยื่นข้อสอบหนึ่งชุดกับปากกาลูกลื่นให้เขาจากในความมืด
“ขอบคุณ” ลู่เซิ่งรับของมา แล้วหาที่ว่างนั่งลง ก่อนจะเริ่มทำข้อสอบอย่างรวดเร็ว
โจทย์ยากมาก ต่อให้จะใช้มันสมองของลู่เซิ่ง ก็ต้องใช้เวลากว่าสี่สิบนาทีถึงจะทำเสร็จ โจทย์พวกนี้ไม่เพียงแต่ยากเท่านั้น สูตรคำนวณกับขั้นตอนคำนวณที่จำเป็นก็ซับซ้อนอย่างยิ่งเช่นกัน หากไม่เจอวิธีการคำนวณที่ถูกต้องตั้งแต่แรก ก็จะไม่มีเวลาสำหรับแก้ไขครั้งที่สองเด็ดขาด
ผ่านไปสี่สิบนาที ลู่เซิ่งทบทวนเสร็จสิ้น ครั้นยืนยันว่าตัวเองไม่มีข้อผิดพลาด ค่อยลุกขึ้นแล้วส่งข้อสอบให้กับช่องกระจกบานเล็ก
เขาเดินออกจากประตูใหญ่อย่างผ่าเผย ซิสเลย์กับไมเคิลหายไปแล้ว
‘ต่อจากนี้คือการสอบสัมภาษณ์’
ลู่เซิ่งมองตารางเวลาที่เอามาด้วย ด้านบนเขียนบอกเวลาสอบสัมภาษณ์ซึ่งก็คืออีกสามชั่วโมงให้หลัง เวลาเหลือเฟือ
เขาอาศัยช่วงเวลานี้ไปเดินสำรวจรอบๆ เพื่อทำความเข้าใจมหาวิทยาลัยแสนลึกลับนี้
ดูจากปฏิกิริยาของจิตรกรคนนั้น มหาวิทยาลัยแห่งนี้จะต้องมีความลับที่ไม่มีใครรู้อย่างแน่นอน
ลู่เซิ่งเจอป้ายบอกทางสำริดเก่าแก่อันหนึ่งจากริมถนนอย่างรวดเร็ว บนนั้นสลักแผนที่ของทั้งมหาวิทยาลัยเอาไว้
มหาวิทยาลัยมิสกาไม่นับว่าใหญ่ มีขนาดเท่ากับเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งเท่านั้น ด้านในมีสิ่งก่อสร้างทั้งหมดสิบแปดแห่ง บรรจุบุคลากรด้านการศึกษากับนักศึกษาได้ห้าหมื่นกว่าคน
นอกจากหอพักของบุคลากร หอพักนักศึกษา ตึกเรียน ตึกสำนักงาน และตึกทดลองแล้ว ยังมีพวกห้องสมุด เขตธุรการ และสิ่งก่อสร้างประหลาดที่ไม่ได้แขวนป้ายชื่ออยู่ด้วย
ด้านนอกสิ่งก่อสร้างที่ไม่ได้แขวนป้ายชื่อจำนวนมากเหล่านี้ต่างก็แขวนป้ายสีแดงฉานซึ่งหมายถึงการเตือนอันตรายเอาไว้ เขียนคำพูดไว้ว่าห้ามคนไม่เกี่ยวข้องเข้าไป
ลู่เซิ่งเดินเตร็ดเตร่สักพัก มหาวิทยาลัยมีพื้นที่สีเขียวพอประมาณ เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า แต่มีคนน้อยไปบ้าง
เขาเดินเล่นไปทั่ว นับคนเดินถนนทั้งหมดที่เห็นไปด้วย มีแค่ไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น
พอถึงสี่โมงเย็น ก็เป็นเวลาสอบสัมภาษณ์
ลู่เซิ่งเจอสถานที่สอบสัมภาษณ์อย่างรวดเร็ว ตึกสำนักงานที่ 5 ตึกรูปทรงประหลาดที่มองจากไกลๆ แล้วเหมือนกับปลาดาว
ตรงประตูตึกใหญ่มีสิบกว่าคนกำลังต่อแถวอยู่ ต่างเป็นผู้ใหญ่ มีทั้งชายทั้งหญิง ลู่เซิ่งเข้าไปต่อแถวด้วย
ไม่มีใครพูดจา สีหน้าของทุกคนคร่ำเคร่งนิ่งขรึมอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นว่าคนที่มาที่นี่ต่างก็ให้ความสำคัญกับโอกาสนี้ทั้งสิ้น
ลู่เซิ่งสวมเสื้อยืดสีดำ เสื้อคลุมสีเทา และกางเกงยีนส์ ดูเหมือนกับเป็นชุดปกติในยุคสมัยนี้ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่สวมสูทผูกเนคไทแล้ว เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
ทว่าลู่เซิ่งไม่สนใจ การสอบสัมภาษณ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแต่งตัว เขาผ่านการสอบสัมภาษณ์กับการสอบขั้นต้นมาแล้ว ตอนนี้เป็นการสอบครั้งที่สาม ถ้าไม่มีอะไรอยู่เหนือความคาดหมาย ต่อให้คะแนนจะน้อย คะแนนของการสอบสองครั้งก่อนหน้าก็มากพอจะให้เขาเข้าเรียนได้
ลู่เซิ่งกวาดตามองในแถวอยู่สักพัก คนที่เห็นต่างเป็นผู้ใหญ่ แสดงให้เห็นว่าแยกสถานที่สอบสัมภาษณ์กับพวกหนุ่มสาวเหล่านั้น
“ชาลอตต์ แองจี้”
ไม่นานชายไว้หนวดจิ๋มที่อยู่ด้านหน้าลู่เซิ่งก็ถูกเรียกชื่อ เขาจัดเนคไท แล้วเดินเข้าประตูชั้นหนึ่งไป
ผ่านไปราวสองนาที
“แจ๊ค เทาซันด์” ไม่นานนักในประตูก็มีเสียงดังมาอีก
ลู่เซิ่งจัดคอเสื้อและผลักประตูเข้าไป
“ผมแจ๊ค เทาซันด์ สวัสดีครับอาจารย์ทุกท่าน” ประตูด้านหลังเป็นลู่เซิ่งจับปิดลงเอง
แกร๊ก
อยู่ๆ เสียงที่เย็นเยียบก็ดังมาจากด้านหลังเขา ของแข็งที่เย็นเฉียบจ่อกับท้ายทอยของลู่เซิ่ง
“ตอนนี้ศีรษะของคุณถูกปืนลูกซองระยะใกล้อานุภาพแรงสูงกระบอกหนึ่งจ่ออยู่ คนที่อยู่ด้านหลังคือโจรคนหนึ่ง เขาอาจลั่นไกได้ตลอดเวลา คุณจะทำอย่างไร” เสียงหนึ่งถามอย่างเคร่งขรึม
“ไม่ทำอะไรเลย” ลู่เซิ่งยิ้ม ขณะมองดูอาจารย์สอบสัมภาษณ์สามคนที่นั่งเรียงกันเป็นแถวเดียวในตึกใหญ่
“หือ ทำไมล่ะ” อาจารย์คนหนึ่งถามอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
เขาได้ฟังคำตอบมามากมาย แต่ไม่มีใครตอบเหมือนลู่เซิ่ง
อีกสองคนก็รู้สึกสนใจบ้างเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมลู่เซิ่งถึงตอบเช่นนี้
ลู่เซิ่งกลอกตาเล็กน้อย
“เพราะในปืนที่จ่อผมอยู่ไม่มีกระสุน...” เขาอาศัยชั่วพริบตาที่คนด้านหลังงุนงง ถองศอกไปด้านหลัง กระแทกด้ามปืนออกไป จากนั้นก็กระโจนออกจากตำแหน่งเดิม หลบลูกถีบของคนที่อยู่ด้านหลัง
แปะๆๆๆ
กรรมการทั้งสามคนยิ้มพลางปรบมือ จากนั้นก็แยกกันเขียนตัวเลข 99, 99, 100 ลงบนใบคะแนนของตัวเอง
ในคะแนนทั้งสามคน มีสองคนให้คะแนนเกือบเต็ม อีกคนให้คะแนนเต็ม คะแนนแบบนี้ บวกกับก่อนหน้า ถือว่าสอบผ่านแน่นอน
ลู่เซิ่งค่อยๆ ถอยออกมา การสอบสัมภาษณ์จบแล้ว แทบไม่มีอะไรติดขัด นี่ทำให้เขาสงสัยเล็กน้อย ดูเหมือนการสอบของมหาวิยาลัยมิสกาแห่งนี้จะง่ายดายมาก
เขาที่อยู่ว่างๆ ก็เดินเล่นในมหาวิทยาลัยอีกสักพัก สุดท้ายก็กินซี่โครงวัวย่างถ่านที่โรงอาหารภายใต้การนำของหญิงสาวจากกลุ่มแนะนำนักศึกษาใหม่ แล้วถูกจัดให้เข้าพักที่หอพักนักศึกษา
หอพักไม่มีความแตกต่างจากหอพักของมหาวิทยาลัยทั่วไป เพียงแค่เก่าไปหน่อยเท่านั้น แต่มีสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานครบครัน
ต่อจากนั้นเป็นการรอผลสอบ
เช้าตรู่วันต่อมา ผลสอบก็ถูกประกาศ
ลู่เซิ่งผ่านการสอบอย่างที่คาดไว้ หลังจากจ่ายค่าเข้าเรียนจำนวนหนึ่งหมื่นมาร์ค เขาก็ได้บัตรนักศึกษาของตัวเองมาอย่างราบรื่น กลายเป็นนักศึกษาอย่างเป็นทางการของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แล้วเริ่มเข้าเรียนคาบเรียนในวันแรกของมหาวิทยาลัยมิสกาทันที
คาบเรียนไม่มีอะไรยาก ต่างเป็นความรู้พื้นฐานที่ทุกสาขาต้องเรียน
เนื้อหาในคาบเรียนธรรมดาอย่างยิ่งเช่นกัน นอกจากอาจารย์ที่แก่ไปหน่อยและนักเรียนที่น้อยไปหน่อย ที่เหลือล้วนไม่มีปัญหาอะไร
ลู่เซิ่งเรียนอยู่สองวันติดต่อกัน ก็เรียนเนื้อหาจากบทเรียนที่ได้รับมาจนจบด้วยตัวเอง พอเวลาที่เหลืออยู่ไม่มีอะไรทำ ก็เริ่มตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบข้าง
หอพักที่เขาอยู่เป็นเหมือนกับตึกอยู่อาศัยทั่วไป ทุกๆ คนอยู่คนละห้อง แต่ละชั้นจะมีอยู่สิบกว่าห้อง บรรจุคนได้สิบกว่าคน
ชายหญิงไม่มีการแยกพื้นที่ อาจเป็นเพราะต่างเป็นห้องเดี่ยว มหาวิทยาลัยเลยไม่มีการแบ่งเป็นหอชายหอหญิง
ตอนแรกลู่เซิ่งนึกว่า มหาวิทยาลัยควรจะมีกิจกรรมที่ทำให้พวกนักศึกษาได้ปรับตัว แต่สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงก็คือ ไม่นานความพิเศษของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ค่อยๆ แง้มออกมา
หลังจากเข้าเรียนคาบเรียนปกติสามวัน ศาสตราจารย์แก่หงำเหงือกที่เหมือนจะล้มลงไปชักได้ตลอดเวลาซึ่งเป็นอาจารย์ฟิสิกส์พื้นฐาน ก็ส่งใบเลือกสาขาให้ทุกคน
นี่เป็นตารางตัวเลือกที่ทำขึ้นเพื่อใช้เลือกสาขาในปีที่สอง
มันแจกแจงคณะที่เปิดทั้งหมดในมหาวิทยาลัยกับสาขาที่อยู่ในสังกัดออกมา ทั้งยังระบุเงื่อนไขการขอยื่นสมัครไว้ด้วย
……………………………………….