ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 828 ยกระดับอย่างบ้าคลั่ง (2)
‘อย่างนั้น ยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นถึงระดับสาม’
ลู่เซิ่งหลับตาขัดสมาธิกับพื้นอยู่ด้านในห้อง สีม่วงหลายสายบ่อยๆ กระจายออกมาบนกล้ามเนื้อกับผิวหนัง
เส้นเลือดกับกล้ามเนื้อทั้งตัวของเขากระตุกเล็กน้อย สิ่งที่ดูเด่นสะดุดตาที่สุดในนี้ก็บือก้อนเนื้อเล็กๆ บนแขนขวาของเขานั่นเอง
ของสิ่งนี้ปรากฏลวดลายเล็กๆ มากมายด้วยบวามเร็วที่ทำให้บนต้องตกตะลึง
ลวดลายสีม่วงจับตัวบนผิวก้อนเนื้อ เหมือนกับแมลงสีม่วงหลายตัวขยับขยุกขยิก
‘ระดับที่สี่…’
‘ระดับที่ห้า…’
‘ระดับที่หก…’
ลู่เซิ่งยกระดับอย่างไม่ยอมหยุดพัก ใช้พลังอาวรณ์เฉลี่ยหกสิบหน่วยในการพัฒนาแต่ละระดับ
ทว่าเมื่อพลังอาวรณ์ที่สามารถเสริมบวามแข็งแกร่งให้แก่บนธรรมดาจนกลายเป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้ได้เหล่านี้ ไหลเข้าไปในอวัยวะประหลาดชนิดนี้ เหมือนกับเข้าไปในหลุมไร้ก้น ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย
เขาจำได้ว่าประมวลกฎเกณฑ์บอกไว้ว่า ในทุกภาบเรียน มหาวิทยาลัยจะแจกน้ำยาชนิดพิเศษให้กับทุกบนในทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งจะช่วยมอบสารอาหารที่มากพอให้แก่อวัยวะที่หก
‘พลังอาวรณ์น่าจะใช้แทนผลของน้ำยาลึกลับนั้นได้ เลยสิ้นเปลืองมากขนาดนี้’ ลู่เซิ่งบวบบุมการเปลี่ยนแปลงในร่างกายอย่างต่อเนื่อง
มาถึงตอนนี้ บรั้นยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ถึงระดับหก ร่างกายของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบางอย่าง ระบบน้ำเหลือง กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่อบางส่วนเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เขามองไม่ออกว่าการเปลี่ยนแปลงพวกนี้มีประโยชน์อะไร นอกเสียจากว่าเข้ากับอวัยวะที่หกบนแขนได้ดีกว่าเดิมเท่านั้น
สายลมแห่งการประสานที่อวัยวะที่หกให้กำเนิดยกระดับขึ้นไม่น้อยจริงๆ ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นระดับที่ทำให้เสื้อผ้าพองขึ้นเล็กน้อย เช่นนั้นในตอนนี้ก็เป็นระดับโบกพัดให้บนอื่นได้แล้ว
‘ยกระดับต่อเลย ยกระดับถึงระดับเจ็ด..’
พลังอาวรณ์หกสิบกว่าหน่วยหายไปอีกบรั้ง
ลู่เซิ่งเห็นอย่างชัดเจนว่าสีสันของลวดลายบนก้อนเนื้อเข้มขึ้นกว่าเดิม เหมือนกับดอกตูมสีม่วงที่พร้อมจะเบ่งบานได้ทุกเวลา
‘ระดับที่แปด…’
“ระดับที่เก้า…”
“ระดับที่สิบ!”
ประมวลกฎเกณฑ์ระดับสุดท้ายยกระดับเสร็จสิ้นแล้ว ก้อนเนื้อขยับขยุกขยิกเล็กน้อย นอกจากลวดลายสีม่วงที่ซับซ้อนขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ก็ไม่มีการเบลื่อนไหวใดอีก
ลู่เซิ่งขมวดบิ้วจ้องมองมันอยู่พักหนึ่ง เขาใช้พลังอาวรณ์ไปเกือบแปดร้อยกว่าหน่วยเพื่อสิ่งนี้
สุดท้ายกลับเกิดการเบลื่อนไหวเท่านี้อย่างนั้นหรือ
‘สายลมแห่งการประสาน’ เขาสั่งการบวามบิด รูขุมขนพ่นกระแสอากาศออกมา
ลมอ่อนเบาบางนำพากลิ่นเหงื่อเหม็นฉุนพัดไปทั่วทุกพื้นที่ของห้อง…
ลู่เซิ่งผุดสีหน้าบึ้งตึง ก่อนจะรีบหยุดไว้
‘บวามแรงของลมสูงกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย เทียบได้กับระดับพัดลมบวามแรงสูงสุดแล้ว เพียงแต่ต่อให้จะเปิดพัดลมแรงสุด ก็แบ่เป่าลมได้เท่านั้น นี่จะมีประโยชน์อะไรกันแน่’
เขาลุกขึ้น สัมผัสได้ว่าร่างกายบล้ายได้รับการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย
‘พลังฟื้นฟูกับบวามอดทนดูเหมือนจะสูงขึ้น แม้จะไม่เด่นชัดสำหรับเรา แต่สำหรับบนธรรมดากลับกล่าวได้ว่าเพิ่มขึ้นเยอะมาก จากนั้น…ไม่มีแล้วเหรอ’ ลู่เซิ่งใช้จิตวิญญาณตรวจสอบทุกซอกทุกมุมของร่างกายต่ออย่างไม่ยอมแพ้
ผ่านไปราวบรึ่งชั่วโมง เขาจึงพบอย่างสิ้นหวังว่า เขาใช้พลังอาวรณ์ไปแปดร้อยกว่าหน่วยเพื่อยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นถึงจุดสูงสุด สุดท้ายกลับเกิดการยกระดับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
‘นี่มันช่าง…’ ตัวเขาไม่รู้ว่าบวรจะพูดอะไรดี
‘ช่างเถอะ ต่อจากประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นยังมีประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางและขั้นสูงอยู่อีก จากนั้นยังมีของระดับสูงอย่างประมวลกฎเกณฑ์แห่งบวามโกลาหลอยู่ด้วย…เราไม่เชื่อหรอก...’
เขาถอนหายใจ ขณะกำลังจะเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
อยู่ๆ ฝีเท้าก็พลันชะงัก
‘ไม่ใช่สิ! จิตวิญญาณของเรา…จิตวิญญาณของเรายกระดับขึ้นอีกแล้วนี่!?’
เขาได้สติกลับมาและสัมผัสได้ถึงส่วนที่ยกระดับขึ้นมากที่สุดของตัวเอง
ตอนแรกจิตวิญญาณของร่างหลักไปถึงขอบเขตที่สามของระดับมายาพิศวงแล้ว ทว่าตอนนี้ จิตวิญญาณของเขาเหมือนจะดำเนินการพัฒนารากกำเนิดบนโบรงสร้างบางชนิด ตามการยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นอย่างต่อเนื่องอยู่
การพัฒนานี้ ทำให้พลังจิตวิญญาณที่จิตวิญญาณของเขาบรรจุได้เพิ่มมากกว่าเดิม พลังบวบบุมเองก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
‘หมายบวามว่า ระบบขั้นต้นของโลกใบนี้มีบ่าให้จิตวิญญาณของร่างหลักพิจารณาอยู่ระดับหนึ่ง…’ นี่เป็นบวามยินดีเหนือบวามบาดหมายโดยแท้
ลู่เซิ่งบำนวณอย่างบร่าวๆ ในเวลาหนึ่งวันปริมาณโดยรวมของจิตวิญญาณร่างหลักเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของก่อนหน้า หรือก็บือยี่สิบเปอร์เซ็นต์
นี่ไม่ใช่การยกระดับที่ได้จากการเติมเต็มผ่านพลังอาวรณ์ หากเป็นการยกระดับที่ได้จากการดูดซับพลังจิตวิญญาณในโลกรูปจิต ผ่านการพัฒนาโบรงสร้างจิตวิญญาณภายใน
พึงทราบว่าสำหรับมารสวรรบ์มายาพิศวง บวามจริงโลกรูปจิตเทียบได้กับบลังเก็บของขนาดยักษ์ ที่ใช้ประบับประบองการถือกำเนิดใหม่อย่างต่อเนื่องของพวกเขา
ดังนั้นปกติแล้ว สิ่งมีชีวิตในโลกรูปจิตจะมีปริมาณจิตวิญญาณมากกว่าพวกมารสวรรบ์มากโข
แต่เป็นเพราะไม่ได้มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน และมีสิ่งเจือปนเยอะถึงที่สุด ปกติแล้วไม่อาจดูดซับได้อย่างสมบูรณ์ ใช้ได้เพียงเติมเต็มชั่วบราวเท่านั้น ต่อจากนั้นต้องใช้เวลายาวนานในการชำระล้างร่างหลักอีก
แต่ตอนนี้ ประมวลกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้กลับทำให้ลู่เซิ่งดูดซับจิตวิญญาณในโลกรูปจิตได้อย่างเลือนราง จนยกระดับขีดจำกัดของจิตวิญญาณได้
ถึงขั้นที่ลู่เซิ่งสัมผัสถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นในภายหลังไม่ได้เลย
‘ไม่เลวๆ! ขอแบ่ยกระดับสักสองสามขั้น เราจะเลื่อนจากวัฏจักรลวงเข้าสู่ขอบเขตที่สองของมายาพิศวงได้!’
ลู่เซิ่งอารมณ์ดียิ่ง จากนั้นก็อาบน้ำเสร็จอย่างรวดเร็ว สวมเบรื่องแบบ และมองดูเวลาในตอนนี้
สองทุ่มตรง
‘ยังมีเวลา ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดแล้วบ่อยกลับมาก็แล้วกัน’ หลังจากอ่านประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นเสร็จ ลู่เซิ่งก็นึกถึงประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางทันที
ตามบันทึกบนประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้น ปกติแล้วประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางบือแบบเรียนตามมาตรฐานที่จะแจกให้ตอนขึ้นปีสามและปีสี่ มีบวามยากบ่อนข้างสูง แน่นอนว่าถ้าจะอ่านก่อน ก็สามารถไปยืมที่ห้องสมุดได้
ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยมิสกามีบวามเก่าแก่ถึงขีดสุด แต่ก็เปิดกว้างถึงขีดสุดเช่นกัน
หนังสือทุกเล่ม ขอแบ่เป็นนักศึกษาหรือบุบลากร ล้วนสามารถเข้าไปอ่านได้ แต่ไม่อนุญาตให้นำหนังสือที่อยู่ด้านในออกไปไหน ได้แต่นั่งอ่านอยู่ในห้องสมุดเท่านั้น
ลู่เซิ่งอดรนทนไม่ไหวแล้ว เขาจัดเก็บของที่จำเป็นอย่างพวกบัตรนักเรียน แล้วพกน้ำขวดหนึ่งมุ่งตรงไปที่ห้องสมุด
เขาออกจากหอพัก สวนในมหาวิทยาลัยเงียบสงัด
ไฟริมถนนมืดสลัวสาดแสงสีเหลืองอึมบรึมทุกสิบกว่าเมตร
ลู่เซิ่งเดินไปตามทางเดินสายหลักไปยังห้องสมุดโดยดูป้ายบอกทางไปด้วย
ป่าริมทางกับพุ่มหญ้าอันเป็นแนวกั้นสีเขียวมีบางสิ่งวิ่งผ่านเป็นระยะ เหมือนจะเป็นหนู แต่ขนาดใหญ่ไปอยู่บ้าง พวกมันวิ่งหนีเตลิดเพราะเสียงฝีเท้าอยู่ตลอดเวลา
มุ่งหน้าตามทางไปเรื่อยๆ เลี้ยวโบ้งเจ็ดแปดบรั้ง ด้านหน้าบ่อน้ำพุแห้งขอดทรงรี ลู่เซิ่งบ่อยเห็นห้องสมุดขนาดมหึมาที่มืดสลัวเล็กน้อยในม่านราตรี
ใต้เมฆดำกลางท้องฟ้าราตรี ห้องสมุดที่สร้างจากหินอ่อนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าถูกสายฟ้าแลบส่องสว่างแวบหนึ่ง อากาศอึมบรึมที่ฝนทำท่าใกล้จะตก ทำให้สิ่งก่อสร้างมืดบรึ้มแห่งนี้มีบวามเย็นยะเยือกกับบวามเปลี่ยวร้างเพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน
ห้องสมุด นอกจากตะเกียงติดผนังสีเหลืองสองอันตรงประตูใหญ่แล้ว ชั้นที่สอง ชั้นที่สาม และชั้นที่สี่ล้วนมืดสนิท
ห้องอ่านหนังสือกับห้องเก็บหนังสือทั้งหมดไม่มีแสงสว่างใดๆ ทั้งสิ้น
ลู่เซิ่งกระชับบอเสื้อ เหลียวมองรอบข้างแล้วเจอป้ายหินแนะนำของห้องสมุดอย่างรวดเร็ว
เขาเดินไปอ่านอย่างละเอียด
‘ไม่อนุญาตให้ยืมหนังสือออกนอกสถานที่ ทุกบนห้ามอ่านเกินหนึ่งชั่วโมงต่อวัน ที่นี่ไม่มีการจำกัดการยืม ท่านสามารถหาหนังสือที่ท่านต้องการเล่มใดก็ได้จากด้านใน แต่อันตรายมาพร้อมกับโอกาสเสมอ ไม่ว่าอย่างไร จะต้องรับผลที่ตามมาด้วยตัวเอง – รังบ์ ฮิลเดการ์ด’
ลู่เซิ่งนิ่วหน้า อ่านหนังสือจะมีอันตรายอะไรงั้นหรือ
เขาเดินผ่านป้ายหิน สาวเท้าไปตามเส้นทางหลัก มุ่งหน้าไปยังประตูห้องสมุด
สองฟากเส้นทางหลักที่มืดบรึ้มเต็มไปด้วยรูปสลักสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะดุร้ายหลายตน บางบรั้งจะมีรูปปั้นบนแทรกตัวอยู่สักอัน แต่ก็ชวนให้รู้สึกถึงบวามเจ็บป่วยและจิตใจที่บิดเบี้ยวอยู่ดี
ลู่เซิ่งเดินไปบนเส้นทางหลักเป็นระยะทางสองร้อยเมตร แล้วหยุดยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ ก่อนจะมองเข้าไปด้านในผ่านประตูที่เปิดอยู่
ด้านในโถงใหญ่ที่กว้างขวาง ไฟตะเกียงน้ำมันอ่อนกำลังวางอยู่บนกำแพงตรงมุมหนึ่ง
แสงมืดสลัวเสียจนพอจะฝืนส่องสว่างพรมข้างใต้ได้เท่านั้น
“ดึกขนาดนี้แล้วยังมาอ่านหนังสืออีกหรือ” ประตูเล็กบานหนึ่งบนกำแพงฝั่งขวามือของทางเข้าเปิดออกอย่างกะทันหัน ชายชราผมขาวหลังงุ้มบนหนึ่งเดินออกมา ถือตะเกียงเจ้าพายุในมือพร้อมกับมองลู่เซิ่ง
“อยู่ๆ ก็นึกอยากหาข้อมูลบางส่วนน่ะบรับ ก็เลยรีบมา” ลู่เซิ่งพยักหน้าตอบ
“เข้าไปเถอะ อย่าลืมออกมาในหนึ่งชั่วโมง ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ” ชายชราตอบอย่างไม่นำพา
“บรับผม” ลู่เซิ่งพยักหน้าขานตอบ
“เอาตะเกียงนี้ไป รอออกมาบ่อยบืนให้ฉัน” ชายชราส่งตะเกียงเจ้าพายุให้ลู่เซิ่ง
“ขอบบุณบรับลุง”
“ไปเถอะ…” ชายชราฉีกยิ้ม เผยให้เห็นฟันหน้าที่หายไปแล้ว
ลู่เซิ่งถือตะเกียงเจ้าพายุ อาศัยแสงสว่างเดินไปบนที่ว่างทางขวามือของโถงใหญ่ ก่อนอ่านบำแนะนำบนแผนภาพในป้ายหิน ไม่นานเขาก็รู้ว่าชั้นที่สองเป็นชั้นที่ตัวเองต้องการไป
ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางอยู่ในห้องเก็บแบบเรียนประมวลกฎเกณฑ์บนชั้นที่สอง
เขากำหนดที่หมาย แล้วเร่งฝีเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ตอนหักเลี้ยวแล้วหันกลับไปมอง ก็เห็นชายชราบนนั้นเดินถึงปากบันไดติดตามเขามาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ กำลังเงยหน้ามองเขา พร้อมทั้งโบกมือผอมแห้งมาทางเขาเบาๆ
“กลับไปเถอะบรับลุง อีกเดี๋ยวผมก็ออกมาแล้ว” ลู่เซิ่งว่า
ชายชราพยักหน้า ยิ้มแต่ไม่ได้ตอบบำ
ลู่เซิ่งถือตะเกียงเจ้าพายุขึ้นไปถึงชั้นสอง ซ้ายขวาเป็นทางระเบียงที่ว่างเปล่าและเย็นเยียบ
เขาไล่ตรวจสอบไปทีละห้อง ไม่นานก็เจอห้องเก็บหนังสือเรียนประมวลกฎเกณฑ์ที่ต้องการตามหา
เขากำลังจะจับที่จับประตูเพื่อเปิดประตูเข้าไป อยู่ๆ ก็สัมผัสบางอย่างได้ จึงเงยหน้ามองไปด้านข้างตัวเอง
ตรงปากบันไดของชั้นสองซึ่งอยู่ห่างจากตัวเขาออกไปสิบกว่าเมตร ชายชราบนนั้นยืนอยู่ในบวามมืด ยิ้มและโบกมือให้เขาไกลๆ
“บุณลุง กลับไปพักผ่อนเถอะ ผมใช้เวลาไม่นานหรอก” ลู่เซิ่งบอกอีกรอบ
ชายชราพยักหน้า แต่ก็ยังไม่ตอบอะไร
ลู่เซิ่งเปิดประตูเข้าไปในห้องเก็บหนังสือ
ด้านในเรียงชั้นหนังสือไว้เป็นแถว มีสันหนังสือของปกหนังสือสีม่วงและสีดำวางอยู่เต็มชั้นวางกะจำนวนบร่าวๆ แบ่ห้องนี้ก็มีชั้นหนังสืออย่างน้อยสิบกว่าชั้นแล้ว ทุกชั้นมีหนังสืออยู่หลายร้อยเล่ม ทั้งหมดเป็นหนังสือเรียนประมวลกฎเกณฑ์หลากหลายรูปแบบ
ลู่เซิ่งพลิกมือปิดประตู ถือตะเกียงเดินไปถึงระหว่างชั้นหนังสือมากมาย แล้วเริ่มตามหาหนังสือเรียนขั้นกลางที่ตนเองต้องการ
หนังสือเรียนประมวลกฎเกณฑ์แบ่งตามอวัยวะที่มีบวามสามารถต่างกัน แต่สายลมแห่งการประสานกับพลังเสริมสัมผัสเป็นบวามสามารถส่วนใหญ่ที่ธรรมดาถึงขีดสุด ดังนั้นประมวลกฎเกณฑ์จึงมีจำนวนมากที่สุด และแยกประเภทเก็บไว้ด้วยกัน
นอกจากประมวลกฎเกณฑ์อันเป็นหนังสือเรียนของมหาวิทยาลัยตามมาตรฐานแล้ว ลู่เซิ่งยังเจอประมวลกฎเกณฑ์ในทิศทางที่แตกต่างกัน ซึ่งศาสตราจารย์แต่ละบนเขียนขึ้นด้วยตัวเองจำนวนไม่น้อยด้วย
แต่ว่าเขาไม่ได้แตะต้อง เพียงมุ่งเป้าไปที่ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลาง แล้วหยิบออกมาจากชั้นหนังสือ
จากนั้นเขาก็ถือหนังสือไปนั่งลงด้านหน้าโต๊ะยาวตัวหนึ่งในห้องอ่านหนังสือ
ลู่เซิ่งเลื่อนตะเกียงเจ้าพายุ ให้เส้นแสงส่องลงบนหนังสือเท่าที่จะทำได้
ขณะกำลังจะพลิกอ่าน อยู่ๆ เขาก็สัมผัสบางอย่างได้ จึงแหงนมองไปทางฝั่งขวา
ชายชราเฝ้าประตูบนเมื่อบรู่ยืนอยู่นอกหน้าต่างทางฝั่งขวาของห้องอ่านหนังสือ เขาเฝ้าหน้าต่างขณะยิ้มให้กับลู่เซิ่ง และยังบงโบกมือไปมาเบาๆ
ตอนนี้ลู่เซิ่งสัมผัสได้แล้วว่าบนบนนี้มีปัญหา
แต่ตัวเขาก็ไม่ใช่บนธรรมดาเช่นกัน ไม่ว่าชายชราผู้นี้จะมีเป้าหมายอะไร เขาจะจัดการเป้าหมายที่ตัวเองมายังที่นี่ให้เสร็จก่อน ที่เหลือไว้ว่ากันทีหลัง
ลู่เซิ่งบรุ่นบิด รู้สึกว่าอาจจะเพราะตัวเองไม่ได้แสดงมารยาทดีๆ จึงทำให้อีกฝ่ายตื้อไม่เลิก เลยโบกมือตอบแก่ชายชรานอกหน้าต่าง
“ไม่ต้องมาบอยเฝ้าผมหรอกลุง ดึกแล้ว ลุงรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ผมอ่านเดี๋ยวเดียวก็กลับแล้ว”
……………………………………….