ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 829 ยกระดับอย่างบ้าคลั่ง (3)
สิ้นเสียงของลู่เซิ่ง ชายชรายังคงโบกมือให้เขาต่อด้วยสีหน้าเมินเฉย เหมือนกับไม่ได้ยิน
ลู่เซิ่งนึกว่าเขาคงหูตึงเลยไม่ได้ยินเลยเลิกสนใจ หันกลับไปจำหนังสือเรียนขั้นกลางที่เอามาต่อ
ด้วยความจำหลังจากการเพิ่มระดับทุกด้านของร่างกาย การจดจำหนังสือเรียนขั้นกลางจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องยากอะไร
สิบห้านาทีต่อมา เขาก็จำหนังสือเรียนขั้นกลางได้หมดแล้ว
ลู่เซิ่งปิดหนังสือแล้วนวดกระบอกตา ก่อนจะดูนาฬิกาพกในอกเสื้อ
‘เพิ่งผ่านไปสิบกว่านาที ยังอ่านต่อได้อยู่’
เขาพลิกหน้าปกของหนังสือเรียนในมือ แล้วเจอข้อมูลของผู้แต่งด้านล่างสุด
‘สำนักพิมพ์สาธารณะมหาวิทยาลัยมิสกา’
‘เป็นฉบับพิมพ์อย่างเป็นทางการจริงๆ ด้วย’
ลู่เซิ่งหยิบหนังสือลุกขึ้น พอเงยหน้า ก็เห็นชายชราคนนั้นเปิดประตูห้องอ่านหนังสือตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ผ่านรอยแง้มของประตูเห็นเงาดำทะมึนของเขายืนอยู่ที่ประตู ขวางทางเข้าออกเอาไว้
“ลุง” เขาเรียก
ไม่มีการตอบรับ
ลู่เซิ่งคร้านจะสนใจ
เขาถือหนังสือกลับไปถึงชั้นหนังสือที่เจอหนังสือเรียนเมื่อก่อนหน้า แล้วนั่งลงพลิกหนังสือเล่มอื่น
สิ่งที่อยู่ติดกับหนังสือเรียนขั้นกลางเป็นหนังสือเรียนประมวลกฎเกณฑ์สายลมแห่งการประสานในแบบอื่นๆ เขาพลิกอ่านดู เนื้อหาแตกต่างกันไป บ้างก็ค่อนข้างลึกซึ้ง บ้างก็ค่อนข้างพื้นๆ แต่แบบที่ครบถ้วนคือแบบตีพิมพ์มาตรฐานที่มหาวิทยาลัยมิสกาจัดพิมพ์
‘ตอนนี้เราต้องการหนังสือเรียนขั้นสูง…’ เขาพลิกซ้ายทีขวาที ตรงนี้มีแต่หนังสือเรียนขั้นกลางเท่านั้น นอกจากสายลมแห่งการประสาน ก็เป็นหนังสือเรียนประมวลกฎเกณฑ์ของความสามารถอวัยวะชนิดอื่น
ไม่มีหนังสือเรียนขั้นสูง
‘ดูเหมือนที่นี่จะเป็นห้องอ่านหนังสือที่จัดเก็บหนังสือเรียนขั้นกลาง’ ลู่เซิ่งพลิกหาสักพัก เวลาก็ล่วงเลยไปครึ่งชั่วโมงโดยไม่รู้ตัว
‘ใกล้จะหมดเวลาแล้ว คงจะไม่ทันแล้วสิ ดูเหมือนคงต้องมาครั้งหน้าซะแล้ว’
เขาส่ายหน้าแล้วหันกลับไป กลับเห็นชายชราคนนั้นเดินเข้ามาระหว่างชั้นหนังสือสองชั้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ อีกฝ่ายยืนอยู่ในเงามืดเงยหน้ามองมายังตน
“ผมรู้ว่าใกล้หมดเวลาแล้ว เดี๋ยว…เดี๋ยวจะออกไปแล้วล่ะ” ลู่เซิ่งรีบตอบ
ชายชรามองเขาด้วยรอยยิ้ม ยังคงไม่ตอบอะไร
“เรียบร้อย ผมอ่านจบแล้ว พรุ่งนี้จะมาใหม่ ขอบคุณที่ให้ยืมตะเกียงนะครับ” ลู่เซิ่งโบกมือบอกกล่าว พอสิ้นเสียง ก็ไม่รอให้ชายชราตอบคำ เขาเดินออกไปจากช่องว่างระหว่างชั้นหนังสืออีกด้าน เดินออกจากห้องหนังสือไปยังประตูใหญ่
เขาลงบันได ไม่นานก็มาถึงทางเข้าออกโถงใหญ่ของชั้นที่หนึ่ง
แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ ประตูปิดอยู่
ลู่เซิ่งยื่นมือไปบิดลูกบิด
“ล็อกเหรอ”
โซ่ใหญ่สิบกว่าเส้นมัดอยู่บนลูกบิดด้านนอก ตอนนี้กำลังส่ายไปมาตามการบิดของลู่เซิ่ง
“ลุง ดูเหมือนประตูจะล็อกนะครับ”
กร๊อกแกร๊กๆๆๆ…เปรี้ยง!
เกิดเสียงดังสนั่น…โซ่สิบกว่าเส้นระเบิดออกพร้อมกัน ลูกบิดของประตูใหญ่เป็นอิสระ
“ผมซ่อมประตูให้ลุงแล้วนะ ไม่ต้องขอบคุณ ผมขอกลับไปก่อน ขอบคุณที่ให้ยืมตะเกียงครับ” ลู่เซิ่งเปิดประตูพร้อมกับโบกมือไปด้านหลัง แล้วเดินออกจากห้องสมุดออกไปด้วยรอยยิ้ม
ด้านในประตูใหญ่ เงาของชายชราคนนั้นปรากฏขึ้นข้างประตู เขามองดูโซ่จำนวนมากที่ขาดตกบนพื้นอย่างอึ้งงัน จากนั้นก็มองเงาหลังของลู่เซิ่งที่ออกห่างไป ไม่รู้ว่าควรแสดงสีหน้าอย่างไรอยู่ชั่วขณะ
…
ณ ชั้นบนสุดของอาคารเรียนที่ไกลออกไป ด้านในห้องสำนักงานโอ่โถง ศาสตราจารย์เซลส์ถือกาแฟร้อนกรุ่น มองดูห้องสมุดที่ถูกปกคลุมใต้เมฆดำ ใบหน้าซีดขาวฉายแววแตกตื่นประหลาดใจ
“มีคนไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดตอนกลางคืนเหรอเนี่ย เขาไม่ได้อ่านคู่มือนักศึกษาใหม่หรือ ไม่รู้เหรอไงว่าห้องสมุดตอนกลางคืนกับตอนกลางวันเป็นสถานที่ที่แตกต่างกันน่ะ”
“คนนี้ไม่เพียงแต่ไปตอนกลางคืน ยังออกมาได้อีกต่างหาก...” เงาคนที่นั่งบนโซฟาส่งเสียงอย่างประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน
“มีน้อยคนที่รู้ว่า ความจริงห้องสมุดของมหาวิทยาลัยมิสกาแบ่งเป็นกลางวันกับกลางคืน โดยใช้แสงแรกยามย่ำรุ่งเป็นเส้นแบ่งเขต หนังสือที่ถูกเก็บไว้ในห้องสมุดราตรีกับห้องสมุดทิวาจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” เซลส์ดื่มกาแฟคำหนึ่ง
“คนเฝ้าประตูของห้องสมุดราตรียังเป็นชายชราเฝ้ายามลึกลับคนนั้นใช่ไหม จำได้ว่าเขาเฝ้ามาเป็นพันปีแล้วนี่” คนบนโซฟาตอบอย่างเกียจคร้าน
“ใช่ ยังเป็นเขาอยู่ ขอแค่มีใครอยู่เกินเวลา ตาเฒ่านั่นจะพุ่งเข้าไปจากด้านหลัง แล้วฉีกทึ้งกัดกินนักศึกษาที่อยู่เกินเวลาทุกคน ต่อให้ไม่อยู่เกินเวลา ตาเฒ่านั่นก็จะจงใจล่ามโซ่ปิดประตูเอาไว้ ทำให้คนที่เข้าไปออกมาไม่ได้ เป็นกับดัก”
“แต่หนังสือบางเล่มก็ได้แต่หาจากห้องสมุดราตรีเท่านั้น”
เงาคนบนโซฟาทอดถอนใจ
“เอาล่ะ ฉันขอตัวก่อน”
“อืม เดินทางปลอดภัยล่ะ” พอเซลส์หันกลับมามองโซฟา ตรงนั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้ว
…
เสียงพลิกหน้ากระดาษดังพั่บๆๆ ลอยออกมาจากที่ไหนสักแห่งในหอพัก
ลู่เซิ่งอาศัยแสงตะเกียงบนโต๊ะ เขียนคำสุดท้ายอย่างระมัดระวัง
พอเขากลับมา ก็รีบคัดลอกหนังสือเรียนขั้นกลางที่ตนเองจำไว้ทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ลืมตามกาล เวลา
เขาเขียนตัวอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ วางปากกาลง แล้วมองกระดาษคัดลอกปึกหนาที่อยู่ด้านหน้า
‘ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางซับซ้อนกว่าขั้นแรกมาก มีอักขระทั้งสิ้นสามสิบหกตัว…สามารถแยกย่อยเป็นสามสิบหกระดับ ขอแค่ฝึกฝนทุกระดับจนสำเร็จ ก็จะทำให้อวัยวะสัมผัสที่หกเกิดการวิวัฒนาการรูปลักษณ์ที่สูงกว่าเดิมได้ในทางทฤษฎี’
เขาพลิกเนื้อหาที่ตัวเองคัดลอกไว้ไปเรื่อยๆ สุดท้ายอักขระสามสิบหกตัวจะกลายเป็นวงแหวนเวทกายเนื้อขนาดเล็ก แล้วผลักดันการวิวัฒนาการรูปลักษณ์ของอวัยวะทั้งหมด
‘น่าสนใจ…ลองดูก่อนก็แล้วกัน’
ลู่เซิ่งนึกทบทวนเนื้อหาประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางทั้งหมด ถอดเสื้อผ้าออกและนั่งลงตรงกลางห้อง
‘ดีปบลู’ เขาเรียกอินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา
เป็นอย่างที่คาดไว้ ด้านล่างประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นปรากฏกรอบของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลาง เพียงแต่กรอบนี้ระบุว่ายังไม่ถึงระดับเบื้องต้น
‘เริ่มยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลาง ยกระดับหนึ่งขั้น’
ลู่เซิ่งคิด กรอบของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางหยุดเล็กน้อย ก่อนจะพร่ามัว
ตามการจัดแบ่งของทางมหาวิทยาลัย ปกติต้องใช้เวลาสองถึงสามปีถึงจะเรียนประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นสำเร็จ จากนั้นถึงจะควรฝึกประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางต่อไป
แตกต่างกับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นตรงที่ หากควบคุมประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางสูงกว่าระดับสิบขึ้นไปได้ ก็จะบรรลุเงื่อนไขการเรียนจบของอวัยวะสัมผัสที่หกได้อย่างราบรื่น
ความจริงตัวประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นนี้ไม่ได้เขียนขึ้นสำหรับนักเรียน แต่เขียนขึ้นสำหรับพวกผู้ช่วยอาจารย์ที่รับตำแหน่งในมหาวิทยาลัย
ในสถานการณ์ปกติ อย่างน้อยต้องใช้เวลาห้าถึงสิบปี นักเรียนที่มีพรสวรรค์ไม่เลวสักคนถึงอาจจะเรียนประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางได้สำเร็จ แล้วทำให้อวัยวะสัมผัสที่หกของตัวเองพัฒนาบรรลุระดับผู้ช่วยอาจารย์ บางคนก็ต้องวิวัฒนาการถึงสองครั้งจึงค่อยบรรลุ
ในเวลานี้ หากนักเรียนยินดี กอรปกับเงื่อนไขอื่นๆ สอดคล้องกับความต้องการ มหาวิทยาลัยก็จะเรียกตัวนักเรียนกลับมาเพื่อรับตำแหน่งผู้ช่วยอาจารย์
ดังนั้น ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางนี้จึงหลุดออกจากขอบเขตเงื่อนไขของนักศึกษา ไปถึงระดับอาจารย์แล้ว
ลู่เซิ่งเดาเรื่องนี้ได้จากเนื้อหาส่วนหนึ่งระหว่างบรรทัดของประมวลกฎเกณฑ์
ซู่…
กรอบของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางเลือนรางลงสามวินาที จากนั้นก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าพลังอาวรณ์ราวหนึ่งร้อยหน่วยหายไปจากร่างตัวเอง
ร่างกายไม่รู้สึกถึงการหล่อเลี้ยงหรือเสริมความแข็งแกร่งใดๆ แตกต่างจากตอนเรียนรู้ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นหนึ่ง ตอนนี้พลังอาวรณ์ทั้งหมดปรากฏในอวัยวะสัมผัสที่หก
‘น่าสนใจ…ธรรมชาติของอวัยวะปลูกถ่ายที่ถูกพูดถึงในประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลาง ดูเหมือนจะเป็นของจริง’
ลู่เซิ่งสนใจยิ่งกว่าเดิม
‘มหาวิทยาลัยล่าปีศาจมากมายจากห้วงความว่างเปล่า ก่อนจะเอามาทำเป็นสัตว์สตัฟฟ์ แล้วเก็บต้นกำเนิดพลังงานแกนกลางเอาไว้เท่านั้น จากนั้นก็ปลูกถ่ายปีศาจสตัฟฟ์แต่ละตัวให้แก่นักศึกษาจำนวนมากที่เข้าเรียน ตามการประเมินความเหมาะสมอย่างลับๆ…’
‘หมายความว่า ความสามารถของนักศึกษาส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยพวกอาจารย์ของมหาวิทยาลัย พวกเขาปลูกถ่ายปีศาจอะไรให้ เราก็จะได้ความสามารถของปีศาจชนิดนั้นๆ’
ลู่เซิ่งเข้าใจความจริงบ้างแล้ว
ความจริงอวัยวะที่ว่านี้เป็นปีศาจจากห้วงความว่างเปล่าที่ถูกฆ่าตาย มหาวิทยาลัยจะทำให้ศพของปีศาจพวกนี้ควบแน่น แล้วปลูกถ่ายให้กับนักศึกษาที่เหมาะสมที่สุด
‘ในสถานการณ์ปกติ มหาวิทยาลัยมิสกาไม่น่าจะจงใจกลบฝังอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศ การมอบศพปีศาจที่ธรรมดาให้พวกเขาจะทำให้การพัฒนามหาวิทยาลัยโดยรวมไม่ราบรื่น หรือก็หมายความว่า ปีศาจที่เหมาะสมกับร่างกายร่างนี้ หรือกายเนื้อของแจ๊ค อาจจะเป็นปีศาจที่มีความสามารถสายลมแห่งการประสาน’
เขาสันนิษฐานในใจ
เวลานี้กรอบของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางชัดเจนขึ้นแล้ว
“สายลมแห่งการประสาน” ลู่เซิ่งยกมือ รูขุมขนกลางฝ่ามือเปิดออกและพ่นกระแสอากาศออกมาสายหนึ่ง
ฟ้าว…
กระแสอากาศในครั้งนี้มีความเร็วสูงมาก ความแรงเองก็ไม่เลวเช่นกัน แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ราวสิบเปอร์เซ็นต์
‘ไม่เลวๆ’ ลู่เซิ่งพยักหน้า ‘ไม่เสียทีที่ได้ชื่อว่าประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลาง สมกับเป็นประมวลกฎเกณฑ์ที่อาจารย์ใช้’
‘เอาล่ะ เพิ่มถึงระดับสองกันเลย!’
ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางมีทั้งหมดสามสิบหกระดับ เขาคิดรอดูว่าหลังไปถึงระดับที่สามสิบหกแล้ว จะเกิดสถานการณ์อะไรขึ้นบ้าง
ไม่นานนัก ลู่เซิ่งก็บรรลุถึงประมวลกฎเกณฑ์ระดับสอง ผิวทั่วตัวปรากฏสีม่วงอ่อน
เขาใจเต้นตึกตัก เลือดลมเร่งความเร็วการไหลเวียน สีม่วงบนตัวจางหายไปด้วยความเร็วสูง ถูกสะกดกลับไปแล้ว
‘ต่อเลย ระดับที่สาม!…’
…
บุ๋งๆ…บุ๋งๆ…
ฟองอากาศสายหนึ่งผุดขึ้นจากในขวดโหลแก้วที่บรรจุสัตว์สตัฟฟ์ขนาดยักษ์
สัตว์ประหลาดร่างคนสีดำที่เหมือนกับถ่านตัวหนึ่งถูกแช่อยู่ในขวดโหล
สัตว์ประหลาดตัวนี้มีกรงเล็บแหลมคม หลังงองุ้ม รวมถึงมีรูเล็กๆ จำนวนมากกระจายอยู่ทั่วทั้งร่าง
รูเล็กๆ พวกนี้กระจายอยู่บนผิวทุกส่วนของสัตว์ประหลาดในจำนวนเท่าๆ กัน ทำให้มันพ่นฟองกระแสอากาศที่มีพลังทำลายล้างออกมาอย่างง่ายดายและรวดเร็วเป็นจำนวนมาก
ศาสตราจารย์เซลส์ สอดสองมือไว้ในกระเป๋าเสื้อ สายตามองไปยังอีกด้านของห้องทดลอง
ข้างๆ แท่นทดลองทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่อยู่ตรงนั้น ชายชราร่างกำยำที่มีผมสั้นสีแดงคนหนึ่งกำลังใช้มีดผ่าตัดชำแหละปีศาจร่างมนุษย์ที่มีเกล็ดทั่วตัวอย่างชำนาญ
“ศาสตราจารย์ดาห์ล ปีศาจจากห้วงความว่างเปล่าในปีนี้มีจำนวนมากพอใช่ไหม พวกที่เราปลูกถ่ายให้นักศึกษาใหม่ไม่ค่อยมีคุณภาพเท่าไรนะ…”
“คุณดูเองก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ ปีศาจสายลมแห่งการประสานที่ส่งมาในปีนี้มีคุณภาพเท่านี้แหละ ไม่เพียงตัวเล็กกว่าเมื่อก่อนเท่านั้น ความสามารถก็อ่อนแอลงเล็กน้อยด้วย มาตรฐานคุณภาพที่เกิดขึ้นจึงต่ำไปบ้าง เป็นเรื่องจนปัญญาน่ะ”
ศาสตราจารย์ดาห์ลผู้มีผมสีแดงวางมีดผ่าตัดในมือลง ถอดถุงมือออกด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้ามา
……………………………………….