ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 830 ยกระดับอย่างบ้าคลั่ง (4)
“ผมรู้เรื่องนี้ ทั้งที่การไล่ล่าเลวร้ายขึ้นทุกทีๆ แต่ทำไมศพที่ได้มาถึงได้แย่ลงเรื่อยๆ ล่ะ นี่เป็นสิ่งที่ผมไม่เข้าใจ” เซลส์ขมวดคิ้วกล่าว
“จำนวน” ดาห์ลถอนใจ “จำนวนปีศาจที่มาจากห้วงความว่างเปล่าเพิ่มจำนวนขึ้น ส่วนหนึ่งถูกส่งมาผ่านร่างสิงสู่ อีกส่วนถูกส่งออกมาโดยตรง และจำนวนที่ถูกส่งออกมาโดยตรงก็สูงกว่าปีก่อนหน้านี้อย่างน้อยสองเท่า! คณบดีโฟล์วของสาขาชีววิทยาขอความช่วยเหลือไปยังมหาวิทยาลัยมากกว่าหนึ่งรอบ ต้องส่งคำร้องถึงห้ารอบจึงจะรักษาสถานการณ์ของเยอรมนีกับฝรั่งเศสเอาไว้ได้ ส่วนผู้นำในคณะอื่นก็ได้รับแรงกดดันมากขึ้นเช่นกัน ดูจากการที่ยื่นเรื่องขอทรัพยากรเพิ่มหลายต่อหลายครั้ง…”
“ดูเหมือนห้วงความว่างเปล่าจะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อีกแล้ว…” เซลส์ผุดสีหน้าเคร่งขรึม
“ใช่…จากการศึกษาของรองคณบดีเกอเทของคณะแพทย์ ผู้เฝ้าปราการที่คอยต้านทานการรุกรานของห้วงความว่างเปล่ามาโดยตลอดใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว…” ดาห์ลเอ่ยอย่างจนใจ
“ถ้าผู้เฝ้าปราการเกิดเรื่อง ผนึกที่อื่นย่อมต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน...” เซลส์เอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“ถึงเวลานั้น ภัยพิบัติที่แท้จริงจะมาเยือน...” ดาห์ลพยักหน้าก่อนเอ่ยเสียงขรึม
ทั้งสองถอนใจกันอย่างพร้อมเพรียง
“มาช่วยผมจัดระเบียบเนื้อหาคู่มือภาพประกอบหน่อย คู่มือภาพประกอบสิ่งมีชีวิตจากห้วงความว่างเปล่าใกล้จะเสร็จแล้ว แต่ยังขาดข้อมูลของปีศาจพื้นฐานระดับกลางถึงต่ำอีกจำนวนหนึ่ง” ดาห์ลไหว้วาน
“อืม หวังว่าการเขียนคู่มือนี้จะช่วยอาจารย์ที่อยู่แนวหน้าได้มากกว่าเดิมนะ”
ทั้งสองเคร่งเครียดมาก
สัตว์ประหลาดอย่างปีศาจจากห้วงความว่างเปล่ามีหลากหลายพันธุ์ ประกอบด้วยความสามารถร้อยแปดพันเก้า นี่เป็นจุดที่สร้างความปวดหัวมากที่สุด
ในบรรดาปีศาจแห่งความว่างเปล่า ปีศาจที่ควบคุมกระแสอากาศอย่างสายลมแห่งการประสานมีพลังในระดับกลางถึงล่างเท่านั้น ทว่าต้องให้อาจารย์อย่างน้อยสองคนผนึกกำลังกันถึงจะล่าปีศาจแบบนี้ได้
พลังชีวิตของพวกมันแข็งแกร่งเกินไป แม้จะระเบิดมันเป็นผุยผง ก็ไม่อาจฆ่าให้ตายได้ ต้องใช้วิธีการพิเศษหรือพลังพิเศษ ถึงจะทำลายชีวิตของพวกมันจากส่วนลึกของห้วงความว่างเปล่าได้
แต่ว่าในบรรดาปีศาจหลายชนิดเช่นอสูรรยางค์ สายลมแห่งการประสาน อสรพิษควบคุมน้ำแข็ง ทูตสวรรค์โลหะ และอีแร้งแห่งรัตติกาลแล้ว กายเนื้อของสายลมแห่งการประสานมีความสามารถคืนชีพแข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นจึงถูกเลือกเป็นปีศาจที่เหมาะจะเอาศพมาปลูกถ่ายมากที่สุด
สำหรับคนธรรมดา ความสามารถที่ได้จากการปลูกถ่ายแบบนี้จะอ่อนแอมาก แต่เป้าหมายของมหาวิทยาลัยไม่ใช่ความสามารถ แต่เป็นการทำให้คนได้รับความสามารถการต้านทานอาการหลอนทางจิตจากความโกลาหลของห้วงความว่างเปล่าในระดับหนึ่ง นี่จึงเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของมหาวิทยาลัย
…
‘เพิ่มระดับที่ยี่สิบสี่…’
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ก้อนเนื้อบนแขนพองขยายเท่าหัวมนุษย์
ลวดลายซับซ้อนละเอียดอ่อนกระจายเต็มผิวก้อนเนื้อ ลวดลายส่วนหนึ่งขยับขยุกขยิก สามารถเห็นของเหลวสีเงินขนาดเล็กที่ไหลเวียนอยู่ด้านในได้
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่า พลังอาวรณ์ในร่างกายหายไปอีกสองร้อยหน่วย
เขาสัมผัสได้อีกเช่นกันว่า อวัยวะบนแขนขวาอยู่ในสภาพอัดอั้นที่ใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้ว
เหมือนกับภูเขาไฟที่พร้อมปะทุ ในก้อนเนื้อถูกอัดฉีดสารอาหารที่เปลี่ยนมาจากพลังอาวรณ์เข้าไปเป็นจำนวนมาก
พวกมันกระตุ้นให้อวัยวะเติบโต พัฒนา และแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เลือดลมที่แข็งแกร่งจนถึงขีดจำกัดมนุษย์ของลู่เซิ่ง กำลังหล่อเลี้ยงก้อนเนื้อทางอ้อมด้วยเช่นกัน สองสิ่งดำเนินไปควบคู่กัน
ในที่สุดหลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า เขาก็พัฒนาอวัยวะที่หกซึ่งเพิ่งได้รับการปลูกถ่ายไปถึงขอบเขตการเปลี่ยนแปลงสำเร็จ
‘ยกระดับต่อถึงระดับที่ยี่สิบห้า…’ เส้นเลือดปูดโปนขึ้นทั่วร่างลู่เซิ่ง ผิวกลายเป็นสีแดงเรื่อเพราะการไหลเวียนของเลือดที่สูงเกินไป
พอใช้ความคิด พลังอาวรณ์สองร้อยกว่าหน่วยก็อันตรธานไปอย่างฉับพลัน กลายเป็นพลังงานกระตุ้นจำนวนมากไหลไปสู่ก้อนเนื้อ
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าตัวเองใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว การยกระดับถึงขั้นนี้ในเวลาเพียงหนึ่งวัน ทำให้พื้นฐานที่เขาสร้างไว้ก่อนหน้านี้ใกล้จะทนการยกระดับอย่างใหญ่หลวงนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
แกร๊ก...
ในที่สุดก็มีเสียงดังขึ้น
ก้อนเนื้อบนแขนลู่เซิ่งปริเป็นร่องแยก
ซู่…
ของเหลวสีเทาจำนวนมากทะลักออกมาจากร่องแยก ปกคลุมผิวบนแขนของเขาโดยอัตโนมัติ
ความเจ็บปวดราวกับถูกเพลิงแผดเผาส่งจากแขนเข้าสู่สมอง
เขาหลับตา ข่มกลั้นความเจ็บปวด พร้อมทั้งสัมผัสการเปลี่ยนแปลงทุกอณูที่เกิดขึ้นบนแขนอย่างตั้งใจ
ความเจ็บปวดดำเนินไปไม่ถึงสิบนาทีก็สลายหายไป ของเหลวสีเงินค่อยๆ ขยับ กลายเป็นสีดำและเปราะขึ้น ก่อนจะหลุดร่วง สุดท้ายก็กลายเป็นฝุ่นสีดำหายไปในอากาศอย่างไร้สุ้มเสียง
‘นี่คือ…?’ ลู่เซิ่งมองแขนที่ถือกำเนิดใหม่ด้วยความตกใจ
ก้อนเนื้อหลอมรวมเข้ากับท่อนแขน เกราะแข็งสีดำอมม่วงปกคลุมบนแขนขวา ตำแหน่งของก้อนเนื้อในตอนแรกได้กลายเป็นชิ้นส่วนเกราะสีดำอมม่วงเหมือนกับดอกไม้
สิ่งนี้เหมือนกับดอกทานตะวัน เพียงแต่กลีบดอกตรงขอบเต็มไปด้วยหนามสีดำเท่านั้น
ลู่เซิ่งลองลูบดู หนามแหลมนี้ถึงกับลอยอยู่กลางอากาศ
‘สายลมแห่งการประสาน’ ลู่เซิ่งสั่งความคิดเพื่อใช้ความสามารถของอวัยวะ
ฟู่!
ฉับพลันนั้นดอกไม้สีดำบนแขนก็ดูดกระแสอากาศเข้ามาเป็นจำนวนมาก ผ่านหนามแหลมตรงกลีบดอก
ลู่เซิ่งยกแขนขึ้นมา เห็นรูเล็กๆ สีดำสิบกว่ารูปรากฏกลางฝ่ามือขวา
เขาทดลองเล็งรูไปตรงเก้าอี้ไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
‘สายลมแห่งการประสาน’ จากนั้นก็ใช้ความคิดสั่งการ ความสามารถของอวัยวะพลันแสดงผล
ฟ้าว!
อากาศสีขาวลำใหญ่ถูกยิงออกมาอย่างแรง พุ่งใส่เก้าอี้ไม้อย่างแม่นยำ เก้าอี้สั่นและเด้งขึ้นจากพื้น ก่อนจะพลิกคว่ำลง
‘น่าสนใจ…’ ลู่เซิ่งใช้ความคิดอีกรอบ รูเล็กกลางฝ่ามือพลันค่อยๆ หายไป เขาสัมผัสได้ว่า ตนเองควบคุมให้รูอากาศเหล่านั้นโผล่ขึ้นตรงไหนของแขนก็ได้
‘นี่ก็คืออานุภาพหลังจากที่ประมวลกฎเกณฑ์ระดับกลางทำให้อวัยวะวิวัฒนาการรึเปล่านะ ดูเหมือนในที่สุดก็พอมีประโยชน์บ้างแล้ว…’ ลู่เซิ่งหมุนแขน เกราะบนนั้นลอกคราบและเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลายเป็นเศษฝุ่นสีดำกระจายหายไปในอากาศ
จากนั้นแขนขวาก็กลับมาเป็นสภาพเดิม ดูไม่ต่างอะไรจากก่อนหน้า
ลู่เซิ่งมองตำแหน่เดิมที่เป็นก้อนเนื้อ เลือดเนื้อตรงนั้นนูนขึ้นเล็กน้อย
เขาใคร่ครวญ ก่อนจะหาเสื้อผ้ามาฉีก แล้วพันไว้ตรงนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครพบเห็น
‘ร่างกายจำเป็นต้องปรับตัวเข้ากับสภาพอวัยวะหลังวิวัฒนาการไปก่อน อีกทั้งการปรับเปลี่ยนร่างกายจากประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางหลังยกระดับ ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งด้วย’
เขาคำนวณความเร็วในการฟื้นฟูของตัวเองดู ภายใต้การฟื้นฟูของวิชาเลือดลม บวกกับการหล่อเลี้ยงจากปราณปฐพี การปรับเปลี่ยนรอบนี้สมควรใช้เวลาแค่สองวันเท่านั้น
‘ฉวยโอกาสนี้ไปหาหนังสือที่ช่วยยกระดับได้ที่ห้องสมุดก่อนดีกว่า ห้องสมุดนั่น…น่าสนใจจริงๆ…’ ลู่เซิ่งผุดลุกขึ้น รู้สึกว่ามีสิ่งเจือปนสีเทากลุ่มใหญ่ไหลออกมาจากผิวหนังทั่วทั้งตัว
เขาเข้าไปอาบน้ำเย็นในห้องน้ำ จากนั้นก็เข้านอนแต่หัวค่ำ
เช้าตรู่วันต่อมา
ลู่เซิ่งตื่นนอนและรีบอาบน้ำ ตอนออกจากห้องก็เห็นแอนดี้หนุ่มหล่อผู้มีผมหางม้าสีทองคนนั้น กำลังยืนคุยกับใครสักคนอยู่ที่ประตูหอพักพอดี
คนที่ยืนอยู่กับเขามีสองคน คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มท่าทางซื่อๆ อีกคนเป็นหญิงสาวผมดำหน้าเขรอะสิวที่สวมแหวนไว้เต็มนิ้วมือ ลักษณะเหมือนฮิบปี้
ทั้งสองดูมีอายุไม่ถึงยี่สิบปี มองเห็นความไร้เดียงสาจากดวงตาได้อย่างชัดเจน ตอนนี้กำลังฟังแอนดี้ใช้น้ำเสียงเคร่งขรึม คุยโวถึงประวัติศาสตร์อันเจิดจรัสที่ตนเคยพบเจอมาในอดีตอยู่
ทั้งสามยืนคุยกันอยู่ทางซ้ายของประตูใหญ่ มีนักศึกษาเดินกันขวักไขว่ แอนดี้ไม่กลัวคนเปิดโปง คอยตบอกโอ้อวดตลอดเวลาว่าก่อนหน้านี้ตนเก่งกาจขนาดไหน ยังไม่ทันเป็นผู้ใหญ่ก็ใช้มีดทำครัวฆ่าปีศาจสองตัวได้แล้ว การต่อสู้ในเวลานั้นดุเดือดยิ่งกว่าการบรรยายในนิยายเสียอีก
ตอนที่กำลังโม้จนน้ำลายฟุ้ง พอเห็นลู่เซิ่งลงมา แอนดี้จึงหยุดเล่าอย่างฮึดฮัดใจ
“เอาล่ะ พรรคพวกฉันมาแล้ว วันนี้เล่าถึงตรงนี้ก่อน มานี่สิ ฉันจะแนะนำให้พวกเธอรู้จัก” เขาฉุดลากหนุ่มสาวทั้งสองเดินเข้ามาหาลู่เซิ่ง
“เฮ้ เมื่อวานคุณไปไหนมาน่ะ ทำไมไม่เห็นคุณเลย อย่าบอกนะว่าเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้องไม่ออกไปไหน” แอนดี้ตบไหล่ลู่เซิ่งด้วยท่าทางสนิทสนม พร้อมกับกล่าวยิ้มแย้ม
ลู่เซิ่งรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของตัวเองกำลังยกระดับทุกวินาที ดูเหมือนอวัยวะหลังวิวัฒนาการจะปรับเปลี่ยนร่างกายอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปเป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดที่ไม่ใช่มนุษย์
“ยังดี เมื่อวานเหนื่อยไปหน่อย เลยอยู่แต่ในห้อง ตารางเรียนของวันนี้ออกหรือยัง” ลู่เซิ่งถาม
“ออกแล้ว คาบเรียนทฤษฎีน้อยลง คาบเรียนปฏิบัติเพิ่มขึ้น อาจารย์คือโทเลย์ คนที่แจกหนังสือเรียนให้พวกเราน่ะ จริงสิ คุณเก็บหนังสือเรียนเล่มนั้นไว้ให้ดีๆ ล่ะ หายแล้วหายเลยหาใหม่ไม่ได้นะ” แอนดี้เตือน
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“มานี่สิ ฉันจะแนะนำให้คุณได้รู้จัก สองคนนี้คือผู้มีความสามารถพิเศษของจริง อวัยวะที่พวกเขาครอบครองคือหนามน้ำแข็งกับเสริมพลัง” แอนดี้ยิ้มพลางแนะนำ
เขาชี้เด็กหนุ่มที่ดูซื่อๆ และเอ่ยว่า “นี่คือมาโนส ผู้มีความสามารถเสริมพลัง”
จากนั้นก็ชี้ไปที่หญิงสาวฮิปปี้ที่อยู่อีกด้าน
“ส่วนเธอคือเฟซี ความสามารถอวัยวะคือควบคุมหนามน้ำแข็ง”
“สวัสดี ฉันแจ๊ค เทาซันด์” ลู่เซิ่งทักทายด้วยรอยยิ้ม
หนุ่มสาวสองคนทักทายเขาอย่างสงวนท่าที
เพราะสาเหตุบางอย่าง ลู่เซิ่งจึงอดสำรวจเฟซีหลายครั้งไม่ได้ บนตัวหญิงสาวคนนี้เหมือนจะมีของที่ไม่อาจบรรยายได้ซุกซ่อนไว้อยู่
บุคลิกของเธอเหมือนไม่ได้เรียบง่ายไร้เดียงสาเช่นเปลือกนอก
เนื่องจากปลดปล่อยจิตวิญญาณของร่างหลักออกด้านนอกไม่ได้ เลยไม่อาจตรวจสอบได้บวกกับเขาไม่เคยสนใจเรื่องของคนอื่น หลังพูดคุยกับทั้งสามคน แลกเปลี่ยนข้อมูลกันพักหนึ่ง ก็แยกย้ายทางใครทางมัน
เช้าตรู่ไม่มีคาบเรียน ลู่เซิ่งกินอาหารเสร็จก็กลับหอพัก วางแผนจะไปห้องสมุดอีกสักรอบ แต่เพิ่งจะออกจากห้อง ก็เห็นจดหมายฉบับหนึ่งอยู่ในตู้จดหมายเล็กๆ ตรงประตูห้อง
สถานที่บนจดหมายคือที่อยู่ของแจ๊คเฒ่า
ลู่เซิ่งพลันนึกขึ้นได้ว่า วันนี้เป็นวันหมั้นหมายของพี่สาวแจ๊ค
แต่หลังจากเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมิสกา ต้องรอปิดเทอมก่อนถึงจะกลับไปได้ เขาเคยบอกกับทางครอบครัวแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้กลับไปก็พอจะให้อภัยได้
ลู่เซิ่งหยิบจดหมายออกมาจากตู้ กลับไปฉีกอ่านในห้อง
เนื้อหาจดหมายคร่าวๆ คือการหมั้นหมายของพี่สาวเกิดการเปลี่ยนแปลง สามีผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์ธรรมดาคนหนึ่งในกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษ ก่อนหน้านี้ออกไปปฏิบัติงานเกี่ยวกับคดีลักลอบนำเข้า จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา ปัจจุบันครอบครัวอีกฝั่งได้ส่งคนออกค้นหาแล้ว
‘การหมั้นหมายล่มซะแล้วเหรอ’ ลู่เซิ่งส่ายหน้า แล้วหยิบกระดาษออกมา ใช้ปากกาจุ่มหมึก จากนั้นก็เขียนตอบกลับ
เขาคำนวณคร่าวๆ ว่าต้องอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างน้อยสี่เดือน ดังนั้นนอกจากเขียนจดหมายหาครอบครัวแล้ว เขาจำเป็นต้องขอลาหยุดกับสถานีตำรวจลอนดอนล่วงหน้าด้วย
……………………………………….