ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 831 ยกระดับอย่างบ้าคลั่ง (5)
ลู่เซิ่งใช้เวลาห้านาทีในการเขียนจดหมายลาหยุดให้กับสถานีตำรวจลอนดอน ส่วนพวกเขาจะอนุญาตหรือไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ลู่เซิ่งสนใจแล้ว มหาวิทยาลัยมิสกากับอาชีพตำรวจอย่างไหนสำคัญกว่ากัน มหาวิทยาลัยย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว
ลู่เซิ่งเก็บจดหมายใส่ซองที่มีอยู่ในห้อง ก่อนจะออกมาหย่อนจดหมายลงในตู้จดหมายตรงประตูทางเข้า
จากนั้นเขาก็จัดเก็บข้าวของ ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด
ในห้องสมุดตอนกลางวันไม่เห็นชายชราหลังงุ้มคนนั้น มีแต่คุณป้าร่างอวบที่ส่งเสียงดัง
“ไม่อนุญาตให้ยืมหนังสือไปด้านนอก อนุญาตให้เข้าไปอ่านหนังสือได้ชั่วโมงเดียวเท่านั้น ถ้าไม่ออกมาจะถูกหักคะแนน! อย่าคิดว่าป้าฮันนาพูดเล่นล่ะ นี่เป็นกฎ กฎของทางมหาวิทยาลัย! หากใครไม่ทำตาม สมุดคะแนนก็จะไม่สนใจว่าคุณเป็นใครเหมือนกัน!”
ด้านหน้าห้องยามที่อยู่ทางขวาของประตูห้องสมุด ป้าฮันนาที่ท้องโตยิ่งกว่าคนตั้งครรภ์ตะโกนเสียงหยาบกระด้าง คอยกำชับพวกนักศึกษาที่เข้าๆ ออกๆ
ห้องสมุดยังไม่เปิดดี ป้าฮันนาใช้กุญแจเปิดโซ่ตรวนหลายเส้นบนประตูใหญ่อย่างระมัดระวัง เธอบ่นพึมพำไปด้วยขณะเปิดประตู ไม่รู้ว่าพูดอะไร
ด้านนอกมีนักศึกษาหนุ่มสาวที่มาตั้งแต่เช้าสิบกว่าคนรออยู่แล้ว
“พวกคุณมากันเร็วขนาดนี้ เวลาเรียนไม่เห็นกระตือรือร้นแบบนี้เลย บอกจนปากเปียกปากแฉะแล้วว่า สิ่งนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่…ทำไมไม่มีใครเชื่อเลย”
ลู่เซิ่งยืนอยู่หลังกลุ่มคนด้านนอกสุด
“ป้าฮันนาพูดถึงอะไรกันน่ะ” นักศึกษาสาวคนหนึ่งที่อยู่ข้างเขาเอ่ยถามขึ้น
“ตำนานเกี่ยวกับห้องสมุดน่ะ เห็นว่าห้องสมุดแห่งนี้เก็บหนังสือไว้มากมายจนมหาวิทยาลัยกับคนดูแลก็ไม่รู้ว่ามีอยู่กี่เล่ม หนังสือจำนวนมากซ่อนอยู่ในมุมไหนสักมุมของห้องสมุด แต่ถูกชั้นหนังสือใหม่ๆ บังเอาไว้ เลยหากันไม่เจอ” อีกคนตอบ
“แล้วมันทำไมล่ะ” นักศึกษาสาวอีกคนถามอย่างฉงน
“ตำนานบอกว่า มีหนังสือลึกลับเล่มหนึ่งที่ทำให้ความปรารถนาของคนเป็นจริงได้ หนังสือเล่มนั้นบันทึกสิ่งที่มีชื่อว่าวงแหวนซีลิงค์ไว้ สามารถใช้ค่าตอบแทนที่ตนมีอยู่ไปแลกเปลี่ยนทุกอย่างที่ตัวเองต้องการได้”
‘วงแหวนซีลิงค์…’ ลู่เซิ่งคิดในใจ
“เรียบร้อย เจ้าพวกเด็กเหลือขอ เข้าไปได้แล้ว! ขอให้โชคดีนะ!” เวลานี้ประตูเปิดแล้ว ฮันนาโยกย้ายสะโพกอวบอ้วน เดินไปอีกทาง
“ป้าฮันนาที่น่าสงสารจะต้องชดเชยหยาดเหงื่อที่เสียไปสักหน่อย”
ลู่เซิ่งติดตามกลุ่มคนเข้าไปในห้องสมุด
เพิ่งเข้ามา เขาก็พบอย่างประหลาดใจว่า ห้องสมุดนั้นไม่เหมือนเดิม
เมื่อคืนเขาจำได้อย่างชัดเจนว่าด้านหน้าห้องสมุดมีบันไดหินกว้างใหญ่ทอดยาวไปถึงชั้นสอง สองฟากแขวนรูปวาดของบุคคลสำคัญแต่ละรุ่นในมหาวิทยาลัยเอาไว้หลายภาพ
และตอนนี้…โถงใหญ่ชั้นหนึ่งกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ตรงกลางมีรูปสลักสำริดรูปหนึ่ง สลักเป็นรูปอัศวินสูงศักดิ์ขี่ม้าสวมเกราะอ่อน มือหนึ่งถือหนังสือใหญ่โต อีกมือถือหอกอัศวินหยาบใหญ่
บันไดที่ทอดขึ้นชั้นบนก็เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน มีสถานที่สองแห่งที่สามารถใช้ขึ้นชั้นสองได้
ลู่เซิ่งพิจารณาห้องสมุดในตอนนี้อย่างละเอียด แล้วเดินไปถึงหน้าแผนที่ทางขวามือ ตรวจสอบแผนที่โครงสร้างทั้งหมด
เป็นอย่างที่เขาคาดคิด แผนที่เปลี่ยนไปแล้ว
‘ช่างเถอะ จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนก็ไม่เกี่ยวกับเรา ขอแค่เจอหนังสือที่ต้องการได้ก็พอ’ เขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ อย่างไรมหาวิทยาลัยก็ลึกลับพอแล้ว การเปลี่ยนแปลงแค่นี้ไม่น่าประหลาดใจเท่าไรนัก
เขาเจอชั้นที่ตัวเองต้องการไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ขึ้นบันไดไปถึงชั้นสาม
ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงอยู่ที่ชั้นสามทั้งหมด ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงเกี่ยวกับสายลมแห่งการประสานอยู่ในห้องอ่านหนังสือทางขวามือของชั้นสาม
ตอนที่ลู่เซิ่งเจอที่นี่ คนที่นั่งอยู่ในห้องอ่านหนังสือมักจะเป็นพวกผู้ช่วยอาจารย์และอาจารย์อายุมาก มีนักศึกษาไม่กี่คนเท่านั้นที่กำลังตรวจสอบข้อมูลจากที่นี่อยู่
แสดงให้เห็นว่าความยากของชั้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่นักศึกษาธรรมดาจะทำความเข้าใจได้
เขาเจอห้องอ่านประมวลกฎเกณฑ์อย่างรวดเร็ว ผลักประตูเดินเข้าไป ชั้นหนังสือมากมายด้านในยังคงเหมือนกับที่ได้เห็นเมื่อคืน มีหนังสือหลากหลายประเภทกองอยู่เต็มไปหมด
ชายชราอายุมากสองคนนั่งอยู่ในห้องห้องนี้ พวกเขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งอย่างเงียบๆ คอยพลิกเปิดข้อมูลที่เจอในมือด้วยสมาธิทั้งหมด ไม่สังเกตเห็นลู่เซิ่งที่เข้ามาแม้แต่น้อย
ในห้องอ่านหนังสือไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล ลู่เซิ่งไล่ดูไปตามป้ายที่ระบุไว้ด้านข้างชั้นหนังสือ
ห้องอ่านหนังสือนี้ยาวมาก ชั้นหนังสือทอดไปถึงส่วนลึกที่มืดครึ้ม ดูคร่าวๆ อย่างน้อยมีชั้นหนังสือเจ็ดสิบแปดสิบชั้นเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ บนชั้นมีหนังสือนับไม่ถ้วนวางอยู่อย่างแน่นขนัด
ไม่นานลู่เซิ่งก็เจอชั้นหนังสือประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงของสายลมแห่งการประสาน เขาเดินไปนั่งหน้าชั้นหนังสือ แล้วไล่หาตั้งแต่ด้านล่างถึงด้านบน
นี่อยู่ในส่วนลึกสุดของห้องอ่านหนังสือ รอบด้านเป็นหนังสือปกแข็งทะมึน ชั้นหนังสือสูงสามเมตรกว่าแทบจะบดบังแสงจากหน้าต่างไปหมดสิ้น
ถ้าไม่ใช่เพราะลู่เซิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายในทุกๆ ด้าน คงมองไม่เห็นว่าสิ่งที่วางอยู่ตรงมุมห้องเป็นหนังสืออะไร
ไล่หาอย่างละเอียดตั้งแต่ล่างจรดบน ไม่นานเขาก็เห็นเป้าหมายหลักของการมาครั้งนี้
สายลมแห่งความอ่อนโยน ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงทั้งหมดสิบหกเล่มที่มหาวิทยาลัยมิสกาเป็นผู้ตีพิมพ์
เขาดึงเล่มแรกออกมาพิจารณาอย่างระมัดระวัง หนังสือฝุ่นเขรอะ แต่ว่ายังไม่เปื่อยยุ่ย
‘ดูเหมือนคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้จะมีไม่เยอะ…ทั้งที่เป็นแบบเรียนขั้นสูงตามมาตรฐานแท้ๆ…’
ลู่เซิ่งดึงหนังสือเรียนออกมาทั้งสิบหกเล่ม อุ้มไว้ในอก ขณะที่กำลังจะลุกออกไปนั่นเอง
ทันใดนั้นหางตาเขาก็เหลือบเห็นหนังสือที่แสนประหลาดเล่มหนึ่ง
ชั้นหนังสือของที่นี่ใช้ปกสีม่วงอมดำ จะต่างกันตรงชื่อหนังสือบนสันเท่านั้น
แต่หนังสือเล่มนี้กลับใช้สีแดงเข้มจางๆ ที่เป็นเอกลักษณ์เขียนขึ้น และเสียบอยู่ระหว่างหนังสือกองหนึ่งอย่างไม่สะดุดตา
สันหนังสือเขียนไว้ว่า: บาสซาโต ซีมง แสงแห่งการสร้างสรรค์
สายตาของลู่เซิ่งอดจับอยู่บนหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ เขาสัมผัสได้ถึงพลังดึงดูดลึกลับที่อธิบายไม่ได้ทำให้เขาปรารถนาจะเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา
แต่มือเขาเพิ่งจะเข้าไปใกล้ สัญชาตญาณจากร่างหลักก็แจ้งเตือนอย่างบ้าคลั่ง ความรู้สึกทรมานอยากอาเจียนชนิดหนึ่งทะลักออกจากช่องท้อง มือข้างที่ลู่เซิ่งยื่นออกไปก็เริ่มเกิดตะคริวอย่างรุนแรง
เขารีบชักมือกลับ พลันก็หายจากอาการอาเจียน มือที่เป็นตะคริวก็กลับมาเป็นปกติทันที
‘น่าสนใจ…’ สายตาของเขาเคร่งขรึมลง ‘จิตวิญญาณของร่างหลักกำลังอยู่ในกระบวนการยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลาง และยกระดับขึ้นจากเดิมห้าส่วนแล้ว ถ้าประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางยกระดับเรียบร้อยแล้ว จิตวิญญาณร่างหลักของเราก็จะได้รับการเลื่อนขั้นไปด้วย…’
‘โลกใบนี้…น่าสนใจดีจริงๆ…’ เขาเหลือบมองหนังสือเล่มนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ค่อยลุกขึ้นอุ้มหนังสือตามมาตรฐานสิบกว่าเล่มที่ได้มามุ่งหน้าไปอ่านที่ห้องอ่านหนังสือ
ลู่เซิ่งหาเก้าอี้นั่งลงใกล้ดวงอาทิตย์นอกหน้าต่าง แล้วเริ่มอ่านอย่างรวดเร็ว
รูปร่างอักขระในประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงมีทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองชนิด แบ่งเป็นสามสิบหกระดับเช่นกัน
เนื้อหาซับซ้อนกว่าประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลาง เกี่ยวข้องถึงการคำนวณและการวิวัฒนาการมากมาย ทั้งยังพูดถึงกฎและสูตรบางส่วนที่ลู่เซิ่งไม่เคยเรียนมาก่อนด้วย
เนื้อหาค่อนข้างคลุมเครือ ลู่เซิ่งจึงอ่านเพ่งสมาธิมาก
เขาถือโอกาสอ่านทุกเล่มรอบหนึ่ง และจดจำเนื้อหาทั้งหมดเอาไว้
ตอนที่จดจำหนังสือเล่มสุดท้าย เขาก็เห็นตารางรูปแบบอวัยวะที่แนบอยู่ด้วย
นั่นคือตารางพีรามิดที่มีสีสัน ด้านบนสุดคือจุดยอดของอวัยวะสัมผัสที่หก ซึ่งเขียนภาษาแห่งความโกลาหลเอาไว้
ต่อมาเป็นรูปร่างที่เจ็ด รูปร่างที่หก รูปร่างที่ห้า ไปจนถึงรูปร่างที่หนึ่ง
‘ตารางแปดรูปแบบลาเกิน’ ด้านข้างเขียนชื่อไว้แถวหนึ่ง
ลู่เซิ่งจดจำภาพภาพนี้เอาไว้ด้วย
จากนั้นเขาก็ดูเวลาจากนาฬิกาพกในอก เวลาล่วงเลยไปห้าสิบนาทีแล้ว
‘ควรกลับสักที…’ เขาลุกขึ้นมองห้องอ่านหนังสือ ชายชราหนึ่งในสองคนก่อนหน้านี้ยืนหาหนังสืออยู่ที่เขตชั้นหนังสือ ส่วนอีกคนเก็บของกำลังเตรียมจากไปแล้ว
ลู่เซิ่งเก็บหนังสือกลับที่เดิม จากนั้นก็สาวเท้าออกจากห้องอ่านหนังสือ
เขาจดจำประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงไว้แล้ว ต้องกลับไปคัดลอกทันที เพื่อป้องกันไม่ให้ความทรงจำสับสน
ตอนนี้ร่างกายอยู่ในช่วงปรับตัว ไม่สามารถยกระดับต่อได้ จำเป็นต้องรอผลลัพธ์เสียก่อน หลังจากลู่เซิ่งกลับหอพักและคัดลอกหนังสือทั้งหมดแล้ว เขาก็ศึกษาประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงอยู่ในห้อง
พอถึงเที่ยงก็ไปกินอาหารที่โรงอาหาร ในตอนที่ใกล้จะถึงเวลาเรียนคาบบ่าย เขาจำต้องวางประมวลกฎเกณฑ์ฉบับคัดลอกในมือลงอย่างเสียมิได้ แล้วนำหนังสือเรียนขั้นต้นไปยังตึกเรียน
…
ด้านในห้องเรียนที่กว้างขวาง เสียงพูดธรรมดาของศาสตราจารย์ถูกการออกแบบโครงสร้างชนิดพิเศษของที่นี่ขยายไปทั่วทั้งห้องเรียน ทำให้นักศึกษาทุกคนที่เข้ามานั่งได้ยินอย่างชัดเจน
ลู่เซิ่งนั่งอยู่แถวที่สองนับจากแถวสุดท้าย ขณะที่เรียนอยู่ เขาก็เห็นเออร์นีซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้ากำลังกระซิบกระซาบกับนักศึกษาที่นั่งอยู่รอบข้าง
ไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น อีกด้านหนึ่ง หญิงสาวร่างสูงผู้มีผมยาวสีม่วงกับหน้าอกใหญ่โตคนหนึ่ง กำลังพิงอยู่บนกำแพงข้างหน้าต่างอย่างเกียจคร้าน จำนวนนักศึกษาที่ล้อมรอบกลับมีมากกว่าเออร์นีเสียอีก
ทั้งสองฝ่ายเหมือนตั้งใจคุมเชิงกัน
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับลู่เซิ่ง เขามาที่นี่เพื่อตั้งใจเรียน
คาบเรียนนี้คือวิชาเรขาคณิตมิติทับซ้อน เนื้อหาหลักคือสถานการณ์ที่เป็นไปตามกฎเกณฑ์และไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์มากมายที่จะเกิดขึ้นตอนที่มิติต่างๆ ซ้อนทับกัน
ขณะเดียวกันศาสตราจารย์ชรายังใช้ฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์กับแบบจำลองโลหะทางเรขาคณิต ผ่านวิธีการสร้างแบบจำลองพื้นฐาน เพื่อสาธิตชนิดของมิติทับซ้อนให้เห็นด้วย
คำอธิบายของเขาเรียบง่าย ทำให้คนเข้าใจได้อย่างง่ายดาย น่าเสียดายที่คนตั้งใจฟังมีอยู่ไม่มาก
ไม่นานคาบเรียนสี่สิบห้านาทีก็จบลง ศาสตราจารย์ชราเก็บหนังสือเรียนและรีบออกไป
คาบเรียนที่สองคือ ภาษาโบราณขั้นพื้นฐาน
สิ่งที่สอนคือภาษาประหลาดชื่อภาษาอัมโบลู อาจารย์ที่สอนเป็นผู้หญิงผิวเหลืองที่ใบหน้าเรียบเฉยและร่างซูบผอม เธอไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พอถึงเวลาเรียนก็สอนคนที่อยู่ด้านล่างตามหนังสือเรียนอย่างมีลำดับขั้นตอน
ลู่เซิ่งตั้งใจฟัง เรียนรู้การออกเสียงพื้นฐาน โดยที่คิดว่าได้เรียนก็ยังดีกว่าไม่ได้เรียน
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ คาบเรียนแรกแอนดี้ยังอยู่ และขณะเปลี่ยนคาบที่สอง ก็ถูกนักศึกษาคนหนึ่งเรียกตัวไป
แอนดี้จากไปด้วยสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย คนที่เรียกเขาไปคือสาวฮิปปี้ที่ลู่เซิ่งเห็นเมื่อตอนเช้า นักศึกษาใหม่ผู้ไร้เดียงสาที่มีอวัยวะหนามน้ำแข็ง
ลู่เซิ่งไม่สนใจเรื่องพวกนี้ จนกระทั่งหมดเวลา เขาค่อยเก็บหนังสือ เตรียมจะลุกจากไป
พอออกจากห้องเรียนก็เห็นแอนดี้กับนักศึกษาชายแปลกหน้าสองคนกำลังยืนพิงรั้วพลางพูดคุยกับเบาๆ
ด้วยประสาทสัมผัสที่ฉับไวทำให้ลู่เซิ่งได้ยินว่าพวกเขาพูดคำสำคัญอย่างกลุ่มอัคคีม่วง คดีหายสาบสูญ และการตรวจสอบ
เขามองออกว่า สีหน้าของแอนดี้เหยเกยิ่ง เพิ่งจะเปิดเทอมก็เจอปัญหาเข้าให้แล้ว ไม่ว่าใครก็คงไม่มีความสุขหรอก
……………………………………….