ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 832 ยกระดับอย่างบ้าคลั่ง (6)
ลู่เซิ่งไม่ได้แอบฟัง แต่เลือกแบกกระเป๋ากลับหอพักแทน
จากนั้นก็อาบน้ำ ปรับลมหายใจ ทบทวนเนื้อหาที่เรียน แล้วพักผ่อนเหมือนเดิม
ร่างกายของเขาในตอนนี้ต้องการพักผ่อนฟื้นฟูอยู่มาก จึงยังยกระดับไม่ได้
เช้าตรู่วันต่อมา ตอนที่เขาไปเรียนคาบเช้าอีกครั้ง ก็ได้ยินนักศึกษาที่นั่งอยู่รอบข้างคุยว่า เหมือนมีเรื่องเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย
มีนักเรียนที่กลับหอพักในตอนดึก ก่อนจะหายตัวไปอย่างปริศนา ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหาคนไม่เจอ
เรื่องนี้เกิดขึ้นกับนักเรียนใหม่เป็นหลัก ตั้งแต่บ่ายเมื่อวานจนถึงตอนนี้ มีคนหายไปแล้วสองคน
“ได้ยินมาว่ากลุ่มอัคคีม่วงของกุหลาบม่วงได้ออกตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว รุ่นพี่ปีสองปีสามก็เข้าร่วมด้วยเหมือนกัน พวกอาจารย์กำลังจับตาดูอยู่ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นโอกาสที่จะสร้างความประทับใจให้มหาวิทยาลัยได้เห็น” นักศึกษาชายที่นั่งอยู่ทางขวาของลู่เซิ่งเอ่ยเสียงค่อย
“ไปสนใจทำไม พวกเราต้องระวังตัวไว้ พยายามอย่าไปไหนมาไหนคนเดียว”
“ใช่ ขอแค่อย่าไปไหนมาไหนตอนกลางคืน หรือที่เปลี่ยว ฉันก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น” อีกคนหนึ่งตอบกลับอย่างมั่นใจ
หลังปรับตัวกันมาหลายวัน เหมือนนักศึกษาใหม่พวกนี้เริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมพิเศษของมหาวิทยาลัยได้แล้ว
ลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้างฟังบทสนทนาของคนทั้งสอง พร้อมกวาดตาไปทั่วห้องเรียน แอนดี้ไม่อยู่ เออร์นีก็ไม่อยู่เหมือนกัน น่าจะเกี่ยวกับคดีนักศึกษาหายตัวไป
พอเรียนคาบเช้าเสร็จ ลู่เซิ่งก็รู้สึกได้ว่าในที่สุดการยกระดับร่างกายก็เสร็จสิ้นลงแล้ว
ร่างกายยกระดับพัฒนาตามการยกระดับของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางเมื่อก่อนหน้านี้ไปด้วย ทำให้กระบวนการทั้งหมดจบสิ้นลงในตอนนี้
ความจริงประมวลกฎเกณฑ์เป็นวิธีการฝึกฝนที่ถูกสรุปออกมา เพียงแต่ซับซ้อนกว่าวิธีการทั่วไปเท่านั้น
การปรับเปลี่ยนของพลังอาวรณ์ไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จได้ในเวลาสั้นๆ หากแต่ต้องมีกระบวนการ ยิ่งเป็นการปรับเปลี่ยนที่ซับซ้อน กระบวนการก็ยิ่งใช้เวลานานตามไปด้วย
ตอนเรียนคาบบ่าย ลู่เซิ่งรู้สึกว่าร่างกายฟื้นฟูมากขึ้นพอสมควรแล้ว ถ้ากลับหอพัก ก็จะยกระดับต่อไปได้อีก
ความเร็วในการฟื้นฟูเร็วกว่าที่เขาคาดไว้ราวครึ่งวัน
คาบเรียนสุดท้ายเป็นคาบเรียนประมวลกฎเกณฑ์สำหรับฝึกความสามารถ อาจารย์โทเลย์ได้สาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์สำหรับช่วยฝึกความสามารถให้ทุกคนดู เป็นสิ่งที่ไม่มีในหนังสือเรียน
โทเลย์ที่ยืนอยู่บนลานฝึกโล่งกว้าง ยกฝ่ามือขึ้นด้านบน บนฝ่ามือปรากฎรูเล็กๆ สิบกว่ารู เป่ากระแสอากาศที่อ่อนโยนออกมา ยกกระดาษบางปึกหนึ่งให้ลอยอยู่กลางอากาศ
“วิธีการฝึกฝนของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นเน้นที่ภายใน วิธีการที่ฉันสอนพวกคุณสามารถช่วยส่งเสริมการฝึกฝนนี้ได้ โดยการเร่งความเร็วการควบคุมกระแสอากาศภายนอกกับความแรงของกระแสอากาศ” โทเลย์กล่าวเสียงดังอย่างรวบรัด
“เชื่อว่าหลังจากแจกหนังสือเรียนไปเมื่อก่อนหน้านี้ หากทุกคนไปศึกษาอย่างละเอียดแล้ว น่าจะเห็นการฝึกฝนชุดแรกในช่วงแรกมาก่อน เวลานี้ขอให้ทุกคนทำตามฉัน หยิบกระดาษชนิดพิเศษสิบแผ่นบนพื้นใกล้ตัวขึ้นมา แล้วใช้ฝ่ามือของตัวเองเป่ากระแสอากาศยกกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้น และใช้วิธีการฝึกฝนช่วงแรก เพื่อปรับพลังภายในสายนั้น…”
การอธิบายของโทเลย์หยุดอยู่ที่ช่วงแรกในระดับที่หนึ่งของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้น
ระดับแบบนี้ไม่มีความหมายสำหรับลู่เซิ่ง เขาใช้มือเดียวยกกระดาษแผ่นหนึ่ง ฝึกฝนตามการชี้นำของโทเลย์
การเคลื่อนไหวแบบนี้ไม่มีความยากสำหรับเขาแม้แต่น้อย ขณะที่อยู่ว่างๆ เขาก็เริ่มทบทวนเนื้อหาของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงต่อ
ทฤษฎีในบทนำของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นอธิบายเอาไว้ว่า นี่เป็นหนังสือเรียนเฉพาะทางสำหรับระดับอาจารย์และศาสตราจารย์ เป็นหนังสือเรียนที่อาจารย์เอาไว้ใช้ฝึกฝน
อวัยวะสัมผัสที่หกมีรูปแบบวิวัฒนาการมากมาย ในประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ไว้เช่นกัน
ตามทฤษฎี อวัยวะสัมผัสที่หกทั้งหมดต่างมีรูปแบบวิวัฒนาการที่ต่างกัน
การวิวัฒนาการของสายลมแห่งการประสาน มีบางคนฝึกฝนถึงรูปแบบที่สาม
รูปแบบที่สามในรูปประกอบ คือตุ่มเนื้อประหลาดที่มีลักษณะเหมือนดอกไม้สามกลีบ แขนถูกปกคลุมด้วยเกราะแข็งสีดำอมเงิน
ผิวนอกมีลวดลายสีแดงที่ไอจบรรยายได้ ดูเหมือนซับซ้อนกว่ารูปแบบวิวัฒนาการของเขาไม่น้อย
ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงอธิบายไว้อย่างละเอียดยิบ ลู่เซิ่งยังเจอภาพประกอบรูปแบบที่หนึ่งและที่สองหลังวิวัฒนาการด้วย
เขาฟังโทเลย์สอน และเคลื่อนไหวเหมือนนักศึกษาสายลมแห่งการประสานที่อยู่รอบข้างพลางทบทวนภาพของรูปแบบที่หนึ่งไปด้วย
‘รูปแบบวิวัฒนาการของเราเหมือนกับรูปแบบที่หนึ่งตามมาตรฐานเป๊ะ ดูเหมือนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดอื่นอีกจริงๆ รูปแบบที่ใช้พลังอาวรณ์ยกระดับวิวัฒนาการ ไม่แตกต่างจากการวิวัฒนาการตามปกติเลย’ ลู่เซิ่งเยือกเย็นลง
คาบเรียนจบลงอย่างรวดเร็ว โทเลย์ไพล่มือไว้ด้านหลังขณะเดินไปท่ามกลางกลุ่มคน เพื่อตรวจสอบความสำเร็จของแต่ละคน
ระดับความสำเร็จของคนส่วนใหญ่ย่ำแย่มาก มีไม่กี่คนเท่านั้นที่พอจะนับว่าสำเร็จอย่างราบรื่น
ในนี้มีลู่เซิ่งกับแอนดี้อยู่ด้วย
แอนดี้ยักคิ้วหลิ่วตาให้ลู่เซิ่ง ฝ่ามือถึงขั้นเป่ายกกระดาษสองแผ่นขึ้นลง ท่าทางเชี่ยวชาญยิ่ง
ไม่รู้ว่าก่อนเข้าเรียนเขาไปไหนมา เสื้อผ้าจึงดูยับยู่ยี่ เห็นได้ชัดว่าสองมาวันนี้เขายุ่งรัดตัวอย่างยิ่ง
ลู่เซิ่งพยักหน้าให้กับเขา
หลังเลิกเรียน แอนดี้ก็เป็นฝ่ายเข้ามาหาเขา
“แจ๊ค ช่วยอะไรฉันสักอย่างได้ไหม”
“ไม่ว่าง” ลู่เซิ่งเหลือบมองเขาก่อนตอบอย่างไม่นำพา
“อย่าใจดำขนาดนั้นสิ” แอนดี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรหนักหนาหรอก งานสบายๆ น่ะ”
“ทำไมฉันต้องช่วยนายด้วยล่ะ” ลู่เซิ่งถามกลับ
“ฉันเจอปัญหาเข้าน่ะสิ คู่แค้นของพ่อฉันมาถึงมหาวิทยาลัยแล้ว มันอยากจะฆ่าฉัน! คุณรู้ไหม เป็นประเภทที่จะฆ่าฉันจริงๆ น่ะ” แอนดี้ทำท่าทำทางเกินจริง หมายจะข่มลู่เซิ่ง
“แล้วไง เกี่ยวอะไรกับฉัน” ลู่เซิ่งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“หลายวันมานี้มันลงมือกับนักศึกษาคนอื่นแล้ว! คุณรู้ไหมว่ามัน…ไม่ใช่มนุษย์ มันต้องใช้เลือดเนื้อมารักษาการเคลื่อนไหวของตัวเอง…” แอนดี้อมพะนำ “ตอนนี้ฉันร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการตรวจสอบ ดังนั้น…”
“พอเถอะ ฉันไปก่อนล่ะ นายร่วมมือตรวจสอบต่อไปเถอะ” ลู่เซิ่งไม่รอให้เขาพูดจบก็ตัดบททันที
แอนดี้ตะโกนเรียกจากด้านหลัง หมายจะรั้งตัวลู่เซิ่งไว้ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจสักนิด
ไม่ไกลจากคนทั้งสอง โทเลย์ที่ได้ยินเสียงก็มองมายังด้านนี้
“อสูรเงาตัวนั้นมาเพราะพ่อของเด็กคนนั้นเหรอ” เธอถามเบาๆ
ผู้ช่วยอาจารย์ชายที่อยู่ด้านข้างพยักหน้า
“สาวกเทพนอกรีตฆ่าพ่อของเด็กคนนั้น แต่ไม่เจอของสำคัญที่ตัวเองต้องการ ดังนั้น แทนที่จะบอกว่าแอนดี้คนนี้มาเรียนหนังสือ ควรจะบอกว่ามาหลบซ่อนมากกว่า…ตามข้อมูลที่เราได้รับ พ่อของเขาเป็นบัณฑิตเหมือนกัน ทั้งยังเป็นบัณฑิตโดดเด่นถึงขั้นอวัยวะรูปแบบที่สามด้วย”
“รูปแบบที่สามเหรอ...ต่อให้อยู่ในมหาวิทยาลัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์หลายคนก็อยู่ในระดับนี้เหมือนกัน…คิดจะพัฒนาถึงระดับนี้ อาศัยแค่การพยายามฝึกฝนประมวลกฎเกณฑ์ไม่มีทางทำได้ ยังต้องมีเงื่อนไขอีกมากมาย…อัจฉริยะแบบนี้กลับไปตกตายอยู่ด้านนอก ช่างน่าเสียดายจริงๆ…” โทเลย์ส่ายหน้าพลางถอนใจ
“ก็อย่างที่คุณว่านั่นแหละ เห็นว่าว่าเขาใกล้จะเลื่อนถึงรูปแบบที่สี่แล้ว ถ้าหากกลับมหาวิทยาลัยหลังเลื่อนระดับ ไม่แน่จะได้รับการว่าจ้างเป็นอาจารย์ด้วยซ้ำ น่าเสียดายนะ…ช่วงนี้สาวกนอกรีตจากแท่นบูชาวิญญาณเงาพวกนั้นก็ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว” ผู้ช่วยอาจารย์ชายเอ่ยอย่างเสียดาย
“จับตาดูแอนดี้อย่างใกล้ชิด ถึงยังไงก็เป็นลูกของอดีตบัณฑิต ต้องดูแลสักหน่อย จับอสูรเงาเหิมเกริมตัวนั้นได้หรือยัง”
“ใกล้แล้วครับ อสูรเงาตัวนั้นซ่อนอยู่ในด้านมืดของจิตใจมนุษย์ ตรวจจับได้ยาก ความก้าวหน้าก็เลยช้าไปเล็กน้อย” ผู้ช่วยอาจารย์อธิบาย
…
ลู่เซิ่งหิ้วกระเป๋าหนังสือกลับหอพัก ร่างกายฟื้นฟูแล้ว สามารถยกระดับตัวเองต่อได้สักที
ในตอนที่กลับถึงหอพัก บนกำแพงขวานอกประตูติดใบประกาศไว้แผ่นหนึ่ง เป็นเรื่องเกี่ยวกับการหายตัวของนักศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ กำชับให้ทุกคนอย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียวตอนกลางคืน หากพบสถานการณ์น่าสงสัย ให้แจ้งอาจารย์ทันที
ลู่เซิ่งเหลือบมองแวบหนึ่ง แล้วกลับห้องตัวเอง ก่อนจะปิดประตู ลงกลอน ปิดหน้าต่าง และปิดผ้าม่านเหมือนอย่างทุกที
เขาถอดเสื้อผ้าออกจนหมด แล้วนั่งขัดสมาธิตรงกลางห้อง
‘ดีปบลู’
ทันใดนั้น อินเตอร์เฟซดีปบลูก็ปรากฏออกมา
ลู่เซิ่งมองไปยังกรอบประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางอย่างรวดเร็ว
[ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางสายลมแห่งการประสาน: ระดับที่ยี่สิบห้า (คุณสมบัติพิเศษ: ผิวแข็งแกร่ง, พ่นกระแสอากาศ)]
‘เพิ่งจะระดับยี่สิบห้า ตอนนี้ฟื้นฟูแล้ว มาต่อกันเลย…’ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึก แล้วออกคำสั่งดีปบลูผ่านความคิด
‘ยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางถึงระดับยี่สิบหก!’
ฉับพลันนั้นพลังอาวรณ์ก็หายไปอย่างรวดเร็ว ไหลเข้าสู่ร่างกายและอวัยวะที่หก
การยกระดับครั้งนี้ช้ากว่าครั้งก่อน หลังจากยกระดับหนึ่งขั้น จำเป็นต้องใช้เวลาสิบกว่านาทีถึงจะย่อยสลายพลังอาวรณ์ที่หลั่งไหลเข้าไปได้
แต่การเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายทุกด้านเหนือกว่าประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นไปมากโข
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่า พละกำลัง พลังระเบิด และความเร็วของตัวเองกำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อวัยวะสัมผัสที่หกป้อนกระแสอากาศที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อนกลับมา กระแสอากาศสายนี้ถูกร่างเขาดูดซับไว้อย่างรวดเร็ว
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ ร่างกายของเขากำลังยกระดับพละกำลัง ความเร็ว และพลังระเบิดอย่างรวดเร็วดุจพุ่งทะยาน
ตั้งแต่ระดับที่ยี่สิบหก ถึงระดับสามสิบหกอันเป็นขีดจำกัด ลู่เซิ่งใช้เวลาไปทั้งหมดสองชั่วโมงกว่า
และเมื่อถึงขีดจำกัดของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลาง อวัยวะสัมผัสที่หกบนแขนของเขาก็แข็งแกร่งถึงระดับมีพลังทำลายล้างขั้นต้น
กระแสอากาศที่เขาปล่อยออกมาสามารถทำลายเก้าอี้ไม้ได้อย่างง่ายดาย
อานุภาพเทียบได้กับคนธรรมดาทุ่มฟาดค้อนเหล็กที่หนักอึ้งอย่างสุดกำลัง
และนี่ก็เป็นขีดจำกัดของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลาง
หลังจากเพิ่มระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางเรียบร้อย ลู่เซิ่งก็เริ่มเพิ่มระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงต่อ
โดยทฤษฎี หลังจากเรียนประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางเสร็จ ก็จะอยู่ในระดับต่ำสุดที่จะเป็นผู้ช่วยอาจารย์ได้แล้ว ส่วนประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงเป็นการเตรียมตัววิวัฒนาการไปยังรูปแบบที่สูงกว่าเดิม
บนพื้นฐานที่ร่างกายยังคงปรับตัวและทนได้ไหว เขาผลักดันประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงถึงระดับที่หกได้อย่างราบรื่น
ทว่าถัดจากนั้นต้องใช้ตัวเหนี่ยวนำพิเศษที่ถูกระบุไว้ การฝึกฝนหลังจากระดับที่เจ็ดจะต้องใช้เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตจากห้วงความว่างเปล่าจำนวนหนึ่ง
สิ่งที่ลู่เซิ่งได้รับการปลูกถ่ายเข้าสู่ร่างกาย คือศพของปีศาจสายลมแห่งการประสาน ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องการคือเลือดเนื้อของปีศาจชนิดนี้
ความจริงตามบันทึกในประมวลกฎเกณฑ์ ผู้ที่ฝึกฝนในขั้นตอนนี้ควรจะสร้างห้องทดลองของตัวเอง จากนั้นใช้ประโยชน์จากห้องทดลองในการสร้างสภาพแวดล้อมกับเงื่อนไขพิเศษต่างๆ ที่เหมาะสมแก่การฝึกฝนของตน
เลือดเนื้อของสายลมแห่งการประสานเหมือนจะหายากมาก พอเช้าตรู่วันต่อมา ลู่เซิ่งไปหาอาจารย์โทเลย์ผู้สอนประมวลกฎเกณฑ์ทันที
ตามกฎแล้ว ถ้าหากนักศึกษาคนใดมีธาตุในร่างกายไม่เพียงพอหลังการปลูกถ่าย สามารถยื่นคำร้องขอกินเลือดเนื้อปีศาจชนิดเดียวกันได้เพิ่มเติม
มหาวิทยาลัยมีปีศาจอย่างสายลมแห่งการประสานอยู่มากมาย กอรปกับพลังคืนชีพของปีศาจชนิดนี้แข็งแกร่งถึงขีดสุด และกินได้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ลู่เซิ่งใช้ทักษะอย่างวิชาจิตโน้มนำกระตุ้นอย่างอ้อมๆ ก็สามารถสืบหาความจากโทเลย์ได้อย่างง่ายดายว่า ในรายการอาหารของโรงอาหารมีเมนูสองอย่างที่ราคาสูงลิบ ซึ่งก็ทำมาจากเลือดเนื้อปีศาจสายลมแห่งการประสาน
ปัญหาตัวเหนี่ยวนำที่ว่านี้จึงถูกแก้ไขอย่างง่ายดาย
หลังจากไปกินอาหารที่โรงอาหารเสร็จ ลู่เซิ่งก็เริ่มยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงต่อ โดยยกระดับถึงระดับที่สิบ
จากนั้นร่างกายก็เริ่มอ่อนล้าอิดโรย จำเป็นต้องใช้เวลาปรับตัว
ทว่าความสามารถพ่นกระแสอากาศของเขาในตอนนี้ร้ายกาจกว่าเดิมแล้ว ทั่วทั้งร่างกายสามารถระเบิดกระแสอากาศที่น่าหวั่นสะพรึงถึงขีดสุดออกมาได้
ตามบันทึกบนประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูง เมื่อสายลมแห่งการประสานมาถึงระดับของเขา ก็ถือว่าถึงขีดจำกัดแล้ว ขีดจำกัดความสามารถของปีศาจชนิดนี้ก็คือระดับนี้ อย่างมากสุดภายหลังยังพัฒนาได้อีกขั้น แต่ประมวลกฎเกณฑ์เป็นเพียงวิธีการฝึกฝน แม้จะฝึกฝนสำเร็จก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการอีก
ทว่าประเด็นสำคัญที่ลู่เซิ่งให้ความสำคัญไม่ใช่สิ่งนี้ เพราะในที่สุดจิตวิญญาณร่างหลักของเขาก็ยกระดับขึ้นอย่างใหญ่หลวงอีกครั้งตามการฝึกประมวลกฎเกณฑ์
ขอบเขตที่สามของวัฏจักรลวงในระดับมายาพิศวงได้รับการเลื่อนขั้นอย่างไร้เค้าลาง…และนี่เป็นเพียงสัปดาห์แรกที่เขามาถึงมหาวิทยาลัยแห่งนี้เท่านั้น
……………………………………….