ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 833 พานพบ (1)
วัฏจักรลวงเป็นระดับหนึ่งของผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวง มีทั้งหมดสี่ระดับย่อย ลู่เซิ่งติดอยู่ในระดับที่สามมานานแล้ว การยกระดับเข้าสู่ระดับที่สี่ของวัฏจักรลวงในครั้งนี้หมายความว่า แปรสัจจะอันเป็นขอบเขตใหญ่ที่สองมีความหวังแล้ว
สามขอบเขตใหญ่อย่างวัฏจักรลวง แปรสัจจะ อนธการ แต่ละขอบเขตแบ่งออกเป็นสี่ระดับย่อย ทั้งหมดสิบสองช่วง ครอบคลุมการแบ่งรูปแบบทั้งหมดของระดับมายาพิศวง
หากบอกว่าวัฏจักรลวงเป็นราชันระดับทำลายล้างดวงดาวผู้ปกครองดาวเคราะห์จำนวนมาก ซึ่งสามารถทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนดาวเคราะห์ได้อย่างง่ายดาย
อย่างนั้นอธนการก็เป็นผู้ทำลายล้างที่อันตรายถึงขั้นสูญสิ้นสำหรับดาวเคราะห์อย่างแท้จริง
พวกเขาทำลายดาวเคราะห์ได้อย่างง่ายดายยิ่ง ถึงขั้นที่ดาวฤกษ์ วิญญาณดาวกับสัตว์โบราณทั่วไปก็ไม่คณนามือพวกเขาเช่นกัน
อนธการที่แข็งแกร่งสามารถปกครองระบบดาวได้ เช่นเดียวกับมารดาแห่งความเจ็บปวดและหยวนชิงลี่เจ้าสำนักนทีคราม
พวกเขาทำลายดาวได้เพียงแค่สะบัดมือ ขอบเขตนี้เป็นขอบเขตที่ลู่เซิ่งวาดหวังมานานแล้ว
ถ้าเขาเดาไม่ผิด ก็เป็นไปได้มากที่เหล่าเทพนอกรีตของโลกใบนี้จะอยู่ในระดับนี้ หรือสูงกว่า
เขาจัดการสภาพร่างกาย ปรับให้เลือดลมที่พลุ่งพล่านให้สงบลง ก่อนจะลุกขึ้นแล้วพบว่ากล้ามเนื้อของตัวเองพองขยายอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ได้ใหญ่ล่ำสันเหมือนร่างหลัก หากแต่เป็นกล้ามเนื้อไขมันต่ำที่ให้ความรู้สึกสมส่วนงดงาม
นอกจากนี้แล้ว พลังประหลาดที่ใช้ปรับสมดุลอวัยวะและร่างกายภายในตัวเขา ก็ขยายใหญ่ตามไปด้วย เห็นได้ชัดว่าพลังอาวรณ์ยกระดับและเพิ่มความแข็งแกร่งให้มันเช่นกัน
‘มาถึงระดับที่สิบของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูง ต่อจากนี้ต้องพักผ่อนปรับตัวอีก ฉวยโอกาสที่มีเวลาว่างในตอนนี้ ศึกษาระบบของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงทั้งหมดสักรอบหนึ่งดีกว่า’
ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงตามมาตรฐานที่เขาจำมาจากห้องสมุด ด้านในไม่เพียงมีทฤษฎีการฝึกฝน ยังมีหลักการ การฝึกฝนเพิ่มเติมด้วยตัวเอง และความรู้อันน่าพิศวงไม่น้อย
ลู่เซิ่งศึกษาไปจนถึงกลางดึกจึงนอนหลับพักผ่อน เช้าตรู่วันต่อมาเขาก็ไปห้องสมุดอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาไปยังห้องอ่านประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูง นอกจากประมวลกฎเกณฑ์อันเป็นหนังสือเรียนตามมาตรฐานแล้ว ที่นี่ยังมีห้องเดี่ยวเล็กๆ อีกไม่น้อย ในห้องแต่ละห้องมีประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงชนิดพิเศษวางอยู่ส่วนหนึ่ง
ลู่เซิ่งหาห้องเดี่ยวห้องหนึ่ง ประมวลกฎเกณฑ์ด้านในเป็นการศึกษาว่าจะทำให้สายลมแห่งการประสานวิวัฒนาการได้อย่างไร ลู่เซิ่งกวาดสายตาอ่าน ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมง ก็จดจำวิธีการฝึกฝนบนประมวลกฎเกณฑ์ได้ทั้งหมด
ในตอนที่ยังศึกษาประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงไม่เสร็จสมบูรณ์ สำหรับเขาแล้ว การขยับขยายแนวคิดทางด้านนี้เป็นตัวเลือกใหม่
เวลาอ่านหมดลงอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งปิดหนังสืออย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องอ่านหนังสือ
เขตประมวลกฎเกณฑ์ขั้นกลางบนชั้นสามไม่มีใคร เขาเดินลงบันได เตรียมจะไปกินอาหารเช้าที่โรงอาหาร
แอ๊ด
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบาๆ ดังมาจากด้านข้าง
ลู่เซิ่งหันไปมอง ชายสวมเสื้อคลุมสีดำรูปร่างสูงใหญ่ กำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง สองมือสอดอยู่ในกระเป๋า มองเหม่อออกไป
ดูเหมือนเขาจะมีสมาธิมากทีเดียว
ชายคนนั้นเหมือนสัมผัสได้ถึงสายตาของลู่เซิ่ง จึงหันมามองเขาและยิ้มให้
ลู่เซิ่งยิ้มตอบอย่างมีมารยาทเช่นกัน
เขาไม่ใช่คนที่ชอบสังเกตสังกาคนอื่น แต่ชายคนนี้ให้ความรู้สึกมีตัวตนอยู่ต่ำเกินไป
สำหรับคนธรรมดา อาจจะมองข้ามชายคนนี้ไปโดยไม่ทันสังเกต แต่สำหรับลู่เซิ่ง ร่างกายของเขาถูกเสริมความแข็งแกร่งถึงขั้นฉับไวขีดสุดแล้ว กอปรกับจิตวิญญาณร่างหลักแข็งแกร่งเกินไป จึงให้ความสำคัญตัวตนที่จงใจลบตัวตนประเภทนี้ยิ่งกว่า
ชายผู้นี้คิ้วบางยิ่ง ดวงตาสีฟ้างดงามอ่อนโยน ผมสั้นสีน้ำตาลหยักศก บุคลิกเรียบนิ่งเป็นมิตร
ผิวของเขาขาวมาก เหมือนคนขาว แต่เค้าโครงหน้าตาเหมือนชาวเอเชียมากกว่า
ชายคนนี้มองลู่เซิ่งสักพัก ค่อยยิ้มแย้มแล้วหันหลังจากไป ท่าเดินของเขาแปลกประหลาดมาก เสื้อคลุมยาวสีดำปกคลุมสองขา การเคลื่อนไหวไม่มีการการขยับขึ้นลง เหมือนกับไม่ได้ใช้ขาเดิน แต่ใช้ล้อแทน
ลู่เซิ่งละสายตากลับมา ก่อนจะเดินลงด้านล่างต่อ
เมื่อมาถึงชั้นหนึ่ง ห้องสมุดค่อยคึกคักขึ้นเล็กน้อย นักศึกษากับอาจารย์ที่เข้าๆ ออกๆ เพิ่มชีวิตชีวาให้แก่โถงใหญ่ที่อึมครึม
ลู่เซิงเดินออกจากประตูใหญ่ คนที่มาอ่านหนังสือที่นี่จะคำนวณเวลามาดีแล้ว เขาไม่รู้ว่าถ้าอยู่เกินเวลาแล้วจะเจออะไร แต่ดูจากความลึกลับของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ เขาไม่คิดจะแกว่งเท้าหาเสี้ยน
จากนั้นลู่เซิ่งก็เดินลงบันไดห้องสมุด อ้อมรูปสลัก แล้วมุ่งหน้าไปยังหอพัก ตอนบ่ายไม่มีเรียน เขาต้องเตรียมทำการบ้านที่ได้รับมาก่อนหน้านี้เสียก่อน
เวลาไหลไปตามครรลองเดิมอย่างต่อเนื่อง
ในแต่ละวัน นอกจากเรียนแล้ว ลู่เซิ่งก็จะไปห้องสมุด และยกระดับร่างกายกำลังปรับตัวอย่างมั่นคงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงที่เขาจำไว้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งคาดเดาไว้แล้วว่า ความยากที่จะเจอในประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต่อไปย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน อีกทั้งประมวลกฎเกณฑ์ทุกเล่มจำเป็นต้องใช้เลือดเนื้อปีศาจ ถึงจะยกระดับขึ้นได้ เกรงว่าเงื่อนไขคงจะมากกว่าเดิม
แทนที่จะรอให้ถึงเวลานั้นแล้วหยุดพัฒนา สู้เตรียมคลังข้อมูลไว้ก่อนเสียดีกว่า
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของลู่เซิ่งก็คือ ช่วงปรับตัวของร่างกายในครั้งนี้ยาวนานยิ่ง ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์กว่าร่างกายของเขาถึงค่อยปรับตัวเข้ากับการฝึกฝนยกระดับในประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงได้อย่างสมบูรณ์
ตามเหตุผล ไม่ควรจะเชื่องช้าขนาดนี้ ลู่เซิ่งเดาว่าอาจเป็นเพราะร่างหลักเกิดการเปลี่ยนแปลง เลยพลอยทำให้กระบวนการปรับตัวต้องปรับตัวทั้งสองด้าน
ดังนั้นความเร็วจึงช้าลง
ด้านการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเป็นไปตามปกติ นอกจากความยากที่เพิ่มขึ้นแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีอะไรเหนือกว่าที่คาดไว้
กลับเป็นแอนดี้ ที่ร่วมมือตรวจสอบคดีนักศึกษาหายสาบสูญมาโดยตลอด วันๆ วิ่งไปวิ่งมา เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด
ไม่นานก็มาถึงวันหยุดสุดสัปดาห์อีกครั้ง ขณะลู่เซิ่งกำลังจะออกจากห้องเรียนหลังเลิกเรียน แอนดี้ก็เรียกเขาไว้
“แจ๊ค วันนี้วันเกิดฉัน ไปดื่มด้วยกันสักแก้วดีไหม พวกเราดื่มด้วยกัน”
เขายืนอยู่หน้าประตูห้องเรียน กล่าวด้วยรอยยิ้ม สภาพของเขาย่ำแย่มาก ผมแห้งเป็นกระเซิง ดวงตาพร่ามัว ท่าทางสะลึมสะลือเล็กน้อย ใต้ตาดำคล้ำ
“ยังมีใครไปอีก” ลู่เซิ่งถาม
“ฉันกับนาย” แอนดี้หัวเราะแห้งๆ “ว่ากันตามตรง ช่วงนี้ฉันลำบากมากทีเดียว”
ลู่เซิ่งดูเวลา ยังพอมีเวลาอยู่
“ก็ได้ นายเลือกร้านเลย” เขาตอบ
ทั้งสองคนออกจากหอพัก เดินไปยังประตูมหาวิทยาลัย
แอนดี้ทึ้งผมตัวเองด้วยสีหน้างุ่นง่าน
“พูดตามตรงนะ ตอนแรกฉันนึกว่าไอ้นั่นมาหาฉัน แต่ดูแล้ว ฉันคงจะคาดผิดไปไกลโข”
“นายคิดผิดเหรอ” ลู่เซิ่งถาม อย่างไรก็อยู่ว่างๆ ทั้งยังเลิกเรียนแล้ว ร่างกายเองก็ฟื้นฟูแล้วเช่นกัน แต่ต้องรอตอนดึกก่อนถึงจะฝึกต่อได้
แอนดี้ส่ายหน้า
“ฉันนึกว่ามันน่าจะมาหาฉัน…แต่พอสืบจนถึงตอนนี้ ฉันก็ชักสงสัยในความเป็นไปได้นี้แล้ว…เกรงว่า…ไอ้นั่นจะไม่ได้มาเพราะฉัน ตามการคาดการณ์ของฉันต่อทางฝั่งนั้น พวกมันไม่มีความกล้าและความสามารถในการก่อความวุ่นวายที่มหาวิทยาลัยมิสก้าได้”
“หือ?”
ลู่เซิ่งสนใจขึ้นมาบ้าง
ทั้งสองไปยังผับเล็กๆ ที่มีชื่อว่าวายุสารทใบไม้ปลิวโปรยด้านนอกมหาวิทยาลัย เข้าไปในห้องส่วนตัวดื่มเหล้าสองสามขวด แอนดี้กรอกเหล้าเข้าปากคำโต เห็นได้ชัดว่าเขาสับสนและยากลำบากยิ่ง
“ตอนนี้ฉันนึกวิธีเท่าที่จะนึกออกแล้ว …ไม่รู้จริงๆ ว่ามันต้องการอะไรกันแน่ อยากทำอะไรกันแน่…ฝ่ายสภานักศึกษาก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน พวกเขาใช้กำลังคนและสิ่งของมากมาย ทุกคนมีเรื่องที่ตัวเองต้องทำ จะมัวแต่ทำเรื่องนี้ไม่ได้”
แอนดี้บ่นพลางดื่มเหล้าอย่างหงุดหงิด
ลู่เซิ่งไม่พูดอะไร เพียงนั่งฟังเงียบๆ อยู่ด้านข้างเท่านั้น
เหล้าผ่านไปทีละขวดสองขวด
ตึง!
อยู่ๆ ศีรษะแอนดี้ก็ฟุบลงกับโต๊ะ ก่อนจะหมดสติไป
ลู่เซิ่งส่ายหน้าอย่างเอือมระอา เรียกบริกรมาคิดเงิน จากนั้นก็นั่งเป็นเพื่อนแอนดี้อยู่บนโซฟา รอให้เขาตื่น
พออยู่ว่างๆ เขาก็กวาดตามองทั้งผับ กลับคาดไม่ถึงว่าจะเห็นเออร์นีกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ตรงมุมหนึ่ง
คุณหนูผู้งดงามที่มีบุคลิกหยิ่งทะนงคนนี้กำลังพูดอะไรบางอย่างกับชายหน้ากระผมสีทองด้วยสีหน้าหงุดหงิด ดูเหมือนเธอกำลังเกลี้ยกล่อมเขา โดยพยายามทำท่ามีเหตุมีผลอยู่
แต่ชายคนนั้นแคะจมูกอย่างเบื่อหน่าย ท่าทางไม่อยากพบเจอเออร์นี
ลู่เซิ่งไม่รู้จักกับเออร์นีดี จึงหันไปมองที่อื่นต่อ
“เอ๋?”
อยู่ๆ เขาก็หยุดสายตา เพราะเห็นชายเสื้อดำดูคุ้นตาคนหนึ่งตรงมุมหนึ่งของผับ
ชายคนนั้นมีร่างสูงใหญ่ ต่อให้นั่งอยู่ ก็ยังสูงกว่าคนที่นั่งอยู่ตรงอื่นถึงช่วงตัวหนึ่ง ผิวสีดำของเขาหนาเป็นอย่างยิ่ง ยังคงเหมือนตอนที่พบในห้องสมุด
ดูเหมือนจะเป็นการพบกันโดยบังเอิญ แต่พอลู่เซิ่งไล่สายตาไปยังทิศที่ชายคนนั้นมองอยู่
ก็พบว่าทิศทางนั้นคือแผ่นหลังของเออร์นีพอดิบพอดี
สายตาของอีกฝ่ายหยุดอยู่บนร่างเออร์นีอย่างนิ่งงัน
เพราะไร้ตัวตนเกินไป เขาจึงไม่สนใจว่าการเคลื่อนไหวของตัวเองจะถูกคนอื่นพบเจอ
เป็นเพราะว่าแทบทุกคนที่อยู่โดยรอบไม่สังเกตเห็นเขาด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่จะรู้เลยว่าเขาทำอะไรอยู่
แต่ลู่เซิ่งไม่เหมือนกัน
เขารีบละสายตากลับมา แต่ก็ยังถูกคนคนนั้นพบ อีกฝ่ายหันมามองเขาอย่างเป็นมิตร
ตอนแรกกวาดตามองแอนดี้ที่หมดสติอยู่ก่อน จากนั้นค่อยหยุดสายตาบนร่างลู่เซิ่ง
พอมองเสร็จก็ละสายตากลับทันที ถ้าไม่ใช่เพราะประสาทสัมผัสทั้งห้าของลู่เซิ่งฉับไวถึงขีดสุด เกรงว่าคงไม่พบการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
ไม่นานนัก เออร์นีก็ลุกขึ้นผละจากชายคนนั้น เหมือนจะทะเลาะกันอยู่เนืองๆ
ครั้นเออร์นีจากไป ชายสวมเสื้อดำคนนั้นก็ลุกขึ้นและตามไปอย่างผ่าเผย
ลู่เซิ่งมองเหล้าบนโต๊ะ ดื่มไปพอประมาณแล้ว ควรจะหยุดได้สักที เขาจึงลุกขึ้น ตบๆ ปัดๆ รอยยับบนเสื้อ ก่อนจะเดินออกจากประตูไป
แอนดี้ที่ดื่มจนหลับบนโซฟาเหมือนจะรู้สึกได้ ลืมตาสะลึมสะลือ คิดจะลุกขึ้น แต่ก็สังเกตได้ว่าไม่มีแรง
ลู่เซิ่งเดินออกจากผับ เหลียวมองซ้ายขวา ชายเสื้อของชายเสื้อดำคนนั้นหายไปตรงกำแพงมุมโค้งพอดี
ลู่เซิ่งไม่สนใจ นี่ไม่ใช่เรื่องของเขา เขาจึงเดินทอดน่องกลับหอพักโดยซุกมือไว้ในกระเป๋ากางเกง
แม้เขาจะสนใจในตัวผู้ชายคนนี้อยู่บ้าง ทว่าตอนนี้ เขาคิดเพียงตั้งใจเรียนในมหาวิทยาลัยเท่านั้น ไม่คิดจะทำอะไรอย่างอื่น
แม้ลู่เซิ่งจะรู้สึกได้ว่า ความสนใจของตนมักจะหาผลประโยชน์มาให้ตนไม่น้อยในหลายๆ ครั้งก็ตาม
แน่นอนว่าสำหรับคนอื่นอาจจะเป็นผลเสีย แต่ผลดีกับผลเสียมักช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่แล้ว
เขาเดินผ่านทางเลี้ยวแล้วเงยหน้ามอง เห็นชายเสื้อดำถือกระบองสั้นไว้ในมือ มองดูเออร์นีที่เดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า
เขายกปลายกระบองสั้นขึ้นเล็งไปด้านหน้า เหมือนปืนที่กำลังเตรียมยิง
หญิงสาวคนนั้นกำลังก้มหน้า มือกำของบางอย่างไว้แน่น เหมือนอารมณ์หม่นหมองยิ่ง
เหมือนสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวด้านหลัง ชายเสื้อดำจึงหันกลับมา พอเห็นลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหลัง เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเก็บกระบองสั้น แล้วเลี้ยวไปทางซ้าย ผละจากไปด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งมองตามจนเขาจากไป เมื่อครู่เขาสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่ชายคนนั้นปล่อยออกมาต่อเออร์นี
ท่าทางที่เหมือนพร้อมจะลงมือได้ทุกเวลานั้นไม่เหมือนกับประดิษฐ์ขึ้นเลยสักนิด
‘นี่มันอะไรกัน’ เขาส่ายหน้าอย่างจนใจ ตอนอยู่ที่ห้องสมุด เขาสัมผัสได้ว่าชายคนนั้นน่าจะมีจุดประสงค์บางอย่าง
พอตอนนี้เห็นชายคนนี้อีกครั้งเตรียมลงมืออย่างโจ่งแจ้ง
‘แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ’ ลู่เซิ่งคร้านจะคิดมาก เดินไปมหาวิทยาลัยต่อ
เรื่องพวกนี้ควรเป็นหน้าที่ของสภานักศึกษากับผู้มีอำนาจในมหาวิทยาลัย เขาเป็นเพียงนักศึกษา หน้าที่และภารกิจหลักของเขาคือการตั้งใจเรียน สิ่งอื่นใดไม่สำคัญเท่าการเรียนทั้งนั้น
ความคิดของลู่เซิ่งในตอนนี้แน่วแน่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
……………………………………….