ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 834 พานพบ (2)
พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าวันแล้ว ร่างกายของลู่เซิ่งฟื้นฟูหายดี แต่เขาไม่ได้รีบร้อนยกระดับตัวเองต่อทันที ครั้งนี้เขาไม่คิดจะยกระดับทีเดียวเหมือนก่อนหน้าอีก
เตรียมหาแนวทางเปลี่ยนวิธีการ
ในระหว่างการศึกษาเป็นเวลาสองสามวัน เขาค้นพบอย่างเลือนรางว่าความจริงแล้วประสิทธิผลของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงจะได้รับผลกระทบจากเลือดลมในร่างกายด้วย
ถ้าประสานกับวิชาเลือดลม เขาจะยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ได้ดีกว่าเดิม
ตามการสังเกตอย่างละเอียดด้วยจิตวิญญาณของร่างหลัก หากยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ในขณะที่เลือดลมพลุ่งพล่าน ก็เป็นไปได้ที่จะช่วยกระตุ้นให้อวัยวะที่หกให้วิวัฒนาการถึงระดับสูงสุด
หลังจากจำลองอย่างละเอียด ลู่เซิ่งก็เจอประมวลกฎเกณฑ์ใหม่ที่ใช้กระตุ้นอวัยวะที่หกของตนได้จากประมวลกฎเกณฑ์ที่อยู่ในขั้นสูงกว่าเดิมจำนวนมาก
กฎเกณฑ์ในประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงอันเป็นหนังสือเรียนตามมาตรฐานเหมาะสำหรับทุกคน แต่ไม่เหมาะกับร่างกายพิสดารที่มีเลือดลมมหาศาล และคุณสมบัติร่างแข็งแกร่งถึงขีดสุดของเขา
ประมวลกฎเกณฑ์ระดับสูงกว่าเดิมที่ลู่เซิ่งเจอ สามารถเชื่อมกับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงตามมาตรฐานได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้จะสร้างภาระให้แก่ร่างกายอย่างหนักหน่วง แต่ถ้าฝึกฝนสำเร็จ ก็เป็นไปได้มากที่จะทำให้อวัยวะที่หกวิวัฒนาการอีกครั้ง
ครั้งนี้ ลู่เซิ่งคิดจะยกระดับวิชาเลือดลมกับประมวลกฎเกณฑ์ใหม่พร้อมกัน แม้จะไม่เจอประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหล ทำให้นึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ว่าการใช้ประมวลกฎเกณฑ์ใหม่มาแทนที่ก็นับว่าไม่เลวเช่นกัน
“เฮ้ มาห้องสมุดอีกแล้วเหรอ คุณนี่ไม่พลาดเวลาหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวันเลยนะ” แอนดี้สวมสูทและรองเท้าหนัง ใช้เจลจัดแต่งทรงผมจนตั้งและมันเงา สวมถุงมือขาว แต่งตัวอย่างกับจะไปออกงานเลี้ยงชนชั้นสูง
“ตอนบ่ายมีงานเต้นรำ คุณจะไปไหม ฉันยังมีโควต้าเหลือนะ ในงานมีสาวๆ เยอะแยะเลยน่า ผู้หญิงไม่น้อยชอบแบบคุณลุงเป็นผู้ใหญ่และหนักแน่นเหมือนกันนะ”
ลู่เซิ่งที่กำลังเดินลงบันได มองแอนดี้ด้วยสีหน้าเมินเฉย
“คดีนายเรียบร้อยแล้วเหรอไง”
“เอ่อ…ใกล้แล้วล่ะๆ…” รอยยิ้มบนใบหน้าแอนดี้พลันแข็งทื่อ “แต่ฉันมีเบาะแสแล้ว ไอ้นั่นไม่ได้มาหาฉันจริงๆ พวกเราเข้าใจผิด พูดให้ถูกต้องก็คือ มันใช้ความเป็นศัตรูกับครอบครัวของฉันมากวนน้ำให้ขุ่นเสียก่อน ส่วนตัวเองก็แอบอำพรางเข้ามาก่อเรื่องด้วยการนี้ แต่ไม่ต้องห่วง พวกเราจัดการได้แน่ เอาล่ะๆ ไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว จะไปงานเต้นรำไหม”
“ไม่ว่าง ยังเขียนบทความของศาสตาจารย์วาเลียนไม่เสร็จเลย นายไปก่อนเถอะ” ลู่เซิ่งกล่าวพลางส่ายหน้า
แอนดี้มีนิสัยไม่เลวจริงๆ ร่าเริงมีน้ำใจ ไม่เมินลู่เซิ่งเพราะความเย็นชาของเขา นี่ทำให้อีกฝ่ายมีเพื่อนเยอะแยะไปหมด
“เฮ้ แอนดี้!” นักศึกษาสาวสวยที่ไว้ผมยาวประบ่าหลายคนกำลังโบกมือให้แอนดี้ จากล่างบันไดที่อยู่ไม่ไกลออกไป
“ไปได้แล้ว วันนี้แต่งตัวไม่เลวเลยนะ” พวกผู้หญิงส่งเสียงเรียก
“พวกเธอก็สวยเหมือนกัน คุณหนูมาเรียนนาที่รัก” แอนดี้ตบไหล่ลู่เซิ่ง ก่อนจะเดินจากไป
ลู่เซิ่งมองดูแอนดี้ผู้กำลังยิ้มแฉ่งขณะถูกสาวๆ ห้อมล้อม ไอ้หนูนี่เรียนพอได้ ผลสอบและการทดลองอยู่ในระดับกลางค่อนไปทางต่ำ วันๆ เอาแต่ยุ่งนู่นนี่ไม่หยุด ถ้าไม่ร่วมมือสืบคดี ก็เข้าร่วมงานเต้นรำงานเลี้ยงไปเรื่อย
เขาส่ายหน้า คนเรามีความตั้งใจไม่เหมือนกัน เหมือนกับเป้าหมายในการมาที่นี่ของเขาคือการเรียนนั่นเอง
เขาชอบชีวิตแสนสงบในตอนนี้มาก นี่ทำให้เขาย้อนนึกถึงสมัยที่ยังเป็นเพียงแค่คนธรรมดา
ลู่เซิ่งหอบหนังสือเดินไปยังหอพัก เขาต้องกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า และไปจัดการบทความที่ศาสตราจารย์มอบหมายให้ที่ห้องทดลอง
นี่เป็นการบ้านที่นักศึกษาทุกคนต้องทำ เพียงเพราะเขามัวแต่ใช้พลังสมาธิไปกับการเรียนประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูง จึงทำไม่ทัน
เขาเดินลัดเลาะไปตามร่มไม้ เห็นริมถนนมีนักศึกษากำลังท่องหนังสืออยู่ไม่น้อย
คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาใหม่ นอกจากวิชาภาษาอังกฤษตามมาตรฐานแล้ว มหาวิทยาลัยมิสกายังเปิดสอนภาษาพิเศษที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนอีกสามวิชา
เงื่อนไขเรียนจบที่กำหนดไว้คือ อย่างน้อยจะต้องสอบภาษาพิเศษภาษาใดภาษาหนึ่งผ่านขั้นสามอันเป็นขั้นพื้นฐานให้ได้
แน่นอนว่าเรื่องแค่นี้ไม่ยากสำหรับลู่เซิ่ง
หลายวันมานี้เขาไม่เพียงจดจำเนื้อหาประมวลกฎเกณฑ์ที่ห้องสมุดเท่านั้น ยังได้ทำสารบัญตารางขึ้นอีกชุดหนึ่ง และใส่ส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษาพิเศษทั้งหมดเข้าไปสี่สิบหกสาขา บรรจุภาษาพื้นฐานที่หาเจอได้ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยมิสกาไว้แทบทั้งหมด
แกร๊ก
ลู่เซิ่งบิดลูกบิดประตูหอพัก แล้วเดินขึ้นบันไดไปด้านบน
หอพักวันนี้เหมือนจะเงียบสงบเป็นพิเศษ แม้จะมีนักศึกษาไม่น้อยที่น่าจะเรียนอยู่ในตอนนี้ แต่นักศึกษาที่ปกติจะอยู่ในหอพักเองก็มีหลายคน ไม่น่าจะเงียบเชียบอย่างตอนนี้
ลู่เซิ่งเดินขึ้นบันไดพลางทบทวนสารบัญตารางที่ตนจัดไว้ ไม่นานก็ขึ้นไปถึงชั้นสอง
โผละ
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองชนใส่ฟองเย็นชุ่มและอ่อนบางก้อนหนึ่ง
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้นมา
ในทางระเบียงชั้นสองปรากฏภาพค่อนข้างแปลกประหลาด
เป็นคุณหนูสาวสวยเออร์นีในสภาพเครื่องแบบนักเรียนยับยู่ยี่ หน้าอกตระหง่านกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงก่อนจะล้มลงนอนขดตัวไปกับพื้น
อีกด้านหนึ่ง ชายสวมเสื้อดำที่เจอก่อนหน้านี้ถึงกับโผล่มาอยู่ที่นี่ด้วย
ลู่เซิ่งมองเออร์นีที่สลบไสลอยู่ด้านข้าง ก่อนจะมองชายชุดดำที่กำลังก้มตัวลงเอื้อมมือไปจับหญิงสาว
“บอกฉันได้ไหมว่านี่เป็นความเข้าใจผิดน่ะ” เขาถามอย่างเรียบเฉยเล็กน้อย
รูนหรือชายชุดดำยืดตัวขึ้น และยิ้มอย่างเป็นมิตร
“เป็นเด็กน้อยที่ถูกจับพลัดจับผลูเข้ามาในวงการหรือนี่ ดูเหมือนจะเป็นการพบเจอกันครั้งที่สามของพวกเราใช่ไหม ดูเหมือนนายจะโชคดีเสียจริงนะ…”
แปะ แปะ
เขาปรบมือ
กรรซ์…
สุนัขตัวโตสีดำกึ่งโปร่งแสงหลายตัวพากันพุ่งออกมาจากผนังระเบียงสองฟากส่งเสียงคำราม
ร่างกายของพวกมันเหมือนประกอบขึ้นมาจากหมอกสีดำที่ไหลเวียนนับไม่ถ้วน ทุกย่างก้าวจะทิ้งรอยเท้าไหม้เกรียมอันร้อนระอุเอาไว้บนผืนพรม
ลู่เซิ่งกวาดตามองหมาล่าเนื้อสีดำหลายตัวที่มุดออกมาจากกำแพงรอบตัว ก็พลันปวดหัวขึ้นมา นี่คืออสูรเงา สัตว์ร้ายที่แอนดี้เคยเล่าให้ฟังมาก่อน คุณลักษณะโดดเด่นสะดุดตามาก ดังนั้นเขาเลยจำได้ทันที
เขาคิดจะหลีกเลี่ยงปัญหาทั้งหมดแล้วแท้ๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีปัญหามาขวางถึงหน้าห้องตัวเอง
“ถ้าฉันบอกว่านี่เป็นแค่การพบกันโดยบังเอิญ นายจะเชื่อไหม ฉันไม่ได้มาช่วยใคร แค่ผ่านทางมาเฉยๆ” มุมปากของลู่เซิ่งเผยความจนปัญญา
รูนพลันยิ้มล้ำลึกยิ่งกว่าเดิม
“นายคิดว่าฉันจะเชื่อไหมล่ะ คิดจะช่วยคนก็จัดการปัญหาตรงหน้าก่อนเถอะ”
เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง อสูรเงาสี่ตัวพุ่งออกมาจากกำแพง และร้องคำรามใส่ลู่เซิ่ง
รูนใช้มือหนึ่งอุ้มเออร์นีที่อยู่บนพื้นขึ้นมา มองลู่เซิ่งเป็นครั้งสุดท้าย แล้วหันหลังเดินไปสุดทางระเบียง
“จัดการมันซะ” เขาสั่ง
อสูรเงาสี่ตัวเดินขึ้นหน้ามา สันหลังหมอบต่ำอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งส่งเสียงขู่
ฟ้าว!
อสูรเงาสี่ตัวพุ่งใส่ลู่เซิ่งแทบจะพร้อมกัน พวกมันเร็วถึงขีดสุด ขีดเป็นเส้นสีดำสี่สายกลางอากาศ
ทันใดนั้น สองตาลู่เซิ่งเปล่งแสงสีฟ้า เขาพลันยื่นแขนขวาออกมาด้านหน้า
“ถึงได้บอกไงว่าบังเอิญ…”
ซู่!
ดาบอากาศสีขาวสี่สายพลันถูกยิงออกจากรอบแขนเขา
ดาบอากาศยาวครึ่งเมตรกว่าแทงทะลุร่างอสูรเงาสี่ตัวที่อยู่กลางอากาศอย่างแม่นยำ
รูนที่เพิ่งเดินออกไปไม่กี่ก้าวชะงักร่าง พลันยืนนิ่งกับที่
เขาค่อยๆ เบือนหน้าหันมามองลู่เซิ่งที่อยู่ไม่ไกล สีหน้าเหยเกอย่างยิ่ง สถานการณ์อยู่เหนือความคาดหมายของเขา แต่ไม่เป็นไร…เขายังมีไพ่ตายที่สำคัญที่สุดอยู่
“แกเป็นใครกันแน่?!” เขาดีดมีดสีเงินออกมาจากฝ่ามือ แล้วจ่อกับคอของเออร์นี
“ดูเหมือนแกมีพลังไม่เลวนี่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ แกคิดว่าตัวแกเร็ว หรือมีดของฉันเร็วกว่าล่ะ”
ลู่เซิ่งชักมือกลับ ปล่อยให้อสูรเงาสี่ตัวร่วงตกพื้น กลายเป็นไอฝุ่นสีดำสลายไป
“ก็บอกแล้วไงเล่า…” ของเหลวสีเงินจำนวนมากทะลักออกมาจากแขนขวา ปกคลุมแขนกลายเป็นเกราะอ่อนหยาบใหญ่
“บอกไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่า…ฉัน…ไม่ได้มาช่วยใครโว้ย!”
ตูม!
ลู่เซิ่งบิดตัวเหวี่ยงขาขวาออกไปดุจแส้ฟาด
กระแสอากาศสีขาวน่ากลัวห่อหุ้มรอบขา เพิ่มอานุภาพของการโจมตีครั้งนี้ขึ้นเป็นหลายสิบเท่า!
ขากระแสอากาศสีขาวก่อร่างรูปทรงตะบองใหญ่ถึงสามเมตรกว่าและยาวสิบเมตรกว่ากวาดผ่านระเบียง
ตูม!
ผืนพรมบนพื้นฉีกขาดปลิวว่อน เครื่องประดับและรูปปั้นทั้งหมดบนผนังพากันระเบิดกระจุยกระจายออก อากาศในระเบียงถูกสูบมารวมกันและกระแทกเข้าใส่รูนหรือชายชุดดำ
สภาพแวดล้อมรอบข้างเหมือนกลายเป็นสภาวะสุญญากาศ รูนเบิกตาดูเงาขาขนาดยักษ์กดทับใส่ตน ทัศนียภาพโดยรอบมีแต่เงาขาจากกระแสอากาศสีขาวเท่านั้น
“ฉัน…!” เขาอ้าปากไม่ทันได้พูดอะไร แสงสีดำจำนวนมากบนตัวก็รวมตัวเป็นโล่สีดำประณีตสองชิ้นหมุนวนอยู่ด้านหน้าเขา
เพิ่งจะจับตัวเป็นโล่สองแผ่น ตะบองอากาศสีขาวก็กระแทกลงมาอย่างรุนแรง
ตูม!
รูนรู้สึกได้แค่ว่ามีเสียงหวีดหวิวของลมพายุนับไม่ถ้วนเพัดผ่านใบหน้าของตนไป ความเจ็บปวดปานถูกฉีกทึ้งส่งมาจากกล้ามเนื้อส่วนใบหน้าและหูทั้งสองข้าง
แสงของโล่สีดำที่ห่อหุ้มตัวเขาไว้ทำให้ส่วนศีรษะของเขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาไม่กล้าจินตนาการเลยว่าหากโดนการโจมตีนี้เข้าอย่างจังจะเกิดผลเช่นไร
“ชีวิต ความมืด สติปัญญา ลมหายใจมังกร อวกาศ สายน้ำสีเหลือง จิตแห่งผืนดิน ร่องรอยแห่งความหวาดผวา…!” รูนท่องคาถาด้วยความเร็วสูง เหงื่อกาฬไหลออกมาจากแผ่นหลังของเขาทำให้เสื้อนอกสีดำชุ่มไปทั้งตัว
ในที่สุด ชั่วพริบตาเดียว แต่เนิ่นนานเหมือนหลายนาที เวลาเหมือนถูกยืดให้ยาวนานขึ้น
ขาขวาของลู่เซิ่งฟาดใส่โล่ที่จับตัวจากแสงสีดำอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
คลื่นเสียงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่กลายเป็นรูปทรงพัด พุ่งผ่านร่างรูนไป
ตูม!
โล่หยุดชะงักลงเสี้ยววินาทีหนึ่ง จากนั้นก็แตกออกอย่างรุนแรง โล่ทั้งสองชั้นถูกเจาะโดยไม่อาจทานทนได้
ตะบองอากาศหยาบใหญ่กวาดผ่านร่างรูน พัดพาเวทมนตร์ที่กำลังรวมตัวของเขาให้กระจายออกไป จากนั้นก็เหวี่ยงฟาดใส่แขนซ้ายของเขา
เกิดเสียงดังกึกก้อง รูนกระเด็นออกไปพร้อมกับเออร์นี แล้วกระแทกเข้ากับผนังระเบียงทางซ้ายมือ แทบจะฝังตัวเข้าไปในกำแพง
กระดูกและเลือดเนื้อทั่วร่างของเขาถูกพลังขาและพลังกระแสอากาศที่ยิ่งใหญ่ฉีกกระชากออกเป็นผุยผง เหลือแค่หนังที่ห่อหุ้มร่างไว้เท่านั้น
บนตัวเออร์นีเปล่งแสงสีฟ้าอันประหลาดออกมาแวบหนึ่ง การโจมตีที่รุนแรงเมื่อครู่ไม่สามารถสร้างความเสียหายใดต่อตัวเธอได้เลย
เธอเพียงกระแทกเข้ากับร่างรูน แล้วกลิ้งตกลงพื้นเท่านั้น ยังคงอยู่ในสภาพสลบไสล
ฝุ่นหายตลบแล้ว ลู่เซิ่งมองเออร์นีที่อยู่บนพื้น และรูนที่กำลังกลายเป็นฝุ่นผงสีดำบนผนัง
“แค่กๆ…” รูนลืมตา ดวงตาที่กำลังกลายเป็นสีดำจ้องมองลู่เซิ่งอย่างอาฆาตแค้น
“องค์เทพกำลังจุติ จงรอคอยให้ดีเถอะ…แค้นของวันนี้…จะมีคนชำระแค้นแทนฉัน…คอยดูให้ดีเถอะ…”
ลู่เซิ่งส่ายหน้า ใช้สายตาเวทนาจ้องมองเขา
“แกรู้ไหมว่าเมื่อครู่นี้ฉันแค่คิดจะขยับข้อต่อขาขวาเท่านั้นเอง…”
เขาไม่ได้พูดโกหก เมื่อครู่นี้เขาเพียงแค่เคลื่อนไหวขาขวาเท่านั้น เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเป็นเพราะยังควบคุมกระแสอากาศไม่ค่อยคล่อง จึงออกแรงมากไปหน่อย จนเกิดบทสรุปเช่นนี้
รูนเบิกตาโต จ้องมองลู่เซิ่งเขม็ง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอยู่ชั่วขณะ
“ฉัน…แก…ฉัน…!”
จนกระทั่งกลายเป็นฝุ่นผงไป เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบโต้ประโยคนี้ของลู่เซิงอย่างไร ตกตายไปทั้งที่ยังมีเรื่องคาใจอยู่
……………………………………….