ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 835 เลื่อนระดับ (1)
กร๊อบ…
ลู่เซิ่งขยับข้อต่อ
“ก็บอกไปแล้วว่า…ฉันไม่ได้จะลงมือตั้งแต่แรกแล้วไง…” เขากระอักอ่วนเล็กน้อย เดิมทีคิดจะใช้มือจัดการอีกฝ่าย แต่เผลอยกเท้าแรงเกินไป
กระแสอากาศที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงจึงผลักเท้าของเขาถีบใส่อีกฝ่าย
จากนั้น…
ไม่มีจากนั้นแล้ว
ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
‘นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…’ ลู่เซิ่งเข้าใจคำพูดเมื่อครู่ของชายชุดดำดี นั่นหมายความว่าเขาไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนเข้าอีกแล้ว หลังจากฆ่าคนผู้นี้ ต่อจากนี้จะมีคนประเภทเดียวกันมาหาเขาอีกมากมาย
เขาคิดแค่เพียงจะตั้งใจเรียนและพยายามยกระดับตัวเองเท่านั้น ทำไมจะทำแค่เรื่องเล็กๆ แบบนี้ก็ยังทำไม่ได้กันนะ
ลู่เซิ่งมองเออร์นีที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นอย่างเอือมระอา เวลานี้คุณหนูที่ตอนแรกหยิ่งทะนงนอนกองอยู่บนพื้น คิ้วขมวดเล็กน้อย เหมือนเจ็บปวดอยู่มาก
“เมื่อกี้เกือบฆ่าเธอไป ดีที่เธอไม่ตาย ขอโทษทีนะ” เขาดูเวลาจากนาฬิกาพกในอกเสื้อ “ยังไงก็ถือว่าฉันช่วยเธอไว้ เอาเป็นว่าเจ๊ากันแล้วนะ”
เขาส่ายหน้า แล้วเดินผ่านเออร์นี กลับห้องของตัวเองไป
เพิ่งเข้าห้อง เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามากมายดังมาจากด้านนอก
แสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากลูกเตะของเขาเมื่อครู่รุนแรงเกินไป จึงชักนำให้คนอื่นในมหาวิทยาลัยยกโขยงกันมา
“ทำไมเธอมานอนอยู่นี่ล่ะ! พระเจ้า เออร์นี! เธอไม่เป็นไรใช่ไหม” เสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา
ลู่เซิ่งถอดเสื้อนอกออก มองกางเกงที่เป็นเครื่องแบบใหม่เพิ่งสวมได้ไม่กี่วันขาดไปเรียบร้อย เหลือเศษผ้าไม่กี่ชิ้นที่ติดอยู่ตรงเป้าเท่านั้น
‘เราไปทำกรรมอะไรไว้กันนะ ต้องเสียเงินซื้อเครื่องแบบใหม่อีกเนี่ย’ เขาเปลี่ยนกางเกงอย่างจนใจ
เพิ่งจะใส่กางเกงเสร็จก็มีคนมาเคาะประตูห้องเขา
ก๊อกๆๆ
เสียงเคาะประตูดูรีบร้อนและรุนแรง
“ใคร”
“ฉันเม็นเดิลส์โซน เปิดประตูหน่อยสิแจ๊ค มีเรื่องที่ต้องขอให้คุณร่วมมือตรวจสอบ” เสียงของหัวหน้าหอพักดังขึ้นด้านนอก
ลู่เซิ่งรู้ดีว่าหลบเลี่ยงไม่ได้แล้ว
เขาเดินไปเปิดประตู
“เมื่อครู่นี้คุณได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวแปลกๆ อะไรไหม” ด้านหลังเม็นเดิลส์โซนมีชายหนุ่มหนึ่งสูงหนึ่งต่ำสองคนยืนอยู่ ทั้งสามยืนด้วยกันด้วยท่าทางเคร่งขรึม มีแรงกดดันที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง
“ได้ยินครับ เหมือนจะมีบางอย่างระเบิดใช่ไหมครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ผมซ่อนอยู่ในห้องไม่กล้าออกไป เมื่อครู่ตึกทั้งตึกสั่นไปหมด ผมนึกว่าแผ่นดินไหวเสียอีก”
“ช่วยเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างละเอียดได้รึเปล่า” คนหนึ่งด้านหลังเม็นเดิลส์โซนถามเสียงเคร่งขรึม
“ได้ครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า แล้วเริ่มบรรยายเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างสมจริงสมจังว่า เขากำลังหลับพักผ่อนอยู่ อยู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่น ทั้งตึกเริ่มสั่นสะเทือน ด้านนอกประตูเหมือนมีบางอย่างระเบิด จากนั้นก็มีเสียงครืนครันเหมือนฟ้าผ่าดังขึ้นมา
หลังจากอธิบายพร้อมวาดไม้วาดมือไปมา พวกเม็นเดิลส์โซนก็จดบันทึกอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวจากไป
ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูดังมาอีก แสดงให้เห็นว่าพวกเขาจะไล่ถามไปทีละห้อง
ลู่เซิ่งไม่กังวลว่าพวกเขาจะค้นพบช่องโหว่ ตอนนี้หากประสานอวัยวะสัมผัสรูปแบบที่สองเข้ากับวิชาเลือดลม และทักษะเก็บกลิ่นอายที่มีอยู่แล้วของตน เขาสามารถเก็บคลื่นพลังงานทั้งหมดในร่างตัวเองได้อย่างหมดจรด
คนสามคนรวมถึงเม็นเดิลส์โซนเมื่อครู่ อย่างน้อยมีสองคนอยู่ในระดับรูปแบบที่สอง แต่ไม่พบสภาวะตอนนี้ของเขา
หลังจากรับมือกับทั้งสามคนเรียบร้อยแล้ว ลู่เซิ่งก็ดูเวลา ยังพออ่านหนังสือได้ จึงกลับมานั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือ แล้วเริ่มศึกษาประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงที่เพิ่งคัดลอกเสร็จมาหมาดๆ
…
ห้องพยาบาล
เออร์นีฟื้นได้สติแล้ว
เธอเห็นผ้าห่มสีขาวโพลน เพดานสีดำลวดลายก้นหอย ตนเองกำลังนอนอยู่บนเตียงคนป่วยในห้องพยาบาลที่ไม่ได้นอนมาเนิ่นนาน
ชายหนุ่มหล่อเหลาร่างสูงใหญ่คนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง
เธอจำเขาได้ เขาชื่อคาฟิส เป็นหนึ่งในนักศึกษาใหม่ที่เธอติดต่อเมื่อไม่นานมานี้ และเป็นคนที่มีศักยภาพคนหนึ่ง
“เธอ…ฟื้นแล้วเหรอ” คาฟิสสังเกตเห็นเออร์นีลืมตา พลันแสดงความตื่นเต้นดีใจ “ในที่สุดเธอก็ฟื้นแล้วเออร์นี”
“ฉัน…เป็นอะไรไป” เออร์นีดวงตาไร้ประกาย รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายถูกคลื่นการโจมตีอันยิ่งใหญ่กระแทกเข้ากับผนัง บนตัวไม่มีกล้ามเนื้อและกระดูกส่วนไหนที่ไม่เจ็บปวดเลยสักนิด
เธอรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะแหลกสลายแล้ว
“เธอนอนหมดสติอยู่บนระเบียงคนเดียว สภาพรอบข้างเละตุ้มเป๊ะไปหมด ตอนที่เห็นเธอสลบอยู่ ฉันก็แทบเป็นบ้าไปแล้ว สถานที่นั้น พลังทำลายล้างแบบนั้น ฉันไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าเธอจะยังมีชีวิตอยู่” น้ำเสียงของคาฟิสแสดงความเป็นห่วงและความตื่นตระหนกอย่างรุนแรง
“ขอบคุณที่ช่วยฉันนะคาฟิส” เออร์นีมองชายหนุ่มที่เพิ่งได้ทำความรู้จักกันก่อนหน้านี้ไม่นาน ใบหน้างามปรากฏรอยยิ้มบริสุทธิ์อย่างควบคุมไม่ได้
สีหน้าของเธอซีดขาวเพราะได้รับบาดเจ็บ ผิวกลายเป็นกึ่งโปร่งแสงและเปล่งแสงอ่อนๆ ชวนให้คนรู้สึกถึงความอ่อนแอบอบบาง
เออร์นีที่ทำตัวเป็นคุณหนูมาโดยตลอดก็มีเวลาเปราะบางแบบนี้เช่นกัน ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง
คาฟิสไม่ทันได้พูดอะไรออกมา ก็ต้องตกตะลึงเพราะรอยยิ้มของเออร์นี
“ไม่…ไม่เป็นไรหรอก ฉันแค่บังเอิญไปเจอเฉยๆ…”
“ถ้าไม่ใช่เพราะนาย บางทีตอนนี้ฉันน่าจะตายไปแล้ว ขอบใจจริงๆ นะ” เออร์นีย้ำอีกรอบอย่างจริงจัง
“คนนั้นไม่มีทางเลิกราแน่ ถ้าไม่ใช่เพราะนาย ฉันน่าจะ…” นัยน์ตาของเธอฉายแววหวาดกลัว
คาฟิสพลันตกตะลึง ตอนที่เขาไปถึงนั้นไม่พบคนอื่นเลย เขาอยากที่จะแก้ไขความเข้าใจผิด แต่พอเห็นใบหน้าชวนกระชากวิญญาณและล่องลอยในความฝัน รวมถึงความรู้สึกขอบคุณอันบริสุทธิ์ที่มาจากใจของเออร์นี คำพูดที่มาถึงปากของเขาก็หดกลับไปอีกรอบ
‘ถึงยังไงคนที่ช่วยก็เห็นๆ อยู่ว่าไม่สนใจ ต่อจากนี้ไม่รู้จะเจออีกไหม ดังนั้น…รับไว้ก่อนก็แล้วกัน…’แม้สีหน้าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในใจกลับยอมรับความเข้าใจผิดของเออร์นี
“ความจริงฉันไม่ได้ทำอะไรเลย…”
“ฉันรู้แล้ว…ครั้งนี้ถือว่าฉันติดค้างนายนะ” เออร์นีหลับตาลงอย่างอิดโรย “ตระกูลของฉันไม่มีทางปล่อยให้คนที่มีพระคุณต่อพวกเราผิดหวัง”
“คุณหนูใหญ่!” เวลานี้มีหญิงสาวที่ตัดผมสั้นเท่าติ่งหูคนหนึ่งผลุนผลันเข้ามา
“คุณหนูใหญ่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ!? เมื่อครู่นี้ฉันไปจ่ายค่ารักษามา คุณหนูกระดูกหักเกือบสิบกว่าที่! พระเจ้าช่วย อย่างกับถูกช้างกระทืบอย่างไรอย่างนั้น! คุณหมอบอกว่า ถ้าไม่ใช่ของวิเศษประจำตระกูลช่วยยืดเวลาอาการบาดเจ็บให้สำแดงผลช้าลง…เกรงว่าคุณหนูจะ”
“พอแล้วอันซา ฉันรู้แล้ว” เออร์นียกมือตัดบทอีกฝ่าย “คุณคาฟิสช่วยฉันเอาไว้ เพื่อตอบแทน จงแบ่งทรัพยากรที่ตระกูลเก็บไว้ในโรงเรียนให้คุณคาฟิซครึ่งหนึ่ง”
“ครึ่งหนึ่งหรือคะ!?” อันซาพลันอ้าปากเล็ก “แต่ว่าพวกเรามีทรัพยากรไม่พออยู่แล้วนะคะคุณหนู…ถ้าแบ่งออกไปอีกครึ่ง แม้แต่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคุณหนูก็คง…”
“ทำตามที่ฉันบอกซะ” เออร์นีเอ่ยอย่างแน่วแน่
อันซาลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะมองคาฟิซอย่างไม่ยอมรับ
“ก็…ก็ได้ค่ะ…”
คาฟิสที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่ได้มีชาติกำเนิดสูงส่งอะไร รายได้ของครอบครัวแค่จ่ายให้เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็ชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว
พอได้ยินสิ่งนี้เข้า เขาก็นั่งอึ้งอยู่กับที่เหมือนกับมีขนมตกใส่ศีรษะจากท้องฟ้า
เขาเคยทำความเข้าใจและสอบถามถึงตระกูลที่อยู่เบื้องหลังเออร์นีมาก่อน แม้จะไม่ได้มั่งคั่งเท่ากุหลาบม่วง แต่ก็ถือเป็นตัวเลขมหาศาลที่หายากถึงขีดสุดสำหรับครอบครัวธรรมดาอยู่ดี
“ฉัน…ฉัน…ไม่สมควรจะได้รับนะ…!?” เขายกมือขึ้นเพราะตกใจจากโชคที่คาดไม่ถึง กลับไม่รู้ว่าคสวรจะแสดงออกอย่างไรดี ได้แต่โบกไม้โบกมือเป็นพัลวันเท่านั้น
“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก นี่เป็นผลตอบแทนที่นายช่วยฉัน ตระกูลซีเฟอร์ลุสจะไม่ปฏิบัติกับคนที่เคยช่วยพวกเราอย่างไม่ยุติธรรม” เออร์นีตอบอย่างจริงจังและเคร่งขรึม
บุคลิกสูงส่งที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของเธอ ทำให้คาฟิสพูดต่อไม่ออก
เขาจ้องมองเออร์นีอย่างหลงใหลเล็กน้อย จากนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองโจ่งแจ้งและไม่มีปี่มีขลุ่ยเกินไป จึงรีบก้มหน้าลง
“กะ…ก็ได้…เข้าใจแล้ว”
เออร์นีไม่ได้ส่งทรัพยากรและทรัพย์สินมากมายขนาดนี้ให้อีกฝ่ายอย่างไม่มีสาเหตุ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอีกฝ่ายช่วยเธอไว้จริงๆ
อีกสาเหตุหนึ่ง คาฟิสสามารถช่วยเหลือตัวเธอจากชายชุดดำที่ต้องการฆ่าเธอคนนั้นได้ ศักยภาพและพลังที่ซ่อนเร้นในตัวเขาจะต้องไม่เรียบง่ายเหมือนเปลือกนอกอย่างแน่นอน
เธอไม่เชื่อว่าคนนั้นจะใจดี ทิ้งตัวเองไว้บนพื้นเพื่อให้คาฟิสมาช่วยอย่างไม่มีสาเหตุ
คนนั้น…ตายไปแล้ว…
เธอสัมผัสได้ว่าพลังกูลาร์ของคนนั้นได้หายไปจากสมบัติลับของตระกูลแล้ว
ชายที่เธอเรียกว่าอาคนนั้นได้ตายไปแล้ว
เธอไม่รู้ว่าเขาตายอย่างไร แต่ในฐานะคนที่ปรากฏตัวเป็นคนแรกและช่วยเธอไว้ในเวลานั้น คาฟิสจะต้องมีไพ่ตายที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดแน่นอน
อย่างไรอาจารย์ธรรมดาบางส่วนในมหาวิทยาลัยก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือของชายคนนั้นได้
“มาเถอะ เออร์นี กินลูกแพร์สักหน่อย” คาฟิสที่อยู่ด้านข้างหยุดความคิดของเธอ โดยส่งลูกแพร์ที่ปอกเปลือกไว้แล้วมาให้
“ขอบใจ” เออร์นีที่รู้จักผูกสัมพันธ์กับคนอื่นๆ มาตั้งแต่เด็ก จะมองความคิดของคาฟิสที่มีต่อเธอไม่ออกได้อย่างไร สายตาที่คอยกวาดผ่านทรวงอกและต้นขาของเธอคู่นั้นชัดเจนเกินไปแล้ว
แต่ถ้ายืนยันคุณค่าและศักยภาพของอีกฝ่ายได้จริงๆ เธอก็ยินดีใช้ร่างกายของตัวเองเป็นค่าตอบแทนให้แก่อีกฝ่าย
ขอแค่สร้างความเจิดจรัสของตระกูลขึ้นมาได้อีกครั้ง เธอก็คิดว่าค่าใช้จ่ายแบบนี้คู่ควรแล้ว
…
ณ ห้องสมุด
ลู่เซิ่งวางประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงชุดที่สิบเอ็ดกลับที่เดิม ยิ่งอ่านมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเข้าใจประมวลกฎเกณฑ์มากเท่านั้น
ประมวลกฎเกณฑ์พวกนี้ส่วนใหญ่คล้ายกัน วิธีการฝึกฝนต่างกันไม่มาก ยังมีเงื่อนไขภายนอกที่จำเป็นอีกมากมาย
เขาไม่สามารถหาสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมมากมายได้ บางทีในมหาวิทยาลัยอาจจะมี แต่เขาไม่คิดที่จะเผยความก้าวหน้าของตนเร็วขนาดนี้
หลังจากยกระดับครั้งก่อน ตอนนี้ร่างกายฟื้นฟูขึ้นแล้ว สามารถใช้ดีปบลูได้อีกครั้ง
‘ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย ครั้งนี้จะสามารถเรียนประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงมากกว่าครึ่งสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์ ต่อจากนี้ก็คือประมวลกฎเกณฑ์เซียร์ซาลิส ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงที่เจอก่อนหน้านี้ แม้ว่าประมวลกฎเกณฑ์ชุดนี้จะอยู่ในระดับเดียวกับประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหล แต่ว่า…ประสิทธิผลของการฝึกและระดับการพัฒนาจะต่ำกว่า’
ลู่เซิ่งไล่สายตาไปตามชั้นหนังสือรอบข้างประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงที่หามาได้ เขาได้อ่านหมดแล้ว ความแตกต่างกันที่เจอมีอยู่น้อยมาก จะอ่านหรือไม่ก็ไม่มีข้อแตกต่าง
‘เราค้นห้องประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงของห้องสมุดไปหมดแล้ว มีแต่ของพวกนี้เท่านั้น ดูเหมือนจะหาเพิ่มไม่ได้ซะแล้ว น่าเสียดาย’
เขาเดินออกจากห้องอ่านหนังสือโล่งว่างไม่มีใคร นี่เป็นห้องอ่านหนังสือขั้นสูงห้องที่เจ็ดที่เขามาค้นหนังสือ ประมวลกฎเกณฑ์ที่อยู่ด้านใน และเขาได้ตรวจสอบหมดแล้ว ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงประเภทนี้ชุดหนึ่งจะมีอย่างน้อยสิบกว่าเล่ม อย่างมากสามสิบกว่าถึงสี่สิบกว่าเล่ม บวกกับฉบับตีพิมพ์แตกต่างกัน ชุดหนึ่งจึงยึดครองชั้นหนังสือมากกว่าครึ่งได้
ดังนั้นถึงแม้ว่าจะดูมีหนังสือมากมาย แต่ความจริงแล้วก็มีเพียงหนังสือเรียนสิบกว่าชุดเท่านั้น
……………………………………….