ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 836 เลื่อนระดับ (2)
ลู่เซิ่งเดินออกจากห้องอ่านหนังสือ ยืนอยู่ในระเบียงโล่งโจ้ง กลับไปตามทางเดิม แต่ในขณะที่เดินถึงบันไดและกำลังจะลงไปนั้น
เขาพลันกวาดสายตาเห็นแผ่นสำริดของห้องอ่านหนังสือแผ่นหนึ่ง
‘ห้องเก็บข้อมูลต่างประเทศ’
“เฮ้ แจ๊ค”
ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย หันไปมองระเบียงอีกด้าน โทเลย์ครูฝึกทหาร หรืออาจารย์คาบเรียนรวมของนักศึกษาใหม่ ถือหนังสือปกหนังสีน้ำตาลเล่มหนึ่ง เดินมาพร้อมกับสุภาพสตรีกระโปรงแดงอีกคน
“เพิ่งจะเข้าเรียนได้เดือนเดียว ฉันได้ยินนักศึกษากับอาจารย์หลายคนพูดถึงคุณไม่หยุดเลย ฉายานั้นมาจากไหนกัน ปีศาจคลั่งแห่งห้องสมุดงั้นเหรอ” โทเลย์ยิ้มพลางกล่าวสัพยอก ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์คนไหนก็ยินดีที่จะแสดงความสนิทและรอยยิ้มของตัวเองแก่นักศึกษาอันดับต้นๆ ที่ตนเองสอนอยู่ทั้งนั้น
“สวัสดีครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้าทักทาย
“คุณกำลังจะกลับเหรอ” โทเลย์ถาม
เธอใส่เสื้อครอปเชิ้ตสีดำแนบเนื้อ ขาเรียวยาวสมส่วนสวมกางเกงหนังดำเงา เอวด้านหลังเหมือนจะเสียบซองปืนสั้นไว้
“ครับ ไม่เจอข้อมูลที่อยากได้ มีเนื้อหาซ้ำซ้อนกันเยอะเกินไปน่ะครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“หือ? ไม่เจองั้นเหรอ” โทเลย์เลิกคิ้ว “ถ้าไม่เจอจริงๆ คุณก็ไปเขตวรรณกรรมภาษาอื่นดูสิ หรือไม่ก็…มาอีกทีตอนกลางคืน…” มุมปากเธอเผยรอยยิ้มอันตราย
“อย่าไปเป่าหูนักศึกษาสิโทเลย์” สุภาพสตรีกระโปรงแดงที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วมุ่นและตัดบทเธอ “ห้องสมุดตอนกลางคืนไม่ใช่สถานที่ที่นักศึกษาปีหนึ่งควรแตะต้อง”
“ก็ได้ๆ” โทเลย์ยกมือยอมแพ้
“ควรกลับได้แล้ว” หญิงสาวกระโปรงแดงเอ่ยอย่างราบเรียบ สายตาจ้องจับบนร่างลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้า “เด็กน้อย ขอบอกเธอตามตรงนะ มีน้อยคนที่รู้ว่ามหาวิทยาลัยแห่งนี้มีห้องสมุดทั้งหมดสามแห่ง ทิวา ราตรี และห้วงฝัน ถ้าหาสิ่งที่ตัวเองต้องการไม่เจอในตอนกลางวัน คุณลองกลับไปหลับสักงีบดูสิ แต่ไม่ว่าอย่างไร ทางที่ดีอย่าไปห้องสมุดตอนกลางคืนบ่อยๆ จะดีกว่า ที่นั่นเต็มไปด้วยเจตนาร้ายต่อนักศึกษาที่ไป เชื่อฉัน ครั้งก่อนที่เธอไม่เจอปัญหาเพราะโชคดีนั่นแหละ”
สิ้นเสียง เธอก็พาโทเลย์ลงไปด้านล่าง ไม่นานก็หายลับไป
ลู่เซิ่งหวนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ แล้วก็พลันตกใจว่า ตอนนี้ทำอย่างไรเขาก็นึกใบหน้าของหญิงสาวกระโปรงแดงคนเมื่อครู่ไม่ออก
เหมือนกับใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นพร่ามัว
‘นี่ไม่ปกติ…’ ลู่เซิ่งก้มมองพื้น รอยเท้าที่พวกโทเลย์ทิ้งไว้ยังคงอยู่ แต่กลับนึกรูปร่างหน้าตาของหญิงสาวกระโปรงแดงคนนั้นไม่ออกแม้แต่นิดเดียว
‘ลึกลับจริงๆ…มหาวิทยาลัยแห่งนี้’ ลู่เซิ่งโคลงศีรษะ ไม่พูดอะไรมากอีก
‘เมื่อครู่โทเลย์เตือนเรา ในเมื่อหาข้อมูลที่ต้องการไม่เจอจากภาษาอังกฤษกับภาษาเยอรมัน ทำไมเราไม่ลองไปคลังเก็บเอกสารข้อมูลต่างประเทศดูล่ะ’
เขามองห้องเก็บข้อมูลภาษาต่างประเทศด้านหน้า ก่อนจะสาวเท้าเข้าไป
เวลาหนึ่งชั่วโมงเหลือไม่มากแล้ว อีกไม่นานก็จะหมดลง ตอนที่ลู่เซิ่งออกจากห้องสมุด ในหัวก็มีเนื้อหาประมวลกฎเกณฑ์ภาษาฝรั่งเศสที่หาเจอชุดใหม่เพิ่มขึ้นมา
ตั้งแต่ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้น ขั้นกลาง ถึงขั้นสูง จนถึงตอนนี้ นี่เป็นประมวลกฎเกณฑ์ขั้นที่สี่ เป็นประมวลกฎเกณฑ์ระดับสูงสุด และระดับที่ลึกสุดเท่าที่คนธรรมดาจะหามาได้
ลู่เซิ่งพลิกหาในห้องเก็บเอกสารภาษาต่างประเทศรอบหนึ่ง แม้จะเจอประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสี่ที่อยู่ในระดับเดียวกับประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหล แต่ประสิทธิผลไม่ต่างจากชุดก่อนหน้ามากเท่าไร มีประโยชน์ไม่มากนัก
พอกลับไปถึงหอพัก เขาก็โยนความคิดทุกอย่างทิ้งออกไป แล้วตั้งสมาธิกับการยกระดับตัวเอง
เมื่อขับรถไปถึงยอดเขา ย่อมต้องมีหนทาง เรียนรู้ประมวลกฎเกณฑ์ในมือให้เรียบร้อยก่อนค่อยคิดถึงอย่างอื่น
เขากินอาหารเย็นกับแอนดี้ จากนั้นทางด้านชายหนุ่มหล่อเหลาก็ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเต้นรำนักศึกษาเหมือนอย่างเคย ช่วงนี้เขาจีบรุ่นพี่ปีสองที่ยั่วยวนเซ็กซี่ติดกันสองคน ใช้ชีวิตอย่างสนุกสุดเหวี่ยงทีเดียว
ทางเออร์นียังคงตั้งสมาธิกับการทำภารกิจของตระกูลตัวเอง หลายวันมานี้เหมือนจะไปไหนมาไหนกับชายที่ชื่อคาฟิส
ลู่เซิ่งเห็นทั้งสองกินข้าวและพูดคุยหยอกล้อกันในโรงอาหาร เหมือนบรรยากาศไม่เลวทีเดียว
เขาปฏิเสธคำเชิญไปงานเลี้ยงเต้นรำของแอนดี้ แล้วกลับไปทุ่มเทกับการเรียนรู้ประมวลกฎเกณฑ์อีกครั้งที่ห้อง
…
หมุดเล็กๆ จำนวนมากลอยอยู่รอบตัวลู่เซิ่ง ประกอบกันเป็นลวดลายรูปภาพรูปทรงสัตว์ชนิดต่างๆ กลางอากาศตลอดเวลา
นี่เป็นขั้นตอนการฝึกฝนสำหรับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงระดับสิบเอ็ด
ลู่เซิ่งกำลังทดลองควบคุมบังคับพลังของตัวเอง ตอนที่สู้กับชายชุดดำคนนั้นเมื่อก่อนหน้านี้ เขาค้นพบว่าตนเองควบคุมกระแสอากาศได้ไม่แม่นยำนัก ดังนั้นจึงเริ่มฝึกฝนความสามารถด้านนี้ตามวิธีการในประมวลกฎเกณฑ์
‘ดีปบลู’ เขาฝึกฝนและควบคุมหมุดพลางเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา
‘ยกระดับวิชาเลือดลมหนึ่งระดับก่อน ค่อยยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขึ้นสูงอีกหนึ่งระดับ’
เขาออกคำสั่งทันที
อินเตอร์เฟซดีปบลูพร่ามัวอย่างรวดเร็ว แล้วกรอบของวิชาเลือดลมค่อยชัดเจนขึ้น
[วิชาเลือดลม: ระดับที่สี่สิบเก้า (ยกระดับทุกด้านสี่สิบเก้าขั้น ทุกขั้นยกระดับหน่วยละ 0.1)]
เลือดลมอันมหาศาลหมุนเวียนอยู่ในร่าง ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายกำลังปลดปล่อยอุณหภูมิร้อนระอุออกมา ทุกสิ่งทุกอย่างบนตัวกำลังพองขยายและแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
ถัดจากนั้น กรอบของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงก็พร่ามัวลง สองสามวินาทีต่อมาก็กลับมาชัดเจนใหม่อีกครั้ง
[ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงสายลมแห่งการประสาน: ระดับสิบเอ็ด]
ไม่มีการแสดงผลพิเศษใดๆ สิ่งที่ลู่เซิ่งสัมผัสได้ก็คือพลังแห่งกูลาร์ที่บรรยายไม่ได้ในร่างกายหลายสายกำลังขยายตัวและแข็งแกร่งขึ้น ขณะเดียวกันอวัยวะสัมผัสที่หกบนมือขวาก็มีพลังอาวรณ์จำนวนมากทะลักเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วย
พลังอาวรณ์ที่ทะลักเข้ามาไม่มีการป้อนข้อมูลกลับไปราวกับหายไปเสียเฉยๆ
‘นี่คือกำลังสั่งสมเพื่อรอการเปลี่ยนแปลงเหรอ’ ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง
‘เอาอีก ยกระดับวิชาเลือดลมหนึ่งระดับ!’
‘ยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงหนึ่งระดับ!’
ลู่เซิ่งนั่งอยู่กลางห้อง ยกระดับสลับกันไปมาแบบนี้ทีละระดับ ในตอนที่ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงไปถึงระดับสิบเก้า ในที่สุดอวัยวะสัมผัสที่หกก็มีการเคลื่อนไหวแล้ว
ลู่เซิ่งยกมือขึ้น เห็นดอกตูมบนแขนค่อยๆ งอกกลีบดอกที่เรียวเล็กเหมือนหนามแหลมออกมาเป็นจำนวนมาก ลวดลายที่ปกคลุมผิวเพิ่มจำนวนขึ้น ดูงดงามกว่าเดิมไม่น้อย เกสรดอกไม้ตรงกลางค่อยๆ กลายเป็นรูปทรงก้อนหอย คล้ายกับใช้การพ่นโจมตีด้วยกระแสอากาศ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ลู่เซิ่งยังสัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของร่างหลักขยายตัวขึ้นอีกแล้ว
‘นี่คือรูปแบบที่สามงั้นเหรอ’
ครั้งนี้ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่า พลังแห่งกูลาร์ที่ไหลเวียนในร่างกายขยายตัวอย่างอย่างบ้าคลั่งเหมือนถูกเป่าลม ใช้เวลาแค่สิบกว่านาที ก็ขยายขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว
จิตวิญญาณของร่างหลักขยายขนาดขึ้นเช่นกัน เหมือนในที่สุดจิตวิญญาณก็เริ่มปรับตัวกับกฎพื้นฐานส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ได้แล้ว ค่อยๆ ปล่อยรยางค์เล็กออกมาส่วนหนึ่ง แล้วเริ่มสูบกินสารลึกลับที่บรรยายไม่ได้ส่วนหนึ่งจากอากาศโดยรอบ
สารชนิดนี้เหมือนจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้จิตวิญญาณเติบโตอย่างบ้าคลั่ง
สารลึกลับจำนวนมากทะลักเข้าจิตวิญญาณ จากนั้นก็ถูกย่อยสลายและดูดซับ กลายเป็นกระเรียนยักษ์พันเทวะที่เกิดจากการเปลี่ยนจิตวิญญาณของวิญญาณแห่งวัฏจักรให้กลายเป็นรูปธรรม ทั้งยังกลืนกินพลังจิตวิญญาณที่เทียบได้กับตัวเองสองคนเมื่อก่อนหน้านี้
ครืนๆๆ…
ลู่เซิ่งหลับตา สัมผัสได้ว่าจิตวิญญาณของร่างหลักกำลังสั่นเทิ้ม
นั่นคือร่องรอยที่พลังจิตวิญญาณใกล้จะอิ่มตัว ในตอนที่จิตวิญญาณกลืนกินและขยายขนาดถึงขีดจำกัดหนึ่ง เหล่ามารสวรรค์มายาพิศวงจะไปถึงแปรสัจจะ หรือขอบเขตใหญ่ที่สอง
วัฏจักรลวงเป็นร่องรอยที่มารสวรรค์สร้างวัฏจักรขึ้นในโลกของตัวเองขั้นต้น ส่วนแปรสัจจะ คือการเปลี่ยนทุกสิ่งของโลกรูปจิตให้กลายเป็นจริงในขั้นเบื้องต้น
ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ด้านในไม่คงอยู่ในสภาพจิตวิญญาณหรือสภาพมายาอีกต่อไป หากแต่สามารถปล่อยออกมาให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่จับต้องได้ตลอดเวลา
ถ้าหากบอกว่าผู้เข้มแข็งวัฏจักรลวงมายาพิศวงสู้ศึกลำพัง อย่างนั้นขอบเขตแปรสัจจะก็สามารถปลดปล่อยพลังของโลกรูปจิตออกมาได้พร้อมๆ กัน
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว พลังและขุมกำลังจะเพิ่มขึ้นถึงขั้นน่าสะพรึงในเวลาอันสั้น
เท่ากับลู่เซิ่งครอบครองกองหนุนของขุมกำลังใหญ่ทั้งหมดฟรีๆ นอกจากนั้นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ โลกรูปจิตสามารถใส่วัตถุเข้าไปได้ นี่นับว่าเป็นตู้นิรภัยที่ปลอดภัยที่สุดในโลก ไม่อาจเทียบกับอุปกรณ์มิติที่รูปลักษณ์อาจพังทลายและถูกแย่งไปได้พวกนั้น
จิตวิญญาณในตัวของลู่เซิ่งกำลังพลุ่งพล่านและเปลี่ยนแปลง เหมือนกับเมือกน้ำมันนับไม่ถ้วนกำลังจับตัวและรวมกลุ่มกันกลายเป็นผลผลิตทางพลังงานที่เหมือนกับเม็ดอนุภาคจำนวนมาก
โผละ
ร่างกายของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง อวัยวะทั้งหมดในตัวแปรเปลี่ยนเป็นสีดำ เซลล์เหลือคณานับในเลือดเนื้อต่างเริ่มงอกหนามแหลมสีดำออกมาอย่างแน่นขนัด
ระหว่างโครงสร้างห่วงโซ่ที่เป็นเกลียวคู่บนห่วงโซ่ดีเอ็นเอที่ตอนแรกเป็นของมนุษย์ เริ่มงอกอนุภาคแข็งที่เหมือนกับผลึกสีดำขึ้นมาใหม่
อนุภาคพวกนี้เกาะติดกับผิวและบริเวณรอบดีเอ็นเอเหมือนกับผลึกคริสตัล ผลึกคริสตัลทุกเม็ดเริ่มเห็นภาพวาดมีสีสันนับไม่ถ้วนปรากฏด้านในได้อย่างเลือนราง เหมือนกับในนั้นคือมิติต่างๆ
ฟุ่บ!
ลู่เซิ่งขดตัวอย่างกะทันหัน หลังโก่งขึ้น ปลายนิ้วของเขาแหลมขึ้นเรื่อยๆ เริ่มเหมือนกับตัวสายลมแห่งการประสาน หรือปีศาจแห่งห้วงความว่างเปล่ามากขึ้นไม่หยุด
ทั่วร่างค่อยๆ ถูกปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดสีดำ แต่สิ่งที่ต่างจากสายลมแห่งการประสานทั่วไปก็คือ เกราะเกล็ดของเขายิ่งผ่านไปยิ่งหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ แค่ไม่กี่วินาที ก็งอกยาวขึ้นสิบเซนติเมตร
เกราะเกล็ดปกคลุมบนร่าง เหมือนกับสวมเกราะโลหะสีดำหนาหนักไว้ชั้นหนึ่ง
ซู่….
กระแสอากาศสีขาวจำนวนมากถูกพ่นออกมาจากข้อต่อบนเกราะ
“มา…จงมา…รวมเป็นหนึ่งเดียวกับข้า…ห้วงความว่างเปล่าจะปกครองทุกสิ่ง…บุญคุณของเทพจะยุติโลกที่ไม่จีรังนี้…มีแต่ความโกลาหลเท่านั้นที่จะเป็นนิรันดร์…พวกเราเป็นหนึ่ง ไม่อาจแยกจากกัน…สรรพสิ่งเป็นหนึ่ง…”
เสียงเลือนรางเสียงหนึ่งสะท้อนในห้วงสมองของร่างหลัก
“สรรพสิ่งบ้านแกสิวะ!” ลู่เซิ่งรู้ว่าการเติบโตที่เร็วขนาดนี้จะต้องผิดปกติแน่! ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่คาดไว้! สิ่งนี้มุดเข้ามาในหัวสมองของเขาแล้ว!
“บุกเข้าไปฆ่ามันซะ!” เลือดลมเขาเดือดพล่าน กระเรียนยักษ์ไร้รูปร่างตัวหนึ่งที่อยู่ในจิตวิญญาณของร่างหลักส่งเสียงร้องแหลมสูง แล้วรวมตัวกลายเป็นรูปเป็นร่างอย่างรวดเร็ว
กลางทะเลสาบสีดำผืนหนึ่งในจิตวิญญาณ กระเรียนยักษ์พันเทวะกลายเป็นมนุษย์หัวกระเรียน สองมือคว้าจับวัตถุเหนียวหนืดที่เหมือนโคลนดำจากส่วนลึกของทะเลสาบดำ
โคลนดำจับตัวเป็นรูปเป็นร่างกลายเป็นคนหัวกระเรียนที่เหมือนพันเทวะไม่ผิดเพี้ยนอย่างรวดเร็ว นอกจากร่างกายที่เป็นสีแดงเรื่อๆ แล้ว แม้แต่ขนาดก็ยังเหมือนกันอีกด้วย
เปรี้ยง!
กระเรียนยักษ์สองตัวเข้าปะทะกัน
พลังของทั้งสองฝ่ายสูสีก้ำกึ่ง ถึงกับแบ่งผลแพ้ชนะไม่ได้ชั่วขณะ
“จงยอมแพ้เถอะ…ข้าคือเจ้า เจ้าคือข้า…” เสียงเลือนรางกลุ่มหนึ่งดังขึ้นอีกครั้ง
ตูม!
กระเรียนยักษ์พันเทวะถูกกระเรียนยักษ์สีแดงผลักล้มลงกับพื้น ส่วนหัวถูกจิกอย่างรุนแรง ร่างท่อนบนถูกการโจมตีนี้กระแทกจนเกือบแหลกเละไปทั้งร่าง
พูดถึงพลัง พลังของพันเทวะอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย มันถึงกับไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่ายเสียด้วยซ้ำ และลู่เซิ่งยังสัมผัสได้ว่ากระเรียนยักษ์สีแดงที่อยู่ด้านหน้ากำลังดูดซับพลังจิตวิญญาณของเขาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แต่พลังของพันเทวะกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว
“ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขนาดไหน ข้าก็สามารถดูดพลังจากเจ้าได้ ดังนั้น ไม่มีประโยชน์หรอก...ยอมแพ้เถอะ…พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว”
พันเทวะดีดดิ้นบนพื้นอย่างบ้าคลั่ง สัตว์ขนาดมโหฬารสองตัวกำลังเข่นฆ่ากัน แต่พลังของอีกฝ่ายเหนือกว่าเขาอย่างชัดเจน ไม่ว่าพันเทวะจะดิ้นรนอย่างไร ก็ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้
“ยอมแพ้เถอะ…ข้าก็คือเจ้า…!” กระเรียนยักษ์สีแดงคำรามต่ำ เสียงอันอึงอลดังสะท้อนในมิติทะเลสาบดำอย่างต่อเนื่อง
“ไม่…เจ้าไม่ใช่ข้า!” ปากของกระเรียนยักษ์พันเทวะส่งเสียงของลู่เซิ่ง “เจ้าไม่รู้เลยว่า…ข้าแข็งแกร่งขนาดไหน!”
“ดีปบลู!”
……………………………………….