ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 837 ความยุ่งยาก (1)
“ยกระดับวิชาเลือดลม! ไร้ขีดจำกัด!”
ในเมื่อเจ้าจะดูดพลัง ข้าก็จะให้เจ้าดูดจนพอใจ! ขอดูหน่อยเถอะว่าระหว่างเจ้าจะดูดพลังเร็วกว่า หรือข้าปรับเปลี่ยนได้เร็วกว่ากัน!
พลังอาวรณ์อันมหาศาลพลุ่งพล่านอย่างบ้าคลั่ง หลั่งไหลจากทรวงอกไปยังแขนขาของลู่เซิ่ง
เลือดลมที่ไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งในตัวเขาขยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง แข็งแกร่งขึ้นด้วยความเร็วที่ไม่สนใจว่าร่างกายจะเสียหายหรือไม่
ในทะเลสาบสีดำ กระเรียนยักษ์พันเทวะอันเป็นตัวแทนร่างหลักกำลังขยายร่างอย่างบ้าคลั่ง
เขาจับคอของกระเรียนยักษ์สีแดงเอาไว้
“จงยอมแพ้เสีย…มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นซะ แล้วอย่าได้แส่ออกมารนหาที่ตายอีก!”
เขาพลันออกแรงบีบ พลังจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงพลันบีบอัดอย่างฉับพลัน
เปรี้ยง!
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น กระเรียนยักษ์สีแดงดูดซับพลังพันเทวะไม่ทัน จึงถูกพลังที่ขยายตัวด้วยความเร็วสูงซัดคว่ำ จากนั้นก็โดนบีบกะโหลกจนแตกละเอียด
ความว่างเปล่านอกทะเลสาบดำมีเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวดดังก้อง
“ตัวเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังสู้กับอะไร!” ลู่เซิ่งคลายกรงเล็บ พลังจิตวิญญาณสีแดงจำนวนมากหลุดหล่นจากมือของเขาราวกับไอหมอก
“ข้ารู้สึกได้แล้ว…รู้สึกได้แล้ว…ร่างหลักของเจ้า…ร่างเทวะของเจ้า…อยู่ในส่วนลึกของความว่างเปล่านั้น…” ดวงตาของลู่เซิ่งฉายแววละโมบ
นั่นเป็นร่างของเทพนอกรีตที่แท้จริง!
มันยังไม่ตาย!
“ซ่อนตัวให้ดีเถอะ…จงนับถอยหลังรอเวลา ข้าจะตามหาเจ้า…เจ้ามันแก่แล้ว ร่างเทพที่แข็งแกร่งเช่นนี้ คนมีความสามารถควรได้ครอบครอง”
“เช่นนั้นก็จงมาเถอะ…ข้าจะคอยเจ้า…ข้าจะสังหารเจ้ากับมือเอง!” เสียงในความว่างเปล่าดังมาแต่ไกล
“มีพลังที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ช่างเปล่าประโยชน์เสียจริง ถึงกับพ่ายแพ้และตกต่ำถึงขั้นนี้ เจ้ามันสวะชัดๆ” นัยน์ตาลู่เซิ่งฉายแววรังเกียจ
“เจ้าหนอนแมลงเอ๋ย! เจ้ายั่วยุข้าแล้ว!” เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังมาจากความว่างเปล่า
“เจ้าโง่! ข้าคือหนอนแมลงจริงๆ! แต่ข้าใช้เวลาวินาทีเดียวก็เปลี่ยนจากหนอนแมลงเป็นคนได้! เราไม่เหมือนกัน! เจ้าตาย แต่ข้ารอด!” ลู่เซิ่งหัวเราะ
เปรี้ยง
การเชื่อมต่อถูกความว่างเปล่าตัดขาด
ด้านในหอพัก ลู่เซิ่งลืมตา ก้มลูบเลขนับถอยหลังบนทรวงอก
“แกหนีไม่รอดหรอก…แองจีส”
เมื่อครู่นี้ เขาคิดวิธีการอันยอดเยี่ยมออก เขาไม่รู้ว่าทำไมแองจีสถึงอยากยึดครองร่างหลักของเขา แต่เมื่อครู่นี้ เขาสัมผัสได้อย่างล้ำลึกว่า ผู้นำเทพนอกรีตที่ดับสูญมานานองค์นี้ ยังมีร่างเทพหลงเหลืออยู่
สิ่งที่แองจีสต้องการยึดครอง ไม่ใช่กายเนื้อร่างหลัก หากเป็นจิตวิญญาณของเขา!
ผู้นำเทพนอกรีตที่มีความพิเศษแบบนี้ เหมือนจะมีความสามารถพิเศษบางอย่างที่เปลี่ยนจิตวิญญาณของคนอื่นให้กลายเป็นเปลือกร่างของตัวเองได้
แองจีสใช้ประโยชน์จากวิธีการนี้ ยึดครองและกลืนกินจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
‘คว้าเสี้ยววินาทีที่เราปลดปล่อยจิตวิญญาณหลักออกมาตอนเลื่อนระดับ เพื่อแทรกซึมเข้ามา ช่างโง่เง่าจริง!’ เกราะบนร่างลู่เซิ่งแตกออก กลายเป็นขี้เถ้านับไม่ถ้วนโปรยปรายอย่างเชื่องช้า
เขาลุกขึ้นจากพื้น
เดินไปหน้ากระจก แจ๊คในกระจกมีสัญลักษณ์งูมีปีกสีแดงเข้มตัวหนึ่งปรากฏแวบขึ้นแล้วหายไป
‘สร้างความมั่นคงช่วงแรกได้แล้ว แปรสัจจะ ต่อจากนี้คือค่อยทำให้โลกรูปจิตกลายเป็นรูปธรรม’
หลังจากบรรลุขอบเขตแปรสัจจะ โลกรูปจิตก็กลืนกินสารจากโลกภายนอกมาเป็นตัวพาหะให้ตนเองโดยอัตโนมัติ
ลู่เซิ่งรีบอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และนอนพักผ่อน
การเลื่อนระดับของร่างหลักเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านจิตวิญญาณพื้นฐาน ในโลกที่กฎเกณฑ์แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงใบนี้ คลื่นหลงเหลือและการเปลี่ยนแปลงที่จิตวิญญาณกระตุ้นให้เกิดขึ้นจะไม่กระจายตัว นี่เป็นข่าวดีที่หาได้ยากยิ่ง
เช้าตรู่วันต่อมา ลู่เซิ่งก็กลับสู่สภาพเดิม จากนั้นก็ไปกินข้าวเช้า เข้าเรียน ต่อด้วยการฝึกทหาร
การฝึกทหารของโทเลย์ใช่ว่าจะต้องเข้าฝึกตลอด แต่จะเว้นช่วงกับการเรียนการสอน
“ต่อจากนี้ พวกเราจะมาลองวิธีฝึกฝนหลักระดับแรกกัน” ใต้ดวงอาทิตย์แผดเผา นักศึกษากลุ่มใหญ่เรียงแถวเป็นก้อนสี่เหลี่ยม กำลังยืนชิดติดกันเหมือนกับกำลังทำกายบริหารจากเสียงตามสาย ฝึกฝนประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นตามโทเลย์ที่อยู่ด้านหน้า
ลู่เซิ่งกับแอนดี้ยืนอยู่ด้วยกัน ถัดไปด้านหน้าสองตำแหน่งคือเออร์นีและคาฟิส นักศึกษาชายผู้มีความสามารถอวัยวะพิเศษ
ทั้งสองพูดกระซิบกระซาบกันอย่างสนุกสนาน ดูสนิทสนมกันมากทีเดียว
“ตอนนี้ เริ่มช่วงที่สองตามฉัน ยืดเหยียดช่วงอก” โทเลย์สาธิตท่าบนเวที
ลู่เซิ่งที่อยู่ด้านล่างเลียนแบบตาม แอนดี้ที่อยู่ด้านข้างเขาขอบตาดำคล้ำ หาวหวอดไม่หยุดหย่อน
“เห็นนั่นไหม” แม้เขาจะง่วงแทบตายแต่ก็ยังไม่ลืมซุบซิบนินทา “สองคนด้านหน้านั่น เออร์นีกับคาฟิส ว่ากันว่าคาฟิสได้เงินไปมหาศาลเพราะช่วยเออร์นีไว้ ยังมีทรัพยากรที่ช่วยในการฝึกฝนประมวลกฎเกณฑ์ด้วย จุ๊ๆ ดูจากตอนนี้ เหมือนว่าแม้แต่ตัวเออร์นีเองก็คงถูกเขาคว้าไปครองเหมือนกัน ชีวิตสุขสมดีแท้!“
“ช่วยเออร์นีหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“ใช่แล้ว สองสามวันก่อนหน้านี้คุณได้ยินเสียงดังสนั่นในหอเหมือนกันนี่ ตอนนั้นนั่นแหละ ว่ากันว่าคาฟิสระเบิดพลังแฝง ใช้ไพ่ตายบางอย่างช่วยเออร์นีจากเงื้อมมือของคนลึกลับได้…” แอนดี้ส่ายหน้าอย่างอิจฉา
“งั้นเหรอ มีเรื่องแบบนี้ด้วย?” ลู่เซิ่งประหลาดใจ
“ตอนนั้นคุณก็ถูกพวกผู้บริหารของโรงเรียนถามเหมือนกันนี่ จำได้หรือยัง” แอนดี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เขารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ดูท่าชายหนุ่มที่ชื่อคาฟิสคนนี้ จะเอาความดีความชอบในการช่วยเหลือเออร์นีไปอย่างหน้าไม่อาย ทั้งยังอาศัยบุญคุณนี้จนได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยอีกต่างหาก
แต่นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขาไม่ได้เห็นแก่เงินทองแค่นี้เมื่อจนเทียบกับกมากกว่ายอมเปิดเผยความแข็งแกร่งของตัวเองสักหน่อย ปล่อยให้ชายผู้นี้รับไปจะดีกว่า
‘กายบริหารจากเสียงตามสาย’ จบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เป็นการวิ่งรอบสนามสามพันเมตร ผู้ชายสามพัน ผู้หญิงสองพัน
หลังจากวิ่งหลายรอบ พวกนักศึกษาก็เหน็ดเหนื่อยจนแทบหายใจไม่ออก สีหน้าซีดขาว แสดงให้เห็นว่าในเวลาปกติพวกนี้ขาดการฝึกฝนอย่างหนัก แค่ออกกำลังนิดเดียวก็พากันไม่ไหวแล้ว
คุณสมบัติร่างกายของลู่เซิ่งผ่านการฝึกหนักมาแล้ว ระดับแค่นี้ย่อมไม่คณามือ วิ่งจนเสร็จเหงื่อยังไม่ออกเลยด้วยซ้ำ แต่ยืนทำท่าพักผ่อนอยู่ด้านข้าง
“บางทีพวกคุณอาจจะแปลกใจ”
เวลานี้ศาสตราจารย์โทเลย์เดินนวยนาดมากลางกลุ่มคนและพูดเสียงดัง
“ว่าทำไมคาบเรียนนี้ถึงเรียกนักศึกษาที่มีความสามารถพิเศษกับความสามารถต้องห้ามมาเรียนร่วมด้วย แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว”
เสียงพูดของโทเลย์ดึงดูดความสนใจของนักศึกษาทั้งหมดที่อยู่รอบข้างได้สำเร็จ
เธอหยิบไพ่โปกเกอร์ออกมาสำรับหนึ่ง จากนั้นก็กรีดไพ่ออกเป็นรูปพัดด้านหน้า
“พวกคุณได้ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นต้นมาเดือนหนึ่งแล้ว ในหมู่พวกคุณบางคนไปถึงระดับแรกแล้วด้วยซ้ำ และตอนนี้ สิ่งที่ฉันจะสอนให้พวกคุณในคาบเรียนนี้ คือวิธีการหลอมรวมความสามารถของตัวเองเข้ากับร่างกาย ชื่อของคาบเรียนนี้ควรจะเรียกว่าวิชาหลอมรวมได้ล่ะมั้ง”
“วิชาหลอมรวมหรือ” ลู่เซิ่งทวนเบาๆ
“ในที่สุดก็มาถึงคาบเรียนนี้สักที” แอนดี้ที่อยู่ด้านข้างถอนใจด้วยใบหน้าคาดหวัง
เห็นได้ชัดว่าเขารู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น
“สิ่งที่จะมอบให้ทุกคนในคาบเรียนวิชาหลอมรวม คือการหลอมรวมความสามารถอวัยวะที่หกของตัวเองเข้ากับทุกการเคลื่อนไหวอย่างเฉพาะเจาะจง แล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสัญชาตญาณ” โทเลย์กล่าวเสียงกังวาน
“พวกเราจะแบ่งนักศึกษาที่มีความสามารถอื่นๆ กันก่อน อันดับแรก นักศึกษาสายลมแห่งการประสานมากันก่อนเลย เพราะพวกคุณมีกันเยอะที่สุด”
โทเลย์แตะไพ่โปกเกอร์กับริมฝีปากแผ้วเบาจากนั้นก็จูบไพ่ใบหนึ่ง
“ตอนนี้ ฉันมีไพ่สามสิบหกใบอยู่ในมือ จำไว้ด้วยล่ะ…”
พรึ่บ!
เธอพลันโยนไพ่ในมือทั้งหมดไปบนท้องฟ้า
ไพ่สามสิบหกใบกระจายทั่วฟ้า ส่งเสียงดังพึ่บพั่บ
“ตอนนี้ ลองเดาดูว่าฉันจะจับไพ่ที่ฉันจูบใบเมื่อกี้นี้ได้ไหม” โทเลย์ยิ้มอย่างลึกลับ
พรึ่บ
เธอแบมือ ไพ่ใบหนึ่งหล่นลงมาอยู่ในมือของเธออย่างแผ่วเบา
เธอตั้งไพ่ขึ้น บนไพ่มีรอยจูบสีแดงอยู่
“เห็นแล้วหรือยัง นี่เป็นสิ่งที่พวกคุณต้องทำให้ได้ กระแสอากาศที่พวกคุณควบคุมได้มันอ่อนแอเกินไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง หากใช้วิธีการหาไพ่ ก็จะสามารถฝึกฝนกระบวนการหลอมรวมกระแสอากาศกับการเคลื่อนไหวแขนขาของพวกคุณได้ มีแต่ต้องทำแบบนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้พวกคุณประสานท่าต่อสู้ที่ตัวเองร่ำเรียนมาเข้ากับการควบคุมกระแสอากาศ เพื่อเพิ่มพลังโจมตี หรือลดแรงเสียดทานอากาศในตอนเคลื่อนไหวได้ จากนั้นก็ใช้มันมาเพิ่มความคล่องแคล่วและพลังระเบิดเวลาขยับตัว”
ลู่เซิ่งตั้งใจฟังโทเลย์บรรยายทักษะรายละเอียดในการควบคุมไพ่ เห็นได้ชัดว่าวิธีการนี้เป็นทักษะที่มีประโยชน์มากที่สุดที่มหาวิทยาลัยได้สรุปออกมา
วิธีฝึกฝนฝนง่ายดายมาก แต่ก็มีประสิทธิผลมากเช่นกัน
ลู่เซิ่งฝึกฝนพร้อมกับคนอื่นสักพัก โดยเริ่มจากควบคุมกระแสอากาศอ่อนบางก่อน เขาถึงกับสัมผัสได้ถึงการยกระดับที่สูงขึ้นไม่น้อยแม้จะเรียนไปเพียงคาบเดียว
ทุกคนต่างใช้สำรับไพ่ของตนเอง
ลู่เซิ่งเจอเคล็ดลับอย่างรวดเร็ว ความถี่ในการเจอไพ่ที่ระบุเอาไว้ก็เพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ ทั้งยังเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
เขาที่สร้างรูปแบบที่สามสำเร็จแล้ว หากดูจากระดับมาตรฐานในตอนนี้ ถือว่าใกล้เคียงกับระดับอาจารย์ของมหาวิทยาลัยแล้ว
แต่ว่าอาจารย์เกือบทุกคนต้องใช้เวลาหลายสิบปีถึงจะบรรลุระดับนี้ได้ ลู่เซิ่งกลับใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียว
หลังการฝึกทหารจบลง ลู่เซิ่งก็ไปกินข้าวกับแอนดี้ตามปกติ แล้วแยกย้ายกัน เจ้าหมอนี่มีกิจกรรมตอนกลางคืนต่ออีก ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหนนักหนา
ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงของลู่เซิ่งบรรลุระดับสิบเก้าแล้ว ต่อจากนี้ต้องการเวลาพักผ่อนฟื้นฟู ถึงจะสามารถยกระดับต่อได้
ตามการคำนวณของตัวเขา เนื่องจากร่างหลักเลื่อนระดับตามขึ้นมาด้วย ระดับแปรสัจจะจึงทำให้จิตวิญญาณเริ่มไม่เสถียร เวลาที่ต้องใช้ปรับตัวและฟื้นฟูอาจจะยาวนานขึ้น
แต่ก็ดีเหมือนกัน เขายกระดับได้เร็วเกินไป บรรลุระดับแปรสัจจะโดยกลืนกินพลังจากภายนอกในเวลาเพียงไม่นาน ใช้เวลาเพียงเดือนเดียวก็ก้าวข้ามการสั่งสมมามากกว่าหมื่นปีของผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงคนอื่นได้แล้ว
เขาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรต้องทำ ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงเองก็อ่านมาพอประมาณแล้ว ครั้นตกดึกเขาจึงไปห้องสมุดอีกครั้ง
ก๊อกๆๆ
ประตูห้องสมุดตอนกลางคืนล่ามโซ่เอาไว้ ลู่เซิ่งมองไปบนท้องฟ้า ยังไม่ดึกมากนัก เวลาที่ห้องสมุดระบุไว้ต้องเป็นทั้งวันสิถึงจะถูกต้อง
“มีคนอยู่ไหมครับ” เขาเคาะประตูอีกรอบ
ไม่มีใครตอบกลับมา ตาเฒ่าเฝ้ายามคนนั้นไปอยู่ไหนก็ไม่รู้
ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมองประตูใหญ่สีดำด้านหน้า มีโซ่ทองแดงขนาดฝ่ามือล่ามอยู่หน้าประตู กวาดตานับๆ ดูแล้วมีอย่างน้อยเจ็ดแปดเส้น
“กลับไปเถอะ เหมือนห้องสมุดจะปิดแล้วนะ” ด้านหลังเสาหินที่อยู่ใกล้ๆ มีนักศึกษาสาวผิวขาวซีดหอบหนังสือเดินออกมา
หน้าอกที่ตั้งตระหง่านของอีกฝ่ายมีสัญลักษณ์ของชั้นปีที่สองติดอยู่ หอบหนังสือปกแข็งสีดำสนิทหนาหนักไว้เล่มหนึ่ง ผมยาวถึงเอวของเธอ ชวนให้คนรู้สึกถึงความลึกลับ
……………………………………….