ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 84 ความยากลำบาก (4)
เปรี้ยง!
การโจมตีหนักหน่วงอีกครั้ง ลู่เซิ่งถูกกระแทกถอยหลังติดต่อกัน กลั้นเลือดในปากต่อไปไม่ไหว กระอักออกไปบนพื้น
มีแถบผ้าสีแดงลอยออกมาจากในตัวรถ รัดเอวของเขาไว้ แต่พริบตาเดียวก็ถูกปราณภายในร้อนลวกเผาจนขาด
ผัวะ!
สตรีอาภรณ์แดงโผล่ขึ้นมาด้านข้างของลู่เซิ่งอีกครั้ง ฟาดโคมไฟใส่ไหล่ขวาของเขา
เฮอะ…
ลำคอสตรีอาภรณ์แดงส่งเสียงคำรามออกมา ฟังไม่ชัดเจน นางยังคงโผล่ขึ้นมาใกล้ๆ ลู่เซิ่งไม่หยุด ฟาดศีรษะ ตัว แขน ขาเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
ผัวะๆๆ!
เลือดไหลออกจากปากลู่เซิ่งอย่างต่อเนื่องเพราะการโจมตีอย่างหนักติดต่อกัน
“แรงกว่านี้ เบาไปแล้ว! เหอะๆๆ…” เขาไม่สนใจ ใช้คมดาบปัดป้องอย่างต่อเนื่อง บางครั้งก็ป้องกันได้ แต่ส่วนใหญ่จนหนทาง ได้แต่ใช้กายเนื้อรับแรงกระแทกไว้
“ทราบหรือไม่ตอนนั้นข้าฆ่านางอย่างไร รุนแรงกว่าเจ้าในตอนนี้มาก ผ่าจากตรงกลางเป็นสองส่วน นางนึกว่าตัวเองจะฟื้นฟูเป็นเหมือนเดิมได้ แต่ถูกข้าใช้ปราณภายในสะกด ทรมานเจียนตายอยู่ตรงนั้น ฮ่าๆๆ!” ลู่เซิ่งหัวเราะลั่นขณะที่เลือดไหลออกจากปาก
เฮอะ!…
การโจมตีของสตรีอาภรณ์แดงยิ่งมายิ่งเร่งร้อน ยิ่งมายิ่งหนักหน่วง ใช้โคมไฟแดงกระแทกร่างของลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกันเล็บแหลมสีดำม่วงของนางอีกมือหนึ่งที่ว่างอยู่ก็กรีดร่างลู่เซิ่งเป็นรอยเลือดหลายสาย
ฉัวะ!
เอวซ้ายของลู่เซิ่งถูกคว้านเนื้อไปก้อนหนึ่ง ปากแผลเปลี่ยนเป็นสีม่วงและดำอย่างรวดเร็ว แต่ถูกวิชาหยินหยางกระเรียนหยกสะกดไว้
สตรีอาภรณ์แดงมือข้างหนึ่งใช้โคมไฟ ข้างหนึ่งใช้เล็บ โจมตีลู่เซิ่งอย่างบ้าคลั่งต่อเนื่อง
ทันใดนั้น แสงสีแดงสาดขึ้น แขนนางเกิดประกายสีแดง เหมือนกับชั้นน้ำแข็งสีแดงเบาบางชั้นหนึ่งขึ้นมาครอบคลุม ความเร็วและพละกำลังทวีขึ้น
เฮอะ!
เล็บคมสีดำม่วงพุ่งใส่ทรวงอกลู่เซิ่ง นางคิดควักหัวใจของเขาออกมาเพื่อแก้แค้นให้พี่้น้องของตน!
สตรีอาภรณ์แดงเดิมเร็วยิ่ง ครั้งนี้พลังเพิ่มพูน ทำให้ลู่เซิ่งไม่อาจหลบได้ทัน ได้แต่ฝืนย้ายตำแหน่งไปได้เล็กน้อย
สวบ!
มือแทงลึกเข้าไปในอกด้านขวาของลู่เซิ่ง ในห้วงเวลาสำคัญ ลู่เซิ่งฝืนย้ายตำแหน่งสำเร็จ เบี่ยงจุดตายออกไป
เลือดไหลออกมาเป็นฟอง ลู่เซิ่งถูกพละกำลังอันมหาศาลดันถอยหลังไปสิบกว่าก้าว เลือดในปากทะลักออกมาพร้อมฟองอากาศ
เฮอะ!
สตรีอาภรณ์แดงปล่อยโคมไฟ แทงมืออีกข้างเข้าไปในส่วนท้องของลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งตัวสั่น เสียงหมับดังขึ้น เมื่อเขาใช้สองมือจับหัวไหล่ของสตรีอาภรณ์แดงไว้ นางออกแรงดิ้นรน กลับไม่อาจสลัดหลุด
“จับได้แล้ว…” เขาเงยหน้าขึ้น หน้าขาวซีด แต่กลับเผยรอยยิ้มดุดัน
ซี่…
ไอความร้อนหลายสายลอยขึ้นจากคนทั้งสอง นั่นเป็นไอขาวที่เกิดจากปราณลมปราณแดงฉานเผาเลือดอย่างต่อเนื่อง
โฮก!
ในเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่ง ลู่เซิ่งตะโกนออกมา กระแทกเข่าใส่หน้าอกและหน้าท้องของนางอย่างแรง
เปรี้ยง! ผัวะ! ผัวะ! เปรี้ยง!
สตรีอาภรณ์แดงดิ้นรน พร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนเหมือนทารก ทรวงอกของนางถูกลู่เซิ่งกระแทกจนยุบ ควันสีขาวลอยออกมาจากตา หู จมูก ปากและรอบๆ ตัว
“เมื่อครู่เจ้าไม่ใช่ฟาดข้าจนมันมือหรอกหรือ!?” ลู่เซิ่งจิกผมนาง กระแทกหน้าผากใส่
โครม!
ศีรษะของสตรีอาภรณ์แดงถูกกระแทกเป็นรอยขนาดใหญ่ ของเหลวหนืดสีขาวกับควันลอยออกมา นางร้องโหยหวน ดิ้นรนสุดชีวิต กลับถูกลู่เซิ่งจับเหวี่ยงกระแทกใส่ต้นไม้แห้งข้างทางต้นหนึ่ง
เสียงเปรี้ยงดังขึ้น เมื่อลำต้นหักโค่น
“ฮ่าๆๆๆ!” ลู่เซิ่งหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ต่อยหมัดใส่ศีรษะสตรีอาภรณ์แดงครั้งแล้วครั้งเล่า จนใบหน้าของนางยุบแหลกเละเหมือนกับแตงโมถูกทุบแตกโดยสิ้นเชิง ควันสีขาวจำนวนมากลอยออกมาจากปากแผล
“เจ้าไม่ใช่คิดฆ่าข้าหรอกหรือ!? ฆ่าสิ! ฆ่าสิ! ฆ่าสิ!” การโจมตีที่หนักหน่วงระดมใส่ร่างและศีรษะนางหลายครั้ง
ผัวะๆๆๆ!
กระแทกหลายสิบหมัดติดต่อกัน ปราณภายในทั่วร่างลู่เซิ่งซัดออกมาอย่างบ้าคลั่ง วิชาหยินหยางกระเรียนหยกชดเชยปราณแดงฉาน ทุกหมัดเหมือนสุดกำลัง ร่างของเขาร้อนสุดเปรียบปานเหมือนกับเตาไฟ
ส่วนศีรษะสตรีอาภรณ์แดงแหลกเละและดำเกรียมไปแล้ว
ลู่เซิ่งกระชากมือของนางออกจากร่างตัวเอง แล้วยกขึ้นสูง
ภายใต้เมฆสีดำ นางหายใจรวยริน แต่ยังมีสติ ยื่นมือออกมาคิดคว้าแขนลู่เซิ่งไว้
“คิดฆ่าข้าหรือ นี่เป็นค่าตอบแทน!”
ควาก!
เขาใช้มือหนึ่งดึงศีรษะที่แหลกเละของนางออกจากคอ ใต้ศีรษะยังเชื่อมกับเส้นเลือดและกะโหลกส่วนหนึ่ง
ของเหลวข้นสีขาวจำนวนมาก กระเด็นใส่ร่างเขาพร้อมควัน เขากลับไม่สนใจ เงยหน้าหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง
โคมไฟแดงที่กลิ้งอยู่บนพื้นมอดดับลง
…
ในป่าทึบมืดครึ้ม ต้นไม้หนาแน่นดำทะมึนบังฟ้าคลุมตะวัน อาณาเขตแห่งนี้ถูกปิดอยู่ในความมืดสลัว
ในคฤหาสน์ที่มีกระเบื้องสีแดงของตระกูลใหญ่แห่งหนึ่ง โคมไฟสีแดงแขวนอยู่เต็มทั้งในและนอกประตูใหญ่
สตรีที่สวมกระโปรงสีขาวคนหนึ่งกางร่มยืนนิ่งอยู่ข้างบ่อน้ำในตัวลานบ้าน เหมือนกับอาศัยน้ำในบ่อส่องใบหน้าของตัวเอง
ร่มกระดาษที่เป็นสีแดง ปิดบังใบหน้าของนางไว้ มีแค่ผมยาวสีดำสนิทราวกับหมึกสยายลง ผืนร่มวาดรูปดอกเหมยสีชมพูสะท้อนแสงโคมไฟแดงที่แขวนอยู่ในคฤหาสน์จนแดงฉานกว่าเดิม
“ตระกูลเจิน…ฆ่าพวกเราไปไม่น้อย…สมควร…ทำอย่างไร…ดี…” เสียงของสตรีนางนั้น ขาดๆ หายๆ จากใต้ร่ม เหมือนกับถูกบีบคอแล้วส่งเสียง
“พวกเขาจึงเป็นตัวจริง ที่จะเป็นผู้ที่มาแย่งชิงภัยพิบัติมังกรสีชาดได้ ใช้ข่าวปลอมกับปรากฏการณ์ปลอมก็ดึงขุมกำลังจำนวนมากขนาดนั้นมาได้ ตอนนี้พวกเขาลงมือสุดกำลัง มีความมั่นใจมากพอทีเดียว” ในบ่อแว่วเสียงแหบพร่าที่น่ากลัวของสตรีดังมา “ก่อนหน้านี้ทำลายฐานที่มั่นของเราไปสามแห่ง ตอนนี้ต่อต้านความประหลาดลี้ลับที่พวกเราปล่อยออกไป เจินสวิน… เป็นมนุษย์ที่ยอดเยี่ยม”
“ให้ข้าลงมือ…ฆ่าเขาหรือไม่?” สตรีกางร่มกล่าวเสียงขาดๆ หายๆ
“เจ้าไม่ใช่คู่มือของเขา ตอนนี้ตระกูลเจินแข็งกล้าเพียงนี้ ต้องเป็นเพราะมีภัยพิบัติมังกรสีชาดเสริมความมั่นใจ” เสียงในบ่อเอ่ยต่อ “พวกเราควบคุมความประหลาดลี้ลับที่ส่งผลกระทบได้มากขนาดนี้ กลับถูกพวกเขาทำลายทิ้งหมด ต้องดูสถานการณ์ไปก่อน”
“เจ้าค่ะ…” สตรีกางร่มขานรับ
นางยืนอยู่ข้างบ่ออีกสักพัก จนเสียงในบ่อหายไปโดยสมบูรณ์ จึงเดินทีละก้าวๆ ไปยังห้องนอนในคฤหาสน์
นางเดินมาถึงหน้าห้องนอน ค่อยๆ เงยหน้ามองโคมไฟแดงที่แขวนอยู่ ในโคมไฟแดงหลายแถวมีอยู่สิบห้าใบดับไปแล้ว เส้นทางเล็กๆ บนระเบียงทอดยาวไร้แสง
“ถูกตีแตกไปแล้ว…สิบห้าคนหรือ แม้แต่ที่ส่งไปจัดการ…คนธรรมดา…ก็ตายแล้ว…สะอาดหมดจดนัก…” สตรีกางร่มพึมพำ ลีลาการพูดยังคงแปลกประหลาด
“เจินสวิน…จะช้าจะเร็วข้าต้องกินเจ้า…”
ลมหอบหนึ่งพัดผ่าน หน้าห้องนอนพลันไร้คน
…
ลู่เซิ่งมือกุมอก กลิ่นเนื้อไหม้โชยมา เลือดที่ปากแผลพลันหยุดไหล
มืออีกข้างหนึ่งกำด้ามดาบ บนฝ่ามือมีเลือดหยดช้าๆ ร่องแยกระหว่างฝ่ามือกับด้ามดาบยังจับปิ่นเงินไว้อันหนึ่ง
ปิ่นเงินเป็นปิ่นที่หาซื้อได้ทั่วไปตามถนน เป็นปิ่นที่ธรรมดายิ่ง เงินไม่กี่เหรียญก็ซื้อได้ น้ำหนักเบามาก
ลู่เซิ่งได้จากร่างสตรีโคมไฟนางนั้น
หลังสตรีโคมไฟตาย ร่างกายก็หลอมละลายกลายเป็นควัน มีแค่ของหลงเหลือเช่นเสื้อผ้า โคมไฟ ลู่เซิ่งเจอปิ่นเงินอันหนึ่งจากด้านใน ทดลองหยดเลือดใส่ดู มีปราณหยินถูกดูดเข้าร่างจริงๆ
ตอนนี้ปิ่นเงินในฝ่ามือถ่ายเทปราณหยินหลายสายอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ไม่มาก แต่ว่ายาวนาน
ลู่เซิ่งรู้สึกถึงความปวดแสบปวดร้อนที่ทรวงอก อาการบาดเจ็บภายนอกไม่มีเลือดไหลแล้ว อาการบาดเจ็บภายในมีวิชาหยินหยางกระเรียนหยกกับวิชาลมปราณแดงฉานประสานกันฟื้นฟู ใช้มือกดเส้นเลือดและเส้นชีพจร อุดแผลเลือดออกด้วยวิชาลมปราณแดงฉาน วิชาหยินหยางกระเรียนหยกก็เข้ามาเสริมอย่างรวดเร็ว
สู้ถึงตอนนี้ ความจริงเขาใช้ความสามารถส่วนใหญ่สะกดพิษไว้ ที่ใช้สะกดอาการบาดเจ็บจากการต่อสู้มีไม่มากเท่าไหร่
บนพื้นดินเหลือแค่อาภรณ์สีแดง ยังมีรถม้าที่ด้านบนโคมไฟสีแดงดับไปแล้ว ม้าดำที่เทียมอยู่ยืนนิ่ง เลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ไม่ทราบตายมานานเท่าไหร่แล้ว เป็นการตายทั้งที่ยืนอยู่
ลู่เซิ่งใช้ดาบยันแทนไม้เท้า ไล่ตามขบวนรถทีละก้าวๆ
ไล่ตามไม่นาน เสียงฝีเท้าม้าก็ดังมาจากด้านหน้า เขาเงยหน้ามอง เห็นอวี้เหลียนจื่อพาพลพรรคสองคนควบม้าเข้ามา
อวี้เหลียนจื่อเห็นลู่เซิ่งเดินบนถนน ร่างโชกเลือด สภาพทุลักทุเล พลันแตกตื่น
ฮี้
คนทั้งสามรีบพลิกตัวลงจากหลังม้า
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก!”
“หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอกเป็นอะไรมากหรือไม่!?”
คนทั้งสามรีบเข้าประคองลู่เซิ่ง
“ไม่เป็นไร เหตุใดมีแค่พวกท่านสามคนมา ในเมืองจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ” ก่อนมาลู่เซิ่งให้อวี้เหลียนจื่อสะสางพื้นที่ในเมืองเลียบคีรี จับตาดูสถานการณ์ผิดปกติ ถ้าเกิดความวุ่นวายจะได้ส่งคนไปป้องกันพื้นที่และปลอบประโลมผู้คน เคลื่อนไหวพร้อมกันกับที่ว่าการจวนขุนนาง”
“ในเมืองไม่เป็นไร หัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก เหตุใดจึงบาดเจ็บเช่นนี้ แถวนี้ ยังมีใครทำร้ายท่านจนสาหัสขนาดนี้ได้!” อวี้เหลียนจื่อสีหน้าจริงจัง ขณะเดียวกันก็ล้วงยาทาแผลสีทองออกมาจากถุงข้างเอว
“ข้าทำเอง” ลู่เซิ่งรับยามา ฉีกเสื้อออก เผยให้เห็นแผลที่หน้าอกกับหน้าท้อง โปรยผงยาทาแผลสีทองใส่แผล แล้วเกลี่ยเท่าๆ กัน
“เรื่องมันยาว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกท่านควรรู้ กลับไปก่อนค่อยว่ากัน ครอบครัวของข้าอยู่ด้านหน้านี่เอง พวกท่านไปทางพื้นที่หวงห้ามก่อน”
พวกอวี้เหลียนจื่อพอเห็นแผลบนตัวลู่เซิ่ง ก็สูดหายใจลึก แผลสองแผลนั้นข้างในสีม่วงมีสีดำ ถึงกับเป็นร่องรอยพิษที่รุนแรง
“ไม่เป็นไร ดูเหมือนจะต้องพิษ แต่ข้าใช้ปราณภายในเผาส่วนนี้แล้ว นับว่ายังป้องกันไว้ได้ กลับไปตัดเนื้อบางส่วนออก ก็ใช้ได้แล้ว” ลู่เซิ่งเหงื่อซึมหน้าผาก กล่าวโดยข่มความเจ็บปวดไว้
“ที่ข้ายังมียาแก้พิษ…” อวี้เหลียนจื่อกล่าวอย่างลังเล
“ไม่ต้อง ยาแก้พิษทั่วไปไม่น่ามีประโยชน์” ลู่เซิ่งรู้สึกว่าพิษนี้คล้ายถูกปราณภายในธาตุหยางขจัดได้ หลังจากใช้ปราณแดงฉานปริมาณมาก การกัดกร่อนของพิษต่อร่างกายไม่รุนแรงนัก ขอแค่รีบกลับเมืองตัดเนื้อร้าย ทำความสะอาดแผลก็ใช้ได้
“ก็ได้ ข้าจะขี่ม้ากลับไปกับหัวหน้าฝ่ายภารกิจภายนอก พวกเจ้าสองคนขี่ม้าตัวหนึ่งติดตามอยู่ด้านหลัง” อวี้เหลียนจื่อจัดการอย่างรวดเร็ว
“ขอรับ!”
หลังจากทั้งสี่คนแบ่งกัน ก็ขี่ม้าไล่ตามด้านหน้าไปอย่างเร่งร้อน
ไม่ทันไรขบวนรถตระกูลลู่ก็โผล่ขึ้นมาบนทางหลวง ที่ยังดีคือในขบวนรถไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร ยังคงมุ่งหน้าอย่างมั่นคง
ลู่เซิ่งไม่ลงจากหลังม้า เขามีสีหน้าย่ำแย่สุดขีด ไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย ตอนที่ผ่านลู่เฉวียนอัน ผู้เป็นบิดายังไม่ทันเห็นชัดว่าเป็นเขา เขาก็หายไปจากทางหลวงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
ตลอดทางลู่เซิ่งสำรวจสองฟากทางอย่างละเอียด ฝืนข่มความเจ็บปวด ยืนยันว่าเส้นทางด้านหลังขบวนรถยังนับว่าปลอดภัย จนถึงเมืองเลียบคีรี เขาค่อยสั่งพลพรรคไปรับขบวนรถของครอบครัว แล้วให้อวี้เหลียนจื่อประคองเขาเข้าไปในห้องเพาะดอกไม้หยกทองนอกเมือง
ที่นี่ตอนนี้กลายเป็นกึ่งฐานที่มั่นของลู่เซิ่ง เขายังจ้างคนงานให้เริ่มสร้างหอหลังหนึ่งที่นี่เพื่อสะดวกในการพักผ่อน
……………………………………….