ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 841 พัฒนาการ (1)
ฟ้าว!
คมดาบสีแดงเข้มวาดแสงสีแดงใหญ่ยาวสิบกว่าเมตรออกมาสายหนึ่ง แล้วฟันลงศีรษะของลู่เซิ่งอย่างแม่นยำ ปรากฏรอยแยกสีแดงเส้นหนึ่งขึ้นตรงกลาง ผ่าร่างใหญ่โตและดุร้ายของเขาออกเป็นสองซีก
“อ๊าก…ไม่!” ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้นอย่างเจ็บปวด ถึงขั้นเห็นรอยเลือดสีแดงบนศีรษะของเขาได้
ชิ้ง ทันใดนั้นบาดแผลบนศีรษะของเขาก็แยกออก หนวดสีดำอมม่วงเหนียวหนืดกลุ่มใหญ่พุ่งออกมาราวกับระเบิด
หนวดนับไม่ถ้วนจับแบล็กเชอร์รี่ที่ลอยอยู่กลางอากาศไว้ได้ในชั่วพริบตา ห่อหุ้มเธอไว้เป็นชั้นๆ แล้วลากหายเข้าไปในบาดแผล
“ไม่!” เสียงเธอแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
ไม่นานนักบาดแผลบนหัวลู่เซิ่งก็สมานตัว เหมือนกับไม่เคยถูกฟันขาดมาตั้งแต่ต้น
“ว่าแล้วเชียว!” เวลานี้ลู่เซิ่งค่อยได้สติ “ฉันควบคุมปากตัวเองไม่ได้!”
“ฉันไม่ได้อยากเคี้ยว! จริงๆ นะ!” แต่ก้อนเนื้อไม่รอเขาตอบสนอง ก็ถูกเคี้ยวกลืนลงคอไป
โครมๆ!
เขาโซเซไปด้านหน้าสองสามก้าว อ้าปากคิดจะบ้วนออกมา แต่ก็สายเกินกาล เนื้อได้ย่อยสลายไปแล้ว
หญิงงามเมื่อครู่ที่กระโดดฟันตน ตอนนี้ไม่เหลือแม้แต่ซากกระดูก
“บ้าไปแล้วชัดๆ! กลับไปจะต้องควบคุมให้อยู่! ของที่นี่จะกินมั่วซั่วไม่ได้นะโว้ย! เกิดเจอกับดักของเทพนอกรีตเข้า ถ้าท้องเสียขึ้นมาจะลำบากจริงๆ แล้ว!” ครั้งนี้ลู่เซิ่งรู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างแท้จริง
ความรู้สึกสูญเสียการควบคุมตัวเองชนิดนี้ช่างทรมานจริงเชียว
การเคลื่อนไหวโดยสัญชาตญาณรวดเร็วเกินไป แขนเยอะเกินไป พลังขยายเร็วเกินไป ทำให้เขาควบคุมไม่ทัน
“แย่ล่ะ ต้องรีบไปแล้ว ที่นี่เกิดเสียงดังครึกโครม จะอยู่นานไม่ได้” ลู่เซิ่งเก็บปราณปฐพีสุดอย่างแรง ใช้เวลาเกือบสามนาทีจึงจะคืนร่างมโหฬารกลับเป็นมนุษย์เหมือนเดิมได้
เขาเก็บพวกเสื้อผ้าขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะผละจากไป เหลือซากสนามต่อสู้ที่เป็นหลุมเป็นบ่อเอาไว้
แม้เขาจะพยายามควบคุมสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ยังคงสร้างความเสียหายอันมโหฬารให้แก่ต้นไม้รอบข้างอยู่ดี
ลู่เซิ่งเพิ่งจะจากไปได้ไม่กี่นาที ชายวัยกลางคนสองคนก็รีบรุดมาถึงที่เกิดเหตุ
“คลื่นพลังของเทพนอกรีต!” คนหนึ่งในนี้ถือกล่องสีดำใบเล็กไว้ใบหนึ่ง ในกล่องมีเสียงฟันเฟืองและข้อต่อกลไกเคลื่อนไหวดังออกมา
“กล่องรัตติกาลเคลื่อนไหวแล้ว ดูจากปฏิกิริยานี้ ฝั่งหนึ่งน่าจะเป็นสาวกของราชันแห่งเงารัตติกาล” ชายอีกคนเอ่ยแผ่วเบา ขณะถือนาฬิกาพกเรือนหนึ่ง
ทั้งสองเดินไปถึงข้างรอยเท้าใหญ่ที่ลู่เซิ่งเพิ่งทิ้งไว้ แล้วนั่งลงลูบดินโคลนในรอยเท้า
“คลื่นพลังนี้…ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ตรวจสอบต้นตอได้ไหม”
“ไม่ กล่องวิกาลตรวจสอบคลื่นพลังเทพนอกรีตทั้งหมดได้ แต่นี่…ดูเหมือน…เหมือนกับสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง” อีกคนหนึ่งเอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนที่ถือนาฬิกาพกเบิกตากว้างขณะชี้รอยเท้ามหึมาบนพื้น
“เหลวไหล! คุณเคยเห็นรอยเท้าสัตว์ป่าใหญ่ขนาดนี้จากไหนหรือไง ขนาดรอยเท้าช้างยังไม่ใหญ่ขนาดนี้เลยนะ”
“อาจจะเป็นช้างที่ถูกปนเปื้อนก็ได้นะครับ” ชายถือกล่องวิกาลกล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจ
“เหลวไหลสิ้นดี เก็บตัวอย่างกลับไปซะ! ฉันจะใช้ทับทิมอัสนีบาตฉายรังสีใส่ ดูว่าจะเจอร่องรอยอะไรไหม”
“ก็ได้ แต่กล่องเก็บตัวอย่างอาจไม่พอนะครับ”
“อีกประเดี๋ยวค่อยยื่นเรื่องขอมาอีก”
ทั้งสองผุดลุกขึ้น จากนั้นก็มีสมาชิกของสภานักศึกษาประจำมหาวิทยาลัยที่คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนรุดมาถึง แต่พอเห็นคนทั้งสองอยู่ที่นี่ พวกนักศึกษาปีสูงของสภานักศึกษาก็โค้งตัวให้พวกเขา จากนั้นก็หมุนตัวแยกย้ายกันไปอย่างไม่ลังเล
ทั้งสองไม่ว่าอะไร เรื่องแบบนี้พวกเขาพบเจอบ่อยครั้งอยู่แล้ว
“ศาสตราจารย์เวลส์ สาวกเทพนอกรีตแทรกซึมเข้ามาในมหาวิทยาลัยถึงขั้นนี้แล้ว ฉันรู้สึกว่าพวกเราปล่อยปละละเลยพวกนั้นเกินไปหน่อยรึเปล่า” ชายถือกล่องวิกาลถามเบาๆ
“เป็นไปไม่ได้ ก่อนที่ฉันตาย ไอ้เวรพวกนั้นจะไม่มีทางถูกปล่อยออกไปไหนเด็ดขาด ขอรับประกันได้!” ชายถือนาฬิกาพกปฏิเสธเสียงเย็น “ส่วนพวกสาวกนอกรีต เป็นแค่พวกสวะทั้งนั้น พวกขยะที่ถูกพลังเทพจากห้วงความว่างเปล่าแพร่เชื้อและล่อลวง จนแม้แต่ตัวเองก็ยังปกป้องไม่ได้ ไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการเอง”
“แต่ว่าท่าน…”
“ฉันไม่เป็นไร แต่ทางวาเลียนนาอาจจะยุ่งยากอยู่บ้าง ในมหาวิทยาลัยน่าจะมีตัวประหลาดบางอย่างหลุดเข้ามา ทำให้เขาควบคุมตัวเองได้ยากขึ้นเรื่อยๆ ฉันจะต้องแบ่งเวลาไปช่วยเขาสะกดด้วย” เวลส์เอ่ยอย่างจนใจ “ไม่อย่างนั้นสาวกเทพนอกรีตจะโอหังถึงขั้นนี้ได้อย่างไร”
“ท่านระวังตัวหน่อยเถอะครับ…” ชายถือกล่องวิกาลเอ่ยอย่างจนใจเช่นกัน
“ไปเถอะ ปิดล้อมรอบๆ ไว้ก่อน นอกจากนี้ให้แจ้งพวกอาจารย์กับศาสตราจารย์ในคณะอื่นว่าอย่าให้คนเข้าออกที่นี่ชั่วคราว” เวลส์เดินกลับทางเดิม ขอแค่ยืนยันได้ว่าที่นี่ไม่เกิดเรื่องก็พอ ที่เหลือมหาวิทยาลัยแห่งนี้ย่อมจัดการเอง
ทั้งสองหายเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว
ส่วนสนามรบที่เกิดจากการต่อสู้ของลู่เซิ่งและแบล็กเชอร์รี่ อันเป็นสถานที่เกิดเหตุ ก็เริ่มฟื้นฟูด้วยตัวมันเอง
เหมือนกับเนื้อกลุ่มใหญ่ขยับขยุกขยิก ถมเติมหลุมทั้งหมด ทุกสิ่งกลับมาสงบตามเดิม
พริบตาเดียว ที่นี่ก็เหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน
…
พอลู่เซิ่งกลับถึงหอพัก ก็โยนเศษผ้าที่เหลืออยู่บนร่างเข้าไปในถังขยะ
นี่เป็นเครื่องแบบตัวที่สองของเขาได้กลายเป็นของชำรุดไปแล้ว ยังดีที่ก่อนหน้านี้เขาซื้อเครื่องแบบมาใส่ตู้เสื้อผ้าทีเดียวสิบกว่าชุด
มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีข้อดีตรงนี้นี่เอง ให้อิสรภาพมากพอ ขอแค่คุณต้องการ คุณจะทำอะไรก็ได้ ขอแค่คุณรับค่าตอบแทนและผลที่ตามมาได้ก็พอ
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม รู้สึกขยะแขยงกับการที่ถูกบีบบังคับให้ลงมืออย่างยิ่ง เกือบแล้ว เขาเกือบจะทำลายมหาวิทยาลัยมิสกาทิ้งไปแล้ว
แม้มหาวิทยาลัยแห่งนี้จะมีไพ่ตายของตัวเองเช่นกัน ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น แต่ต่อให้ทำลายไม่ได้ ก็จะต้องกระตุ้นพลังลึกลับบางอย่างที่ซ่อนอยู่ที่นี่แน่นอน
เขาไม่คิดว่ามหาวิทยาลัยที่ต่อกรกับขุมกำลังของเทพนอกรีตได้จะอ่อนแอ
ที่นี่จะต้องมีตัวตนยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งกว่า และต่อกรกับเทพนอกรีตซึ่งๆ หน้าได้แน่
สิ่งที่เขากังวลก็คืออาจไปกระตุ้นตัวตนเช่นนี้เข้า จนก่อให้เกิดความขัดแย้งที่ประนีประนอมกันไม่ได้ซึ่งนั้นไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ
‘ครั้งนี้โชคดีที่พอจะควบคุมพลังไม่ให้ร่่วไหลออกมามากเกินไปได้ ดูท่าครั้งนี้ต้องพยายามยกระดับพลังควบคุมแล้ว’
ลู่เซิ่งขบคิด
‘การควบคุมพลังใดก็ตามแต่หลักๆ แล้วมาจากการควบคุม ลองฝึกการบังคับที่มีความยากกว่าเดิม เพื่อทำให้จิตของตัวเองยืดขยายไปถึงทุกส่วนของปราณปฐพีเหมือนเงาตามตัว น่าจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง’
เขาก็เป็นปรมาจารย์มรรคายุทธ์ เลยมีความรู้และประสบการณ์เหนือกว่าคนธรรมดา ไม่นานก็คิดวิธีฝึกฝนออก
ซู่
ลู่เซิ่งกระจายปราณปฐพีที่อ่อนเบาบางถึงขีดสุดออกมาจากในร่าง
เขาเพียงแค่ปล่อยปราณปฐพีออกมาเพียงสายเดียว จากนั้นก็ใช้พลังจิตทั้งหมดของตัวเองสำรวจและควบคุม
ไม่นานนักปราณปฐพีสายนี้ก็ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์ สามารถสั่งการได้เหมือนแขนขา ถัดมา เขาก็เพิ่มปราณปฐพีอีกสาย
หลังจากใช้ร่างกายของแจ๊คควบคุมได้ดั่งใจนึกแล้ว ก็เพิ่มอีกสาย ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา จนกระทั่งปราณปฐพีทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ และถึงขีดจำกัดที่กายเนื้อของแจ๊คจะไปถึงได้
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า และไปเข้าร่วมหลักสูตรพิเศษตอนกลางคืนเสร็จ เขาก็ตั้งใจฝึกฝนพลังควบคุม และจัดระเบียบวิธีฝึกฝนการควบคุมอยู่ที่ห้องตลอดเวลา ใช้เวลาทั้งคืน เขาค่อยสรุปวิธีควบคุมทั้งหมดที่คิดออกชั่วคราวได้ กลายเป็นวิชาควบคุมแบบผสมผสานวิชาหนึ่ง
จากนั้นลู่เซิ่งก็ใช้ดีปบลูปรับแต่งจนถึงระดับเก้าสิบเก้าในทีเดียว เช่นนี้จึงทำให้พลังของร่างหลักที่หมุนเวียนอยู่ในร่างเสถียรได้
เขายกระดับเร็วเกินไป พลังจึงขยายเป็นหลายเท่าตัวของตอนที่เพิ่งจุติมายังโลกใบนี้ การเสริมความแข็งแกร่งอย่างยิ่งใหญ่แบบนี้ก่อให้เกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้นชั่วขณะ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
เป็นเพราะเขามีดีปบลู ไม่อย่างนั้นหากเป็นคนอื่น ตอนนี้คนทั้งมหาวิทยาลัยคงรู้เรื่องปิดบังใครไม่ได้อีกต่อไป
หลายวันมานี้ ลู่เซิ่งพยายามสรุปวิธีฝึกฝนพลังควบคุม ด้วยประสบการณ์ด้านมรรคายุทธ์ของเขา ใช้เวลาห้าคืนติดต่อกันก็สรุปวิธีฝึกฝนห้าชนิดออกมาได้ และหลังจากฝึกฝนจนถึงขีดจำกัด เขาค่อยสะกดความแตกต่างของพลังอันมหาศาลที่เกิดจากการยกระดับในครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์
ตอนที่เขาควบคุมพลังที่เพิ่งยกระดับได้อย่างยากลำบาก มหาวิทยาลัยก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
มีคนหายตัวไปอีกแล้ว!
และนักศึกษาที่หายตัวไปในครั้งนี้ ยังทิ้งเสื้อผ้าที่สวมใส่ทั้งหมดไว้ที่เดิม ไม่ว่าจะเป็นเสื้อในหรือเสื้อนอก
ฟึ่บ
ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าห้องสมุด ปล่อยให้สมาชิกสภานักศึกษาที่อยู่ด้านข้างใช้ของทรงสี่เหลี่ยมสีดำที่เหมือนกับหวีกวาดไปกวาดมาบนร่าง เหมือนตรวจสอบบางอย่าง
“ปลอดภัย เข้าไปได้” คนจากสภานักศึกษาพูดกับลู่เซิ่งเสียงเบา เห็นได้ชัดว่าเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย คนอื่นที่อยู่รอบข้างก็เช่นเดียวกัน คงถูกลากตัวมาเฝ้ายามตั้งแต่เช้า
วันนี้ลู่เซิ่งตื่นแต่เช้าตรู่ ออกมากินข้าวเช้าและไปห้องสมุด สิ่งที่เห็นก็คือสภาพตึงเครียดเช่นนี้
ครั้งนี้แตกต่างจากหลายครั้งก่อนหน้า ดูเหมือนทางมหาวิทยาลัยจะให้ความสำคัญอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกที่ในรั้วมหาวิทยาลัยจะมีสมาชิกจากสภานักศึกษาคอยลาดตระเวนอยู่
สมาชิกพวกนี้เป็นนักศึกษาทั้งหมด ทั้งยังเป็นนักศึกษาชั้นปีสูง ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับนักศึกษาใหม่ สายตาของพวกเขาคมกริบและล้ำลึก เหมือนกับไม่ว่าจะเห็นสิ่งใดก็ไม่มีทางตื่นตระหนก
ลู่เซิ่งเข้าไปในห้องสมุด หาข้อมูลที่ตัวเองต้องการเจออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จำไว้ ก่อนจะออกมา หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ด้านนอกยังคงมีนักศึกษาจากสภานักศึกษาเฝ้าอยู่
แต่สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายก็คือ มีหญิงสาวสวมสูทขาวคนหนึ่งยืนถือบุหรี่รอเขาอยู่ที่หน้าประตู
“คุณคือแจ๊ค เทาซันด์หรือ” พอเห็นลู่เซิ่งออกมา เธอก็บี้ก้นบุหรี่กับฝ่ามือ
“ฉันคือหัวหน้ากองพัฒนานักศึกษาของสภานักศึกษา จะเรียกฉันว่าเซียราก็ได้” เธอยื่นมือออกมาให้ลู่เซิ่งจับ
“สวัสดี มีธุระอะไรกับผมงั้นหรือ” ลู่เซิ่งถามอย่างสงสัย
“เกี่ยวกับแอนดี้น่ะ เมื่อคืนก่อนเขาจะออกจากห้องได้พูดอะไรกับคุณไหม” เซียรากดเสียงถามอย่างเคร่งขรึม
“เมื่อคืนหรือ ไม่มีอะไรนี่ครับ เมื่อวานผมไม่เจอเขาเลย เขาเป็นอะไรงั้นหรือ” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างแปลกใจ
เซียราในสูทขาวส่ายหน้าเล็กน้อย
“เปล่า เพียงแต่…ถ้าเขาเกิดอะไรผิดปกติขึ้น คุณที่สนิทกับเขามากที่สุดจะต้องแจ้งพวกเราทันที หรือจะแจ้งอาจารย์ที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้ อย่าถามว่าทำไม เพราะนี่เป็นผลดีกับคุณเอง”
“เกิดอะไรขึ้นจริงๆ ด้วยสินะ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “ตกลง ผมเข้าใจแล้ว ผมจะคอยสังเกตการเปลี่ยนแปลงของแอนดี้เอง ถ้ามีความผิดปกติอะไร จะแจ้งทางมหา’ลัยทันที”
“อืม ระวังความปลอดภัยด้วย อย่าไปกระตุ้นเขาเข้าล่ะ” เซียราไม่ได้จุดบุหรี่ที่เหลืออยู่ แต่กัดไว้แทน จากนั้นก็เดินออกไป
ลู่เซิ่งมองตามเงาหลังของเธอ
‘น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ แล้วสิ…ครั้งก่อนเราก่อเรื่องขนาดนั้น มหา’ลัยไม่เห็นดูดำดูดี แต่พอแอนดี้เกิดเรื่องนิดหน่อย กลับกระตือรือร้นขนาดนี้เชียว… ’
เขาที่ยืนอยู่ที่เดิมเกิดความคิดพร่ามัวมากมายในสมอง แต่ไม่เป็นรูปเป็นร่างเลยสักนิด เลยคร้านจะคิดมาก มุ่งหน้ากลับหอพักตน
……………………………………….