ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 842 พัฒนาการ (2)
นับตั้งแต่พบว่าตนเองควบคุมพลังไม่ดีพอ ลู่เซิ่งก็ใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ ถึงจะจัดการได้
ครั้งนี้พื้นฐานของเขามั่นคงอย่างแท้จริง สามารถยกระดับต่อได้แล้ว
ในร่างเขายังอาจจะมีนาฬิกาที่นับถอยหลังของเทพนอกรีตอยู่อีกเรือน หากไม่พยายามสักหน่อย เมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่แน่ว่าจะจัดการมันได้
เมื่อกลับถึงหอพัก ลู่เซิ่งก็ปิดหน้าต่าง ปิดผ้าม่านและถอดเสื้อผ้าออก
ขณะมองห้องว่างเปล่า ความจริงเขาก็เอียนอยู่บ้างเหมือนกัน ฝึกฝนอย่างหนักมาโดยตลอด ไม่มีการปรับลดน้อยลงหรือหาความบันเทิงเลย เอาแต่เพิ่มความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จึงเริ่มชักจะหงุดหงิดบ้างแล้ว
‘หลังยกระดับรอบนี้เสร็จ กลับไปดูทางครอบครัวของแจ๊คสักหน่อยดีกว่า’
เขานั่งขัดสมาธิลงกลางพื้น เริ่มปรับสภาพ
‘ดีปบลู’ เขาเรียกอินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมา
อินเตอร์เฟซสีฟ้าปรากฏขึ้นในครรลองสายตา
ลู่เซิ่งกดปุ่มปรับเปลี่ยนของเครื่องมือปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย มองดูอินเตอร์เฟซสั่นเบาๆ ขณะเข้าสู่สภาพปรับเปลี่ยน
‘ยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงถึงระดับที่ยี่สิบ’
ลู่เซิ่งเริ่มยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงตามมาตรฐานของมหาวิทยาลัยมิสกา ประมวลกฎเกณฑ์ชุดนี้มีประสิทธิผลสำคัญที่อลังการถึงขีดสุดต่อตัวเขา
เพียงแค่ฝึกฝนยกระดับถึงขั้นสูง ร่างหลักของเขาก็มีพลังเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว จนเข้าสู่ระดับแปรสัจจะแล้ว
ช่างน่าเหลือเชื่อโดยแท้
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า ธรรมชาติของโลกใบนี้เหมือนจะมีส่วนช่วยเหลือต่อชีวิตอันประกอบมาจากจิตวิญญาณบริสุทธิ์เช่นมารสวรรค์อย่างใหญ่หลวง
สภาพแวดล้อมของที่นี่มีสิ่งที่มีประโยชน์ต่อมารสวรรค์ถึงขีดสุดดำรงอยู่เป็นจำนวนมาก
เขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร แต่เขารู้ว่าร่างหลักของตนก้าวข้ามขอบเขต บรรลุระดับใหม่ๆ เพราะได้ดูดซับสิ่งเหล่านี้เช้าไป
ซู่…
มีเสียงดังแผ่วเบา ลู่เซิ่งสัมผัสได้ว่าพลังอาวรณ์ในทรวงอกหายไปหนึ่งพันหน่วย พลังอาวรณ์หนึ่งพันหน่วยนี้กลายเป็นพลังประหลาดโดยใช้เวลาไม่นาน แล้วหลั่งไหลเข้าสู่อวัยวะสัมผัสที่หกบนแขนขวา ก่อนจะหายไป
ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงสามสิบหกระดับยกระดับถึงระดับที่ยี่สิบแล้ว แต่ลู่เซิ่งกลับรู้สึกว่าไม่ต่างอะไรจากก่อนหน้าเลย
‘น่าจะเป็นเพราะถึงกระบวนการการสั่งสมเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง’ เขาเองก็ไม่รีบร้อนอะไร
‘ยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงถึงระดับที่ยี่สิบเอ็ด’
‘ระดับยี่สิบสอง’
‘ระดับยี่สิบสาม’
ยิ่งยกระดับขึ้นไปเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าอวัยวะสัมผัสที่หกบนแขนขวากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงภายในบางอย่างขึ้น
หลังยกขึ้นสิบระดับ ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงก็บรรลุถึงระดับยี่สิบเก้า ลู่เซิ่งจึงรู้สึกว่าร่างกายรับไม่ไหวเล็กน้อย จึงหยุดเอาไว้ก่อน
เขาดูพลังอาวรณ์ การปรับเปลี่ยนยกระดับในหลายๆ ครั้งตลอดสองสามวันมานี้ ทำให้พลังอาวรณ์ถูกใช้ไปหลายหมื่นหน่วย
แม้เขาจะยังเหลือพลังอาวรณ์อีกสามล้านกว่าหน่วย แต่การยกระดับในช่วงหลังๆ ก็ยิ่งสิ้นเปลือง
‘ต้องหาวิธีดูดซับพลังอาวรณ์แล้ว…’ ลู่เซิ่งเริ่มรู้สึกว่าพลังอาวรณ์ของตนไม่พอใช้แล้ว
‘ในเมื่อมหาวิทยาลัยมิสกาได้ชื่อว่ามีห้องสมุดที่เก่าแก่ที่สุด อย่างนั้นสถานที่บางแห่งในห้องสมุดจะต้องมีหนังสือหายากอยู่แน่นอน บางทีหนังสือพวกนี้อาจจะดูดซับพลังอาวรณ์ไว้ไม่น้อยด้วย’
ลู่เซิ่งฉุกนึกขึ้นได้ว่าห้องสมุดราตรีแตกต่างกับห้องสมุดทิวา ที่นั่นอันตรายและพิสดารยิ่ง และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หนังสือส่วนใหญ่ในนี้อาจเป็นหนังสือหายากหรือไม่ก็หนังสือต้นฉบับที่มีอายุยาวนาน พลังอาวรณ์ที่สั่งสมไว้ย่อมต้องเยอะมากอย่างแน่นอน
‘หนังสือที่เราสัมผัสมาเป็นฉบับพิมพ์ทั่วไปตลอด ยังไม่เคยสัมผัสหนังสือหายากจากที่นี่สักครั้ง คืนพรุ่งนี้ต้องไปลองเสียหน่อย’
พอยกระดับจนเหนื่อย ลู่เซิ่งก็ลุกไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อนอนเตรียมจะพักผ่อน
ก๊อกๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังมาจากด้านนอก
“ใคร” ลู่เซิ่งเอ่ยปากถาม
“ฉันเอง…” เสียงของแอนดี้ดังขึ้นด้านนอกอย่างเคร่งเครียด
ลู่เซิ่งหมดคำพูด เหลือบดูนาฬิกาแขวนผนัง เป็นเวลาสี่ทุ่มครึ่ง ดึกขนาดนี้ควรจะนอนได้แล้ว อยู่ๆ ก็โผล่มาทำอะไร
เขารีบเดินไปเปิดประตู
สีหน้าแอนดี้เหนื่อยล้า สองตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด เสื้อผ้ายับยู่ มองดูก็รู้ว่าไม่ได้อาบน้ำมานาน
“เพื่อน…ฉัน…พอเห็นคุณ…ดีจริงๆ…” เหมือนเขาจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับเปลี่ยนคำพูดกะทันหัน กลายเป็นว่าคำพูดไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบระเบียงรอบไม่มีใครอื่นเลย มีเพียงแอนดี้ยืนอยู่คนเดียว
“เข้ามาก่อนเดี๋ยวค่อยคุยกัน” ลู่เซิ่งดึงเขาเข้ามา แล้วปิดประตู
พอประตูปิดลงดังแกร๊ก ทั้งสองก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะอ่านหนังสือ ลู่เซิ่งรินชาให้แอนดี้ แล้วมองเขายกชาขึ้นจิบคำเล็กๆ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอยู่ชั่วขณะ
ทั้งสองนั่งอยู่เฉยๆ กันพักหนึ่ง
แอนดี้เริ่มตั้งสติขึ้นมาได้บ้าง
“แจ๊ค…ขอถามคุณสักอย่างได้ไหม”
ลู่เซิ่งวางแก้วลง
“ว่ามาสิ เหมือนนายว่าจะไปเจอปัญหาอะไรเข้าแล้ว มีอะไรที่ฉันช่วยได้ไหม”
แอนดี้พยักหน้า จากนั้นก็หัวเราะ
“มีเรื่องนิดหน่อย เลยเข้าใจอะไรๆ ขึ้นเยอะเลย” เขาใช้มือวาดเป็นวงกลมข้างแก้ว
นิ่งงันไปครู่หนึ่ง เขาจึงเริ่มเอ่ยปาก
“ฉันอยากถามว่า ถ้าวันหนึ่งคุณพบว่าตัวเองกำลังกลายเป็นคนประเภทที่ตัวเองเกลียดที่สุด และพบว่าต้นตอความเจ็บปวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตทั้งหมดทั้งมวลก็คือตัวคุณเอง คุณจะทำอย่างไร”
“ก่อนหน้านี้นายไปเจออะไรเข้าล่ะ ทำไมอยู่ๆ ถึงได้เริ่มไตร่ตรองความหมายของชีวิตขึ้นมา” ลู่เซิ่งถามอย่างแปลกใจ
“คุณตอบคำถามฉันก่อนเถอะ” แอนดี้ฟุบลงบนโต๊ะ เหมือนไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลืออีก
ลู่เซิ่งครุ่นคิดเพียงหนึ่งวินาที
“ฉันจะแก้ไขชีวิตที่ผิดพลาด แล้วใช้ชีวิตต่อไป”
แอนดี้งุนงง เหมือนนึกไม่ถึงเลยสักนิดว่าลู่เซิ่งจะตอบแบบนี้
“คิดให้ดีสิ นายคิดว่าชีวิตของตัวเองในตอนนี้ไม่ปกติเพราะอะไร เพราะข้อผิดพลาดเหรอ ไม่แน่ว่านายคนก่อนต่างหากที่ไม่ปกติ ตอนนี้แค่กลับมาเป็นแบบเดิมแค่นั้นเอง” ลู่เซิ่งอธิบาย
“ฟังแล้วเหมือนจะมีเหตุผลมากทีเดียว” แอนดี้ลูบคางขบคิด “แต่ถ้าคุณพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างของคุณเป็นบทละครที่คนอื่นวางแผนไว้ จะทำอย่างไรดีล่ะ” นัยน์ตาของเขาฉายแววเจ็บปวดเจือความจนปัญญาเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ฉันจะฆ่าคนที่วางบทละครทิ้งซะ” ลู่เซิ่งตอบอย่างรวบรัด “ขอแค่เป็นคน ก็ตายได้”
“แต่ถ้าตัวเองไม่แข็งแกร่งเท่าอีกฝ่าย ไม่มีทางก้าวข้ามอีกฝ่ายได้ล่ะ” แอนดี้ถามอีก
“ก็คิดหาวิธีก้าวข้ามมัน”
“ความต่างชั้นอย่างมากมายมหาศาลเลยนะ…”
“งั้นก็หาวิธีร่นระยะห่าง”
“แต่ถ้าร่นไม่ได้ล่ะ”
“ก็หาวิธี”
“ถ้าแม้แต่วิธีก็คิดไม่ออกล่ะ”
“ก็ต้องคิดต่อไป”
“…”
แอนดี้มองลู่เซิ่งด้วยสีหน้าเหยเก พูดในใจว่าสมกับเป็นนักศึกษารุ่นใหญ่มากพรสวรรค์ที่เก่งกาจที่สุดในชั้น ด้วยแนวคิดเช่นนี้ คนธรรมดาอย่างเขาตามไม่ทันจริงๆ
“ยังมีปัญหาอีกไหม” ลู่เซิ่งยกแก้วขึ้นดื่มอึกหนึ่ง
“ไม่…ไม่มีแล้ว…” แอนดี้ค่อยๆ ลุกขึ้น พอจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคเมื่อครู่นี้
“เหมือนว่าฉันจะดีขึ้นบ้างแล้ว ขอบคุณนะเพื่อน”
เขาขบคิดแล้วจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วหยิบเครื่องประดับโลหะทรงขนมเปียกปูนสีแดงเลือดก้อนหนึ่งออกมาจากด้านในอย่างเบามือ
“ให้คุณ” เขาโยนให้ลู่เซิ่ง “หวังว่าคุณคงจะไม่มีเวลาที่ต้องใช้มันนะ”
ลู่เซิ่งรับไว้ พิจารณาดูคร่างๆ ก็ไม่พบว่ามันจะมีประโยชน์อะไร
“ฉันกลับก่อนนะ”
“อืม”
แอนดี้เปิดประตู แล้วเดินออกไปอย่างเกียจคร้าน จากนั้นประตูเบื้องหลังเขาก็ปิดลงดังแกร๊ก
เขาก้มหน้าลงมองหน้าอกตัวเอง ในเนื้อใต้เสื้อผ้ามีวัตถุประหลาดบางชนิดกำลังงอกเงยออกมา
เขารู้ว่ามันคือสิ่งใด นั่นคือกาฝากอย่างหนึ่งที่ฝังตัวบนร่างเขา หลายวันก่อนหน้านี้ เขาระเบิดพลังในวิกฤติการณ์ครั้งหนึ่งอย่างกะทันหัน จึงพบสถานะที่แท้จริงของตัวเอง
ความจริงแล้วเขาเป็นตัวตนโบราณที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่ง เป็นร่างสิงสู่ที่อยู่บนโลกมนุษย์ และเมื่อถึงเวลาหนึ่ง ก็จะระเบิดพลังออกมาอย่างสมบูรณ์กลายเป็นร่างสัตว์ประหลาด
เขากับพ่อเคยเจอร่างสิงสู่เช่นนี้มาไม่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงก็คือ ตนเองจะเป็นตัวตนระดับสูงสุดท่ามกลางร่างสิงสู่ทั้งหลาย เทียบกับร่างสิงสู่ทั่วไปแล้วตำแหน่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ความรู้สึกเมื่อครู่นี้เหมือนกับ…เขาเป็นบุตรของสัตว์ประหลาดที่มีนามว่าปีศาจอีกา ขีดจำกัดทางอำนาจหลายอย่างจึงแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
‘บางทีเราควรจะออกจากมหา’ลัย ไปใช้ชีวิตคนเดียวในป่าร้างที่ไม่มีผู้คน’ แอนดี้มองสองมือของตัวเอง ผิวข้างใต้มีสิ่งที่เหมือนกับเส้นด้ายกำลังวนเวียนโป่งพองคล้ายกับแมลง
ในห้องพัก
ลู่เซิ่งยืนยืดกล้ามเนื้อ
‘ไปช่วยลูกแกะหลงทางเข้าอีกแล้วแฮะ…เหมือนเราจะรู้แล้วว่าทำไมเราถึงได้ถูกชะตากับหมอนี่นัก’
คลื่นพลังเมล็ดกาฝากอยู่ใกล้ขนาดนั้น ต่อให้เขาสัมผัสไม่ได้ พลังของเทพนอกรีตบนร่างเขาก็แปรปรวนอยู่ดี สัญญาณที่ชัดเจนแบบนี้มีแต่มือใหม่อย่างแอนดี้เท่านั้นที่ไม่รู้
“ดูท่าโลกใบนี้จะมีความลับล้ำลึกกว่าที่เราจินตนาการไว้เสียอีก…ต้องเร่งมือยกระดับพลังแล้ว!”
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ
‘ตอนแรกว่าจะวางรากฐานอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ดูจากตอนนี้ เวลาไม่คอยท่าแล้ว เวลาของแอนดี้ยังสั้นกว่าของเราอีก! คิดจะจับปลาสองมือ ไม่ทุ่มเทเสียหน่อยคงไม่ไหวแน่’
เขาเดินไปถึงกลางห้อง มองตำแหน่งที่ตนเองนั่งก่อนหน้านี้อย่างลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกัดฟัน
“ช่างมัน ยกระดับอีกสักสองสามระดับ! ร่างกายจะรับภาระสักหน่อยก็ไม่เป็นไร สิ่งสำคัญคือต้องเพิ่มความเร็วขึ้น”
เขาถอดเสื้อและนั่งลงอีกครั้ง
‘ดีปบลู!’
…
เช้าตรู่วันต่อมา ลู่เซิ่งตื่นขึ้นมาเพราะอาการปวดหัว
เขายกระดับเร็วเกินไป จิตวิญญาณร่างหลักเพิ่มปริมาณขึ้นมากกว่าครึ่ง ขอบเขตแปรสัจจะยกระดับในหนึ่งคืน มาถึงขอบเขตแปรสัจจะที่สองแล้ว
นี่เป็นสิ่งที่ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงนำมาให้
เพื่อยกระดับ ลู่เซิ่งได้ใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี ขนาดการทบทวนเตรียมสอบก่อนหน้านี้ก็ยังไม่เพียรพยายามถึงเพียงนี้ด้วยซ้ำ นี่แทบจะเป็นการทำร้ายตัวเองทางอ้อมเพื่อยกระดับแล้ว
‘เหลือเวลาอีกไม่นาน ครั้งต่อไปน่าจะวิวัฒนาการรูปแบบที่สี่ได้แล้ว’ หลังจากไต่ระดับด้วยระบบของโลกใบนี้อย่างต่อเนื่อง ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้อีกว่า จักรวาลของที่นี่มีพลังงานอันน่าอัศจรรย์นับไม่ถ้วนล่องลอยวนเวียนอยู่ทุกที่
อวัยวะสัมผัสที่หกที่มีพลังงานพวกนี้เกาะติดอยู่ก็พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเร่งความเร็วกับเพิ่มขีดจำกัดในร่างกายของเขาเป็นระยะอีกด้วย
นี่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้จิตวิญญาณของร่างหลักเพิ่มระดับได้อย่างพุ่งทะยาน
ลู่เซิ่งลุกขึ้นสะบัดศีรษะ หยิบขนมปังที่ซื้อมาเมื่อวานใส่ปาก จากนั้นก็ใช้มือยัดหนวดหลายเส้นที่มุดออกมาจากรูจมูกกลับไป
‘พลังอาวรณ์ที่สูญเสียไปในช่วงหลังมานี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะมีประมวลกฎเกณฑ์ฉบับต่อไปเหลืออยู่อีก จะใช้แค่พลังอาวรณ์อย่างเดียวไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องอุดรูรั่วเผื่อไว้ด้วย’
……………………………………….