ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 844 ตำแหน่ง (2)
ลู่เซิ่งที่เพิ่งดื่มน้ำแกงไปได้คำหนึ่ง พอได้ยินก็พลันต้องสำลักออกมา จนเกือบเอาหนวดออกมาด้วย
“แล้วไงต่อ”
“แล้วไงอะไรอีกล่ะ” แอนดี้ถลึงตา “เป็นคุณไม่ตกใจหน่อยเหรอ ไม่กลัวเลย? นี่มันยุครุ่งเรืองแล้วนะ เป็นเวลาที่พวกเราพัฒนาอย่างยิ่งใหญ่ ไม่แน่ว่าในอนาคตพวกเราอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเพราะสาเหตุนี้ก็ได้”
“ฉันไม่อยากเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว คุณครับ รบกวนขออีกใบครับ ขอบคุณครับ”
ลู่เซิ่งส่งกะละมังเปล่าที่กินหมดแล้วให้บริกร ช่วงนี้เขากินจุขึ้นอีกแล้ว
“คุณเป็นหมูหรือไง!? พระเจ้าช่วย!” แอนดี้เพิ่งสังเกตเห็นว่าลู่เซิ่งใช้กะละมังกินข้าว…
“จริงสิ ตอนนี้เจ้าคาฟิสนั่นเป็นยังไงบ้าง” ลู่เซิ่งนึกขึ้นได้ จึงถือโอกาสถาม
แอนดี้งุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็ชี้ไปยังภาพขาวดำที่อยู่เยื้องไปขวามือ
“ก็อยู่นั่นไง”
ลู่เซิ่ง “…”
“ภาพถ่ายของนักศึกษาที่ได้รับการยืนยันว่าตายไปแล้วแต่ไม่พบศพเมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่ตรงนี้ เห็นหรือยัง ภาพที่สามนั่นแหละเขา เจ้าหนูน่าที่น่าสงสาร…มีความสุขได้ไม่กี่วันเอง…ไม่รู้ว่าคนในครอบครัวเขาจะคิดยังไง คงจะร้องไห้แทบเป็นแทบตายมั้ง ยังไงเขาก็เป็นลูกคนเดียว…” แอนดี้รำพึงรำพัน
บนกำแพงด้านขวาของโรงอาหารแขวนภาพถ่ายไว้แถวหนึ่ง ทั้งหมดคือนักศึกษาที่หายสาบสูญ หรือไม่ก็ตายเพราะเรื่องต่างๆ ลู่เซิ่งมองภาพที่สามอย่างละเอียด
ใบหน้าคาฟิสประดับรอยยิ้มบางๆ ดูมั่นใจในตัวเอง และกระตือรือร้น เป็นเด็กดีคนหนึ่ง…
“เมื่อวานฉันเห็นเออร์นีกับสาวใช้ของเธอออกมาจากโรงพยาบาล คุณก็รู้ ปกติฉันต้องคอยหาหยูกยาให้พวกสาวๆ ก็เลยต้องไปที่นั่นอยู่บ่อยๆ ตอนนั้นฉันเห็นผู้หญิงคนนั้นเดินออกมากับสมาชิกสมาคมเดอลันด์ที่เธอก่อตั้งขึ้นพลางพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการเงินของกลุ่มด้วยท่าทีหนักใจ สมาคมเดอลันด์ใกล้จะดำเนินต่อไปไม่ไหวแล้ว เงินทุนจากตระกูลซีเฟอลุสเกิดปัญหาใหญ่ ก่อนหน้านี้ยังพอประคับประคองไว้ได้ แต่ตอนนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ…” เห็นได้ชัดว่าแอนดี้มีความสามารถสื่อสารทำข่าวได้ดีมาก พูดได้เป็นฉากๆ
“จริงสิ เมื่อก่อนมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องถูกสะกดรอยตาม ตอนนี้จัดการได้แล้วเลยชื่นมื่นสุดๆ! วันหยุดสุดสัปดาห์ฉันนัดเพื่อนสองคนไปปิกนิกกัน อยากไปด้วยกันไหม” แอนดี้ชวนอีกครั้ง
“เพื่อนเหรอ ผู้หญิงอีกล่ะสิ”
“คุณคิดอะไรอยู่เนี่ย เพื่อนจริงๆ รู้จักตอนผจญภัยครั้งก่อนน่ะ เธอช่วยฉันไว้ อย่าล้อกันฉันล่ะ” แอนดี้โบกมือ “ไปเถอะนะ พวกคุณเป็นเพื่อนฉัน ฉันอยากให้คุณได้รู้จักกับทุกคน อยู่คนเดียวสังคมคุณคับแคบเกินไปแล้ว เป็นแบบนี้ต่อไปจะไม่ไหวเอานา”
“เหมือนว่าหลายวันมานี้นายจะเจออะไรมาเยอะเอาเรื่องนะ” ลู่เซิ่งมองเขาอย่างประหลาดใจ
“ใช่แล้ว เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดแหนะ…” แอนดี้ถอนใจ แต่เหมือนติดอะไรอยู่บางอย่าง เลยบอกลู่เซิ่งไม่ได้ “บอกมาคำเดียว ไปหรือไม่ไป!”
“ไม่ไป” ลู่เซิ่งรับกะละมังข้าวที่บริกรยกมาเสิร์ฟวางลงบนโต๊ะ แล้วเริ่มกินต่อ
“แบบนี้ไม่ไหวนะ…” แอนดี้ท้อแท้แล้ว
“ไม่เป็นไร นายตามสบายเถอะ ไม่ต้องสนใจฉันหรอก ฉันชอบเรียน ไม่ได้สนใจเรื่องอื่น” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง
“…ก็ได้…แล้วแต่คุณเถอะ ตอนบ่ายมีเรียน ช่วยเช็กชื่อแทนฉันด้วยล่ะ!” แอนดี้เตือน
“ตอนบ่ายนายโดดไม่ได้หรอก หลังเรียนเสร็จจะมีโจทย์ให้วิเคราะห์ เป็นคาบเรียนสาธิตภายนอก เราอยู่กลุ่มเดียวกัน” ลู่เซิ่งปฏิเสธอย่างแน่วแน่
“บ้าเอ๊ย…” แอนดี้กุมหน้า
ขณะคุยกันไปด้วย ทั้งสองก็กินข้าวเที่ยงเสร็จอย่างรวดเร็ว แล้วแยกย้ายกันกลับไปพักผ่อนที่หอพัก พอตกบ่ายก็ไปถึงตึกเรียนด้วยกัน
อาจารย์สอนคือโทเลย์ สาวงามที่เพิ่งกลับมาจากนอกมหาวิทยาลัยคนนี้ สวมชุดหนังรัดรูปสีดำขับเน้นรูปร่างอย่างสมบูรณ์ ผมยาวดำเงางามคลอเคลียลงมาราวกับผ้าไหม ให้ความรู้สึกเก่งกาจ ทะมัดทะแมงและเซ็กซี่อย่างมากด้วยเช่นกัน
ลู่เซิ่งกับแอนดี้นั่งลง ก่อนจะพบอย่างงุนงงว่า นอกจากนักศึกษาคนอื่นในชั้นเรียนแล้ว คาบเรียนนี้ยังมีรุ่นพี่ปีสองปีสามอยู่ไม่น้อยอีกด้วย
เสียงกริ่งดังขึ้น
โทเลย์หันหลังไปเขียนบนกระดานดำ
‘กลไกความโกลาหล: กลไกไร้ตรรกะหลังจากการรับรู้พร่ามัว’
จากนั้นเธอก็หมุนตัวมาหาทุกคน
“บางทีในหมู่ทุกคนที่นั่งอยู่อาจจะมีบางคนข่าวสารฉับไวรู้ว่าด้านนอกเกิดอะไรขึ้น ถูกต้อง…ผู้เฝ้าปราการสูญสิ้นแล้ว ตัวตนชั่วร้ายนับไม่ถ้วนในห้วงความว่างเปล่ากำลังจุติมายังโลกใบนี้ พวกมันไม่อาจใช้ร่างมันจุติลงมาได้ แต่จิตของพวกมันมุดเข้าช่องโหว่ภายในจิตใจมนุษย์ได้จากทุกทิศทุกทาง”
เธอปรบมือ
“ศักยภาพของพวกคุณแตกต่างจากสายพิเศษและสายต้องห้าม เงื่อนไขที่ทางมหา’ลัยกำหนดให้พวกคุณก็ย่อมแตกต่างไปด้วย แค่ต้านทานการปนเปื้อนของห้วงความว่างเปล่าได้ก็พอแล้ว ดังนั้นคาบนี้ ฉันจะอธิบายวิธีต้านทานการปนเปื้อนจากห้วงความว่างเปล่าให้พวกคุณฟัง หากจะป้องกันการปนเปื้อนจากห้วงความว่างเปล่า พวกเราจะต้องใช้งานกลไกโกลาหลที่อยู่ในตัวของเรา”
ทฤษฎีนี้แปลกใหม่อย่างยิ่ง ไม่นานลู่เซิ่งก็ถูกโทเลย์พาดำดิ่งลึกเข้าไป
คาบเรียนใช้เวลาสี่สิบห้านาที สามสิบนาทีแรกเป็นการบรรยายทางทฤษฎี ส่วนสิบห้านาทีให้หลังเป็นการเรียกชื่อถามตอบ
โทเลย์ตั้งโจทย์ขึ้นโดยดัดแปลงรูปแบบของทฤษฎีที่บรรยายเมื่อครู่ แล้วเรียกนักศึกษาให้ลุกขึ้นตอบ
นักศึกษาหลายคนถูกเรียกให้ลุกขึ้นยืน
“เออร์นี”
เออร์นีก็มานั่งเรียนอยู่แถวหน้าด้วยเช่นกัน เธอเป็นนักศึกษาสายต้องห้าม แต่กลับมานั่งฟังคาบเรียนธรรมดาคาบนี้
“ค่ะ อาจารย์” เออร์นีลุกขึ้น จากด้านหลังรูปร่างเธอดูสะโอดสะองอย่างยิ่ง ผมหนายาวสยาย ผิวขาวยองใย มัดชายเสื้อโชว์สะดือจุ๋มจิ๋มน่ารัก ท่อนแขนเรียวเต่งตึงดุจรากบัวชั้นดี
สองขาเรียวยาวภายใต้กระโปรงสั้นบางเบา ต่อให้มองผ่านถุงน่องสีดำรัดแนบก็ยังเห็นความนุ่มเด้งของผิวพรรณที่มาพร้อมกับความโค้งมนอย่างงดงาม
เออร์นีเป็นนักศึกษาตระกูลจากขุนนางบริสุทธิ์และสง่างามที่สุดในชั้นเรียน ในหมู่นักศึกษาได้รับความนิยมสูงมาก เพิ่งจะลุกขึ้นก็ดึงดูดสายตาคนหมู่มากทันที
“คุณแก้โจทย์ข้อนี้ให้ฉันหน่อย” โทเลย์ชี้โจทย์ที่เพิ่งเขียนบนกระดานดำพลางกล่าวเสียงกังวาน
ช่วงนี้เออร์นียุ่งอยู่กับเรื่องของตระกูลจนหัวหมุน จิตใจจึงอ่อนล้าอยู่บ้าง การเรียนจึงถดถอย พอเห็นโจทย์บนกระดานดำ เธอขบคิดอยู่สามวินาที ก็ตอบออกมา
“ตัวแปร x แทนสูตรเดอซี จะได้สมการออกมา ใช้สมการนี้เป็นสูตรใหม่ แล้วแทนเข้าตัวแปร z…” เธอพูดขั้นตอนการแก้โจทย์ของตัวเองอย่างช้าๆ และถูกโทเลย์แก้ไขอย่างติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง สุดท้ายก็นับว่าตอบได้ถูกต้อง
เห็นได้ชัดว่า สำหรับเธอที่เป็นอันดับหนึ่งของชั้นปีแล้ว โทเลย์ไม่พอใจกับคำตอบนี้นัก
โทเลย์ส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วเรียกชื่อคนต่อไป หลังจากเรียกนักศึกษต่อได้ไม่กี่คน ในที่สุดก็มาถึงแถวลู่เซิ่ง
“ต่อไป แอนดี้”
“…” แอนดี้กำลังหลับฝันหวาน พลันถูกลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้างกระทุ้ศอกงปลุก เขาก็ผุดลุกขึ้น
“คุณบอกฉันหน่อยว่า ถ้าหากรูปแบบที่ห้าในการการเริ่มต้นกลไกโกลาหลเจอเหตุการณ์ประเภทที่เจ็ด จะใช้วิธีไหนแก้ไขได้ ฉันต้องการให้คุณปรับใช้กับทฤกษฎีที่เพิ่งได้เรียนไปเมื่อสักครู่” โทเลย์จ้องแอนดี้อย่างไม่เป็นมิตร เธอคงจะเห็นว่าหมอนี่หลับเข้าแล้ว
“เอ่อ…ผม…เอ่อ…” หน้าผากแอนดี้เหงื่อผุดขึ้น เขาไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลย จึงไม่รู้จะพูดอะไร
“ช่างเถอะ แจ๊ค คุณลองตอบหน่อย” โทเลย์เอือมระอา ก่อนจะชี้ลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้าง
ลู่เซิ่งลุกขึ้น
“ง่ายมากครับ ตามแนวคิดมาตรฐาน พลังของกูลาร์จะจับตัวกันได้สิบสามวิธี การจะแก้ไขสถานการณ์ วิธีที่หนึ่ง ให้วางระบบอักขระ G ไว้บนสุด ถัดจากนั้นให้จัดเรียงวงแหวนดอกชงโค…”
ลู่เซิ่งแก้ไขโจทย์ด้วยคำตอบสิบสามคำตอบได้อย่างง่ายดาย
“ยอดเยี่ยม!” โทเลย์พอใจมาก “คุณทำได้ดีมากทีเดียว ฉันจะพิจารณาแนะนำคุณเข้าร่วมชมรมวางกลยุทธ์ไขคดีไว้ จะได้ลองแก้ปัญหาของจริงดู”
“เป็นเกียรติมากครับ ขอบคุณครับอาจารย์” ลู่เซิ่งค้อมตัวและนั่งลง
เขารู้จักแผนกนี้ เป็นชมรมวางกลยุทธ์ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขโจทย์ยากๆ ในคาบเรียนต้องห้ามที่ทางมหาวิทยาลัยได้รวบรวมเอาไว้
เรียกได้ว่าเป็นการรวบรวมอัจฉริยะที่เก่งกาจในมหาวิทยาลัยมารวมตัวกัน แล้วจำลองเงื่อนไขให้กับพวกเขา เพื่อให้พวกเขาแก้ไขปัญหาในความเป็นจริง เปรียบดั่งกุนซือที่คอยวางกลยุทธ์เลยก็ว่าได้
สำหรับลู่เซิ่งแล้ว หากได้เข้าร่วมเขาก็จะหาข้อมูลได้เพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างแรก อีกอย่างที่สำคัญก็คือ สถานะนี้จะยกระดับอำนาจของเขาในทุกๆ ด้านภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งรวมไปถึงการกำหนดเวลาในห้องสมุด และการใช้ตึกทดลองหมายเลขเก้าที่มีวัตถุดิบพิเศษ
เขาใกล้จะฝึกประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสูงเสร็จแล้ว และในตอนศึกษาประมวลกฎเกณฑ์ขั้นสี่เขาก็พบว่า ต่อให้ปิดประตูพากเพียรฝึกฝนอย่างไรก็ไม่สามารถยกระดับได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป เขายังต้องการสิ่งของและวัตถุดิบพิเศษอีกหลายอย่าง ซึ่งวัตถุดิบสิ่งของพวกนี้จะกระตุ้นพลังแห่งกูลาร์และยีนของห้วงความว่างเปล่าในตัวเขาในฐานะตัวเหนี่ยวนำ แบบนี้ถึงจะก้าวสู่ระดับต่อไปได้
ดังนั้นการช่วงชิงสถานะที่สูงกว่าเดิมในมหาวิทยาลัยจึงเป็นเป้าหมายในปัจจุบันของเขา
และหากบรรลุเป้าหมายนี้เมื่อไร ก็จะส่งผลดีต่อการดูดซับพลังอาวรณ์ด้วยเช่นกัน
พอเลิกเรียน แอนดี้ก็ลากลู่เซิ่งออกจากห้องเรียนด้วยสีหน้าราวกับพ่อตาย
คาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินออกจากห้องเรียนได้ไม่ทันไร ก็มีนักศึกษาคนอื่นวิ่งมาหาเขา
“สวัสดี คุณแจ๊ค ขอถามหน่อยได้ไหมครับ คำอธิบายเกี่ยวกับโจทย์ข้อนี้น่ะ เราอ่านยังไงก็ไม่เข้าใจเลย…”
“ง่ายมาก คุณดูสัญลักษณ์ผิดไปตัวหนึ่ง สัญลักษณ์นี้น่าจะเป็นเพราะคุณคิดว่าใช้ผิด ก็เลยแก้เองใช่ไหมล่ะ ตรงนี้น่าจะเป็นอย่างนี้…” ลู่เซิ่งแก้โจทย์ได้ในทันที
แต่ถัดจากนั้นก็มีสาวคนที่สองวิ่งมาถามอีก
“นี่ก็ง่ายมากเหมือนกัน ทำแบบนี้ แบบนี้…” ลู่เซิ่งอธิบายวิธีคิดโดยใช้เวลาไม่ถึงสามวินาที
หญิงสาวถือสมุดผละไปด้วยใบหน้าเลื่อมใส จากนั้นก็ถึงครามนักศึกษาคนอื่นๆ ที่เพิ่งมาถึงบ้าง
“นี่ง่ายกว่าเดิม…”
“ง่ายมาก…”
“ง่ายกว่าข้อเมื่อกี้เสียอีก”
“นี่ง่ายที่สุด…”
‘อ๊าก…ทนไม่ไหวแล้วโว้ย…!’ แอนดี้คำรามในใจ แต่ทำได้เพียงยื่นมือค้างขณะมองแจ๊คเพื่อนสุดที่รักถูกคนรุมล้อม ต่อให้โจทย์ยากขนาดไหน เมื่ออยู่ในมือเขาก็เหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง มองแวบเดียวก็ตอบได้ทันที
แสงสว่างชนิดนี้เจิดจ้าเสียจนเขาลืมตาไม่ขึ้น
“ถึงได้บอกแต่แรกไงว่าอย่าไปเปรียบเทียบกับสัตว์ประหลาดพวกนี้ ทำลายความมั่นใจตัวเองชัดๆ” มือใหญ่ข้างหนึ่งตบไหล่แอนดี้
แอนดี้หันหลังไปมอง
“ดุ๊ค…นายมาตั้งแต่เมื่อไร”
คนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาคือชายหนุ่มไว้หนวดเครา ด้านข้างอีกฝ่ายคือเออร์นีที่มีท่าทางเหนื่อยล้า
เออร์นีจ้องลู่เซิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่
“พวกนายอยากชวนแจ๊คเข้าสมาคมเดอลันด์หรือไง” แอนดี้เข้าใจเจตนาของพวกเขาทันที
“ไม่ได้หรือไง” ดุ๊คถามยิ้มๆ
“ถ้าเป็นแจ๊ค…ฉันไม่คิดว่าพวกนายจะทำได้หรอก พวกนายไม่มีสิ่งที่เขาต้องการ” แอนดี้ส่ายหน้า
“หือ หมายความว่าไง” ดุ๊คสนใจทันที
“คนอย่างแจ๊คน่ะ…ถ้าให้อธิบายก็คือแข็งแกร่งมาก! แข็งแกร่งซะจนไม่อาจมองตรงๆ ได้เชียวล่ะ!” แอนดี้ใช้คำว่าแข็งแกร่งบรรยายถึงสองครั้งติด
“ถ้าใช้คำบรรยายพิเศษล่ะก็ เขาก็คือตัวตนที่จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ตั้งแต่เกิด ความสามารถเป็นเพียงเครื่องมือของเขา จะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอไม่ใช่ปัญหา เป็นเพราะเขาสามารถแข็งแกร่งได้อย่างไม่หยุดยั้งผ่านความเพียรพยายาม เขามีพรสวรรค์เรื่องร่ำเรียนที่เรียกได้ว่าน่ากลัว พวกนายไม่เคยเห็น ไม่มีทางเข้าใจหรอก”
……………………………………….