ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 847 ปั่นป่วน (1)
“คุณนำไปทดลองกับตัวอย่างดูก่อน จากนั้นหยดสารทดลองตัวที่สามเข้าไป แล้วบันทึกปฏิกิริยา”
“ครับศาสตราจารย์”
ลู่เซิ่งถือตัวอย่างออกจากห้องทดลอง ก่อนจะยัดเข้าปาก เคี้ยวๆกลืน จากนั้นก็เขียนบันทึกการทดลองบนเคาน์เตอร์
“ศาสตราจารย์ การทดลองล้มเหลวครับ” เขากลับห้องทดลองและส่งบันทึกให้ดาห์ล “ผมว่าจำนวนอาจจะไม่พอ ต้องเพิ่มอีกหน่อย”
“จำนวนเหรอ แต่ตัวอย่างเนื้อแบบนี้ต้องเฉือนจากปีศาจขั้นสูงเท่านั้นนะ…ไม่ได้หากันง่ายๆ ด้วยสิ…” ดาห์ลเกาหัวเอ่ยอย่างจนปัญญา “รายงานการทดลองเมื่อครู่ล่ะ สารทดลองที่สามล่ะ ประสิทธิผลเป็นอย่างไร”
ลู่เซิ่งยักไหล่
“น่าเสียดายมาก ผมว่าสารทดลองก็มีจำนวนไม่พอเหมือนกัน”
“งั้นเดี๋ยวฉันจะไปคิดหาวิธี…” ดาห์ลเกาหนังศีรษะ “ทำไมช่วงนี้ถึงใช้ของทดลองเยอะขึ้นเรื่อยๆ กันนะ”
“แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเร็วเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ” ลู่เซิ่งถามอย่างจริงจัง
“ถึงจะพูดแบบนี้ แต่สิ้นเปลืองแบบนี้…เงินทุนจากเบื้องบนไม่แน่จะพอใช้น่ะสิ…” ดาห์ลพูดอย่างปวดหัว
“ศาสตราจารย์ พวกเราได้ผลลัพธ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีคุณภาพน่าตกใจทั้งนั้น เชื่อว่าบอร์ดบริหารคงไม่ปฏิเสธพวกเราเพียงเพราะเงื่อนไขเล็กๆ แค่นี้หรอกครับ” ลู่เซิ่งโน้มน้าว
“เอาเถอะ…อีกประเดี๋ยวฉันจะลองรายงานขึ้นไปดู มานี่สิ เอาตัวอย่างนี่ไปทดลองปฏิกิริยาดู”
“รับทราบครับศาสตราจารย์” ลู่เซิ่งรับจานตัวอย่างใบเล็กไว้ ก่อนจะหมุนตัวเข้าไปในห้องทดลองอีกห้อง เขาเหลือตัวอย่างไว้ทำทดลองนิดหน่อยเท่านั้น ส่วนที่เหลือยัดเข้าไปในปากเกลี้ยง
ชีวิตแบบนี้กล่าวไม่ได้ว่าสะดวกสบาย แต่อย่างน้อยของกินก็ไม่ย่ำแย่
งานในห้องทดลองของสถานวิจัยจบลงอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะใช้วัตถุดิบสำหรับทดลองหมดแล้ว ดังนั้นลู่เซิ่งจึงขอกลับก่อนเวลาได้
เขาพูดคุยกับรุ่นพี่ผู้หญิงที่ทำหน้าที่ทดลองอีกคนระหว่างทางสองสามคำ จากนั้นก็เดินไปทางหอพัก แต่ยังไม่ได้กลับหอ
แต่เลี้ยวไปด้านหลังตึกทดลองแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัย
ในเวลากลางคืน ลู่เซิ่งอาศัยแสงจันทร์ เดินตัดผ่านสิ่งก่อสร้างทรุดโทรมด้านหลังตึก
เขาเดินไปถึงข้างอาคารเรียนร้างที่มีเถาวัลย์และตะไคร่น้ำเกาะเต็มไปหมด
เขตมหาวิทยาลัยถูกรั้วโลหะแบ่งตรงนี้ ด้านหนึ่งคือเขตเรียนใหม่ ด้านหนึ่งคือเขตอาคารที่ทรุดโทรมจนไม่อาจบูรณะได้แล้ว
ลู่เซิ่งข้ามรั้วเข้าไปในเขตอาคารเก่าเบาๆ
เขาเดินเข้าอาคารเรียนหลังหนึ่งอย่างคุ้นเคย แล้วขึ้นบันไดไปถึงห้องรับแขกที่ห่างจากดาดฟ้าเพียงชั้นเดียว
พื้นห้องรับแขกเต็มไปด้วยมีดสำหรับแกะสลักและแม่พิมพ์ สิ่งที่แกะสลักดูคล้ายจะมีร่องรอยที่เหมือนเลือด
เขานั่งเพ่งพินิจลวดลายในห้องรับแขกอย่างละเอียด
นับตั้งแต่คิดได้ที่ริมทะเลสาบในครั้งก่อน ลู่เซิ่งก็ตัดสินใจเคลื่อนไหวใหญ่อย่างแท้จริงเหมือนครั้งอยู่ในโลกมังกรยักษ์
อาศัยเขาเพียงคนเดียว มีขุมกำลังน้อยไปจริงๆ
หลังจากพิจารณาลวดลายเสร็จ ลู่เซิ่งก็ใช้มีดแกะสลักแกะเป็นงูมีปีกขนาดเล็กๆ หลายตัวอย่างบรรจง งูมีปีกพวกนี้มีจำนวนมากมาย เหมือนกับแมลงนับไม่ถ้วนห้อมล้อมห้องรับแขกเป็นวงกลมใหญ่
ลู่เซิ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงก็แกะสลักโถงรับแขกเสร็จ แทนที่จะบอกว่าแกะสลัก ควรจะบอกว่าเขากำลังวาดรูปมากกว่า
ครืดๆ…
ลู่เซิ่งใช้มีดแกะสลักวาดดวงตาของงูมีปีกเป็นอย่างสุดท้าย ก่อนจะโยนมีดทิ้ง
‘จุดที่สองเสร็จสิ้น’
เขาจำเป็นต้องสร้างค่ายกลจุติด้วยจำนวนที่มากพอในมหาวิทยาลัย วิธีการคงสภาพของพลังงานในโลกใบนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องปรับแก้ความรู้ค่ายกลที่ตนเองมีอยู่แต่เดิม
ใช้เวลาของเขาไปไม่น้อย จากนั้นก็เป็นการเลือกจุดจุติในมหาวิทยาลัยหาได้ยากยิ่ง ทุกที่เต็มไปด้วยนักศึกษาลาดตระเวน หากไม่ระวังแม้แต่นิดเดียวก็จะถูกพบเข้าทันที
ดังนั้นสุดท้ายลู่เซิ่งจึงเลือกสร้างจุดจุติในเขตอาคารเก่าที่อยู่ใกล้ๆ
หลังจัดวางค่ายกลเสร็จสิ้น เขาก็แอบออกจากที่นี่ กระแสอากาศที่พ่นออกมาข้างใต้เท้าทำให้เขาไม่ทิ้งรอยเท้าใดๆ ไว้
…
หอคอยนกฮูกสังเกตการณ์มิสกา
ในฐานะที่เป็นหอคอยสังเกตการณ์ที่สูงที่สุดเพียงแห่งเดียวในมหาวิทยาลัย ที่นี่ไม่เพียงสังเกตการคุกคามที่อาจจะโจมตีจากทางอากาศได้ตลอดเวลาเท่านั้น ยังคอยจับตาดูปัญหาอื่นๆ ในดาวเคราะห์อีกด้วย
หัวหน้าหอคอยสังเกตการณ์คือศาสตราจารย์มิเชล เฮาเซน ศาสตราจารย์ชราผู้นี้เฝ้าที่นี่มาเก้าสิบกว่าปีแล้ว
ฟู่
ของเหลวในหลอดแก้วพยากรณ์พุ่งออกมา แล้วเปลี่ยนรูปร่างกลางอากาศอย่างช้าๆ ภายใต้การควบคุมด้วยสองมือของมิเชลเหมือนกับหมอกที่กำลังกระจายตัว
ปากกากับกระดาษที่อยู่ด้านข้างเขาจดข้อมูลและรายการต่างๆ ไว้หลายแถว
มิเชลทำการวัดภูมิอากาศแบบนี้มาหลายปีแล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไร ช่วงนี้เขาถึงรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง ปฏิกิริยาของหลอดแก้วพยากรณ์มีถี่ขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็เริ่มจะควบคุมของเหลวในนั้นได้ลำบากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
“อาจารย์ เป็นอะไรรึเปล่า” นอกห้องทดลองมีเสียงดังเข้ามา
“ไม่เป็นไร…ฉันน่าจะเหนื่อยไปหน่อย…” มิเชลพ่นลมหายใจ ค่อยๆ ควบคุมให้ของเหลวไหลกลับเข้าไปในหลอดแก้วพยากรณ์
ของเหลวกึ่งโปร่งแสงเปลี่ยนรูปร่าง เหมือนกับแมงกระพรุนกำลังบิดหนวด
“อย่าลืมช่วยฉันแจ้งดาห์ลด้วยว่า การพยากรณ์ในช่วงนี้จะล่าช้าหน่อย ทางฉันเจอปัญหาเล็กน้อย มีตัวแปรเพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน” มิเชลเอ่ยอย่างจนปัญญา โบกมือซูบผอม เพิ่มพลังควบคุม บังคับของเหลวกลับเข้าไปในหลอดแก้วพยากรณ์
“รับทราบอาจารย์ แต่ท่านยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยนะ ออกมากินอะไรสักหน่อยค่อยทดลองต่อดีไหม” นอกประตูมีเสียงดังมาอีก
“ใช่แล้วศาสตราจารย์ เดี๋ยวปวดท้องขึ้นมาจะแย่เอานะ”
“เฮนรีกับมิลลีไม่เคยกินข้าวช้าเลย”
เสียงมากมายรวมกัน เหมือนกับงานชุมนุมน้ำชา
มิเชลหัวเราะขณะมองดูของเหลวที่บรรจุเต็มหลอดแก้วพยากรณ์ ก่อนจะหมุนตัวไปชี้กระดาษกับปากกา พวกมันที่จดบันทึกบางอย่างมาโดยตลอดพลันหยุดลง แล้วตกลงบนโต๊ะ
“มาแล้วๆ” เขายิ้มพร้อมกับเดินกะโผลกกะเผลกไปเปิดประตู
นกฮูกอวบอ้วนฝูงหนึ่งกะพริบตา เจ้าตัวอ้วนที่มีขนาดเท่าลูกแตงโมพวกนี้ออกันอยู่หน้าประตูพร้อมกับมองมิเชล
พวกมันมีขนสีเทาเริ่มเบียดเสียดกัน บางตัวกำลังผลักกันไปมา พร้อมจะตีกันได้ทุกเวลา
“พอแล้วๆ เงียบหน่อย ฉันทำงานเสร็จแล้ว ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องห่วงหรอก อาจเป็นเพราะช่วงนี้ไม่ได้พักผ่อนดี ฉันก็เลยง่วงไปหน่อย วางใจเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะไปหาของดีๆ มาเพิ่มเป็นอาหารชดเชยให้เอง” มิเชลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ก็ได้ ถ้าท่านยืนกรานแบบนี้ ความจริงฉันรู้สึกว่าปัญหาของท่านไม่ใช่พักผ่อนไม่พอหรอก...” นกฮูกตัวอ้วนที่สุดเอ่ยอย่างจนปัญญา
“ไปเถอะๆ” มิเชลพลิกมือปิดประตู ห้องทดลองมืดสลัวลง ไม่มีแสงสว่างจากระเบียงด้านนอกเหลืออีก
หลอดแก้วพยากรณ์สีโปร่งแสงใบนั้นวางอยู่บนแท่นทดลองโดยไม่ขยับเขยื้อน
เวลาผ่านไป เส้นสีขาวมากมายที่ล่องลอยในของเหลวโปร่งแสง ก็เริ่มหมุนวนอย่างช้าๆ
แกร๊ก
จู่ๆ ก็มีเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินดังขึ้น ผนังด้านในหลอดแก้วพยากรณ์แตกออกเป็นรอยแตกเล็กของเหลวโปร่งแสงค่อยๆ ซึมออกมาทีละนิด
ของเหลวที่ซึมออกมาทวีจำนวนขึ้นเรื่อยๆ หยดลงบนโต๊ะ แล้วรวมตัวเป็นรอยเปียก สีดำขนาดใหญ่
ไม่นานนัก ปริมาณของของเหลวที่ซึมออกมาจากหลอดแก้วพยากรณ์ก็มีมากกว่าปริมาณของเหลวที่บรรจุไว้ด้านใน
ของเหลวจำนวนมากทะลักออกมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ แทบจะทำให้โต๊ะที่เป็นแท่นทดลองเปียกปอน และเริ่มหยดลงบนพื้นด้านล่างมากขึ้นไม่หยุดเช่นกัน
ของเหลวโปร่งแสงนับไม่ถ้วนค่อยๆ จับตัวเป็นรูปเป็นร่างราวกับมีชีวิต ไม่นานก็กลายเป็นชายชราผมขาวหลังงุ้มคนหนึ่ง
“ขอฉันเริ่มสงครามแรกเลยก็แล้วกัน….” ชายชราเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเหมือนกับศาสตราจารย์มิเชลไม่มีผิดเพี้ยน
…
“ปฏิกิริยาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พวกเราต้องการกำลังคนมากกว่านี้!” บุคลากรระดับสูงของมหาวิทยาลัยมิสกามารวมตัวกันในห้องประชุม เพื่อถกถึงเรื่องต่างๆ ที่ทวีความถี่ขึ้นในช่วงนี้
อธิการบดีมาราโดน่านั่งอยู่ด้านบนสุด คนที่นั่งอยู่กับเขายังมีรองอธิการบดีอีกสองคน ด้านล่างรอบๆ คือคณบดีจากคณะต่างๆ คณะที่ตัวคณบดีไม่มา ก็ให้รองคณบดีมาแทน
ด้านล่างสุดคือศาสตราจารย์ จากนั้นจึงเป็นอาจารย์ บุคลากร และผู้ช่วยอาจารย์
ตำแหน่งทุกระดับแบ่งแยกกันชัดเจน
“พวกเราจำเป็นต้องใช้มาตรการที่จำเป็น ไม่ใช่เอาแต่คุยโน่นคุยนี่อยู่แต่ในมหาวิทยาลัย!” ชายชราผมแดงคนหนึ่งตบโต๊ะร้องตะโกน
“ความลังเลสงสัยเป็นศัตรูร้ายของชัยชนะ!” ชายผิวขาวผู้สวมชุดคลุมสีดำขอบเงินอีกคนเอ่ยเห็นด้วยเสียงทุ้ม
“แต่ถ้าพวกเราไม่อยู่ เกิดขุมกำลังของที่นี่อ่อนแอขึ้นมา ใครจะสะกดสิ่งนั้นไว้ล่ะ” คณบดีคณะดาราศาสตร์ถามเสียงขรึม
“ดวงดาวกับดวงจันทร์บอกฉันว่า หากเราลงมือวู่วาม ผลสุดท้ายยากจะคาดคิดถึง”
“คำทำนายของคุณตกยุคไปนานแล้วอันโดรา ตอนนี้เป็นยุคสมัยแห่งการบวงสรวงเลือดเนื้อ พวกเราบวงสรวงเนื้อปีศาจศัสตราคลั่งตัวหนึ่ง คำทำนายที่ได้รับแตกต่างจากของคุณโดยสิ้นเชิง” ชายชราผู้เป็นนักวิชาการประจำราชวงศ์และศาสตราจารย์วิชาบวงสรวงที่อยู่อีกด้านเอ่ยสวนเสียงดัง
“พวกเราควรจะโจมตีได้แล้ว! การตั้งรับรั้งแต่จะลดขวัญกำลังใจของพวกเรา กลายเป็นมอบชัยชนะให้ศัตรูแทน!“
“พวกเรามีหน้าที่ของพวกเรา จงอย่าลืมสนธิสัญญาในครั้งนั้นสิ!” หญิงชราคนหนึ่งลุกขึ้นเตือนเสียงเฉียบ
คนด้านล่างถกเถียงกันไปมา บุคคลระดับศาสตราจารย์แทบทุกคนเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงถึงขีดสุด ต่างคิดว่าตัวเองถูก ทำให้คนที่มีอำนาจตัดสินปวดหัวตุบๆ
มาราโดน่าเดาถึงเรื่องนี้ได้นานมากแล้ว
เขาถอนใจ ก่อนจะปรบมือเบาๆ
“เงียบ”
ห้องประชุมค่อยสงบลง
“ปัญหาในตอนนี้ไม่ใช่พวกเราต้องการหรือไม่ แต่ปัญหาได้มาถึงแล้ว…” เขามองศาสตราจารย์มิเชลแห่งแท่นสังเกตการณ์
“มิเชล ตอนนี้ทางหอสังเกตการณ์ยังเรียบร้อยอยู่หรือไม่”
มิเชลที่หลังงองุ้มเป็นตัวประหลาดหนึ่งเดียวในมหาวิทยาลัย เขามีความสามารถในการสังเกตการณ์เหนือมนุษย์ แต่ชอบอยู่ปลีกวิเวก ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร เพื่อนเพียงคนเดียวก็คือมาราโดน่า
พอได้ยิน เขาก็ลุกขึ้นและโค้งตัวให้อธิการบดี
“ทุกอย่างปกติครับ ท่านมาราโดน่าที่เคารพ ผมใช้หลอดแก้วพยากรณ์มากกว่าร้อยใบทดสอบซ้ำไปซ้ำมา ยังไม่มีปัญหาของเทพนอกรีตเลย”
“คุณรับผิดชอบเฝ้าระวังเขตมหาวิทยาลัยภาคพื้นดินทั่วไป ถือเป็นตำแหน่งสำคัญมาก หวังว่าจะไม่พลาดร่องรอยอะไรไปนะ” มาราโดน่ากล่าวพลางพยักหน้า
“ผมเข้าใจดีครับ” มิเชลก้มหน้าขานตอบ เพียงแต่ในม่านตาลึกปรากฏคลื่นน้ำโปร่งแสงแวบหนึ่ง
“จริงสิ หัวหน้าเผ่านกฮูกขนเทายังอยู่ดีใช่ไหม ไม่ได้ไปเยี่ยมตั้งนานแล้ว เป็นนกฮูกแท้ๆ แต่อยู่มาได้ถึงเก้าสิบเจ็ดปี ถือว่าหาได้ยากยิ่ง”
“แน่นอนครับ พวกมันสบายดี นอกจากพวกเกิดใหม่ที่ซุกซนและชอบทะเลาะวิวาทไปบ้าง อย่างอื่นก็ไม่มีปัญหา” มิเชลตอบด้วยรอยยิ้ม
……………………………………….