ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 848 ปั่นป่วน (2)
ด้านในหอสังเกตการณ์นกฮูก
ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยซากศพและเส้นขน หลังจากนกฮูกถูกแยกร่าง ทั้งบนผนัง บนพื้น และโคมไฟ
ลูกนกฮูกที่เพิ่งเกิดใหม่หลายตัวถูกตอกตรึงกับกำแพง ลูกตาที่โดนควักออกมาถูกวางไว้ในชามเล็กๆ อยู่บนโต๊ะ มันถูกโรยด้วยเครื่องเทศและต้นหอม เหมือนกับถูกกินไปแล้วครึ่งหนึ่ง ในชามยังเหลือลูกตาชิ้นเล็กๆ ที่ถูกกัดขาดไปแล้ว
“วันนี้ปิดอีกแล้วแฮะ…ซ่อมแซมรูปจำลองดาวงั้นเหรอ ไปเถอะแอนดี้… ไว้ครั้งหน้าค่อยมา”
ด้านนอกมีเสียงของนักศึกษาดังมาอย่างเลือนราง
แอนดี้ยืนอยู่ใต้หอ เงยหน้ามองหอคอยสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แต่บอกไม่ถูกว่าเป็นที่ใด
“ไปเถอะแอนดี้” เพื่อนสาวที่อยู่ด้านข้างดึงแขนเขา
“ได้…ได้เลย” แอนดี้สลัดลางสังหรณ์ชวนสับสนในหัวทิ้ง เขาทรมานมามากพอแล้ว ถ้าไม่คว้าโอกาสตอนที่ร่างกายยังปลดปล่อยได้ ต่อไปก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
“ไปกันเถอะ! พวกเราไปเดินเล่นริมทะเลสาบกันสักหน่อย ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่ช่วงนี้ชอบไปอยู่นั่น” แอนดี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เอ๊ะ? ริมทะเลสาบเหรอ เห็นว่าที่นั่นไม่ปลอดภัยนะ”
“ไม่เป็นไรน่า เพื่อนฉันอยู่นั่ที่นตั้งนานไม่เห็นมีปัญหาอะไร” แอนดี้โบกมือ
สาวผมทองสวมกระโปรงสั้นจุ๊ดจู๋ โชว์ขาอ่อนกับทรวงอกใหญ่โต ฉีดน้ำหอมกลิ่นกุหลาบเย้ายวนนอกจากปากที่ใหญ่ไปหน่อย ส่วนที่เหลือล้วนสมบูรณ์แบบ
แอนดี้โอบเธอเดินไปได้ครึ่งทางก็อดใจไม่ไหว ผลักหญิงสาวไปด้านหลังเก้าอี้ยาวในสวนสาธารณะ หญิงสาวหัวเราะคิกทำท่าเล่นตัว
ในตอนที่ทั้งสองกำลังจะเตรียมทำศึกนั้น
พรึ่บ
อยู่ๆ ไกลออกไปก็มีเสียงทึบหนักแปลกประหลาดดังแทรกมา
“แย่แล้ว!” แอนดี้ได้ยินก็รีบลุกขึ้น สีหน้าแปรเปลี่ยน
“รอก่อนนะที่รัก” เขาแตะขาของหญิงสาว แล้วพุ่งไปยังต้นเสียงทันที
ทิศทางนั้นมีห้องเรียนเก่าโทรมเล็กน้อยอยู่ ด้านหน้ามีรูปสลักดำทะมึน เด็กสาวผมทองสวมกระโปรงขาวกำลังเอามือไพล่หลัง มองช่างภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างอ่อนหวาน
“มา อีกภาพหนึ่ง” ช่างภาพเป็นหญิงวัยกลางคน ยืนอยู่หลังขาตั้งกล้อง มือหนึ่งถือสวิตซ์ไฟ
ควันประหลาดจากผงแมกนีเซียมคลุ้งไปทั่ว
ช่างภาพยังไม่ทันให้หญิงสาวเปลี่ยนท่า ก็เห็นแอนดี้รีบร้อนพุ่งมา
“ใครอนุญาตให้พวกคุณมาถ่ายรูปที่นี่กันหา!?” แอนดี้มองอย่างโมโห เห็นตำแหน่งของตนกับเพื่อนสาวได้อย่างชัดแจ๋วทีเดียว
เขามองเด็กสาวกระโปรงขาวท่าทางงุนงงเล็กน้อย เพลิงโทสะในใจทุเลาลงบางส่วน อย่างไรเธอก็ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความผิด
“เอ่อ…ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ…ก็ได้ๆ งั้นพวกเราจะตัดฟิลม์ในรอบนี้ออก ถือว่าเป็นโมฆะแล้วกัน ขอโทษด้วยค่ะ” ช่างภาพหญิงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงรีบเอ่ยขอโทษ
เพราะทั้งสองพูดจาดี แอนดี้ค่อยข่มเพลิงโทสะไว้ได้
“แอนดี้ นายมาทำอะไรที่นี่” ลู่เซิ่งเพิ่งจะเดินเล่นเลียบถนนใต้ร่มไม้แถวนี้ ก็เห็นแอนดี้กำลังคุยกับช่างภาพพอดี
“แจ๊ค? พอดีเลย คุณมาดูนี่สิ ที่นี่ไม่ใช่เขตถ่ายรูป ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปนะ!” แอนดี้ยังไม่หายโกรธ เผอิญเห็นลู่เซิ่งผ่านมา จึงเข้าไปโวยวายทันที
ลู่เซิ่งเพิ่งจะออกมาจากห้องทดลอง เนื้อก้อนใหม่รสชาติดีมาก พอเขากินเสร็จก็ให้ศาสตราจารย์ยื่นเรื่องขอมาอีกสองสามก้อน เนื่องจากกินอิ่มแล้ว ก็เลยออกมาเดินย่อยอาหาร ส่วนผลการทดลองน่ะเหรอ รอเขากินอิ่มก่อนแล้วค่อยรายงานศาสตราจารย์เองแหละน่า
ลู่เซิ่งได้ยินเสียงโวยวายของแอนดี้ ก็มองเด็กสาวกระโปรงขาวด้านข้าง
เธอใส่เดรสสีขาว สวมถุงน่อง มัดผมเส้นเล็ก สวมถุงมือสีขาว ตอนอายุเจ็ดแปดขวบ เธอคงจะเหมือนองค์หญิงน้อยผู้งดงามน่ารัก
“ทำไมพวกเธอมาถ่ายรูปตรงนี้” เขาหยีตาถาม
“เอ่อ…ร.ป.ภ.ของมหาวิทยาลัยบอกพวกเราว่าตรงนี้วิวดีที่สุดน่ะค่ะ…” ช่างภาพหญิงวัยกลางคนกระสับกระส่ายเล็กน้อย
“มีภาพก่อนหน้านี้ไหม เอามาดูหน่อย” ลู่เซิ่งรู้สึกว่าสองคนนี้มีปัญหาเล็กน้อย
“ได้ค่ะ!” ช่างภาพชักฟิลม์แผ่นใหญ่ออกมาจากกระเป๋าด้านหลัง
ซ่า
ลู่เซิ่งรับรูปภาพมา แอนดี้กับเพื่อนสาวของเขาเขยิบเข้ามาดูด้วย เธอเห็นว่าแอนดี้หายไปนาน เลยวิ่งมาสมทบ
บนภาพคือเด็กสาวกระโปรงขาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบ เธอยิ้มอย่างอ่อนหวานชวนมอง และชูสองแขนขึ้นเหมือนกำลังทำท่าไชโย
“ดูสวยใช้ได้เลยนี่” เพื่อนสาวชื่นชมด้วยรอยยิ้ม
แต่แอนดี้ไม่ยิ้ม
ลู่เซิ่งก็ไม่ยิ้มเช่นกัน
ในสายตาของแอนดี้ เด็กสาวบนภาพกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ บนทะเลสาบรอบๆ ตัวเธอที่ว่างเปล่าไม่มีใคร ปรากฏเด็กสวมเสื้อสีขาวกลุ่มใหญ่ขึ้น
เด็กทุกคนล้วนสีหน้าไร้อารมณ์ ห้อมล้อมเด็กสาวไว้ตรงกลางเหมือนกับถ่ายรูปหมู่ประจำชั้นปี ทุกคนเงยหน้ามองเลนส์ มองคนที่กำลังดูภาพอยู่
“นี่…นี่มัน…” แอนดี้สูดลมหายใจลึก ขณะกำลังจะพูดนั่นเอง
“ถ่ายได้ไม่เลวเลย” ลู่เซิ่งกลับส่งภาพคืนให้ช่างภาพ
“จริงหรือคะ ขอบคุณนะ ภาพนี้เป็นภาพที่ฉันรู้สึกว่าดีที่สุดเลย ฉันว่ามันควรค่าแก่คำชมแล้วล่ะ” ช่างภาพหญิงตอบยิ้มๆ
“พวกคุณเที่ยวกันต่อเถอะ ผมไปก่อน พอดีนัดคนไว้ริมทะเลสาบ” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ไม่รอให้แอนดี้ตอบ ลู่เซิ่งก็หันหลังจากไป เขาก้าวเดินไม่เร็วไม่ช้า ไม่นานก็หายไปจากถนนใต้ร่มไม้
แอนดี้อ้าปากคิดจะเอ่ยถาม กลับถูกเพื่อนสาวตัดบท จึงไม่มีโอกาส
“ไปเถอะ กลับกันได้แล้ว” เพื่อนสาวลากเขาผละจากไป
ด้วยความจนปัญญา แอนดี้ได้แต่บอกลากับช่างภาพ แล้วกำชับย้ำๆ ว่าอย่าถ่ายติดใครเข้าไป
พอตกบ่าย จู่ๆ เพื่อนสาวก็บอกว่าไม่สบายเล็กน้อย แอนดี้เลยส่งเธอกลับหอพัก หลังจากพักผ่อนไปคืนหนึ่ง เช้าตรู่วันต่อมาเขาก็ไปหาเธออีก
แต่พอย้อนนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อวาน กับเด็กสาวผู้งดงามบอบบางคนนั้น
เขาพลันเกิดความกระสับกระส่ายเล็กน้อย เดินเล่นอยู่ในมหาวิทยาลัย ไม่นานก็มาถึงตำแหน่งเมื่อวานโดยไม่ได้ตั้งใจ
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ เวลานี้ห้องเรียนเก่าโทรมห้องนั้นถูกกั้นด้วยเส้นกั้นเขต ร.ป.ภ.ประจำมหาวิทยาลัยกับตำรวจบางส่วนเฝ้าที่นี่เอาไว้ พื้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแห้งกรัง
เขามองผ่านเส้นแบ่งเขตไป ช่างภาพคนที่คุยกับเขาเมื่อวาน ตอนนี้ล้มอยู่บนพื้น ดวงตากับท้องถูกควักอวัยวะภายในทั้งหมดออกไป เหลือเพียงร่างกายเท่านั้น
“บ้าอะไรกันเนี่ย!” แอนดี้สีหน้าเปลี่ยนแปลง อดสบถขึ้นมาไม่ได้
“ขออภัยอย่างยิ่ง ตอนนี้ที่นี่ถูกปิดชั่วคราว คุณอ้อมไปดีกว่า” นายตำรวจผิวขาวร่างกำยำคนหนึ่งเดินเข้ามาเตือนเสียงเข้ม
“…ผมเข้าใจแล้ว” แอนดี้พยักหน้า จิตใจพลุ่กพล่านอยู่บ้าง ผู้หญิงคนนั้นเพิ่งเจอกันไม่นานก็ตายเสียแล้ว
เขาหันไปเห็นพวกนักศึกษาที่ผ่านมาชี้ไม้ชี้มือมาตรงนี้ด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งถึงได้อันตรายขนาดนี้ ทำไมนักศึกษาพวกนี้ถึงไม่ตั้งใจเรียนไปเงียบๆ
พวกเขาไม่กลัวตายหรือไง
“นี่มันผิดปกติ! ไม่สมเหตุสมผลเลย!” แอนดี้ดึงทึ้งผมของตัวเอง
“อะไรผิดปกติเหรอ” เสียงของเพื่อนสาวดังมาจากด้านข้าง
แอนดี้หันหน้าไปเห็นว่าเธอกำลังจูงเด็กสาวคนเมื่อวาน และมองมาทางห้องเรียนด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ
“ฉันเจอเด็กคนนี้แถวๆ นี้น่ะ…เธอน่าสงสารเหลือเกิน ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ของเธอ แต่ตอนนี้…” เพื่อนสาวกล่าวอย่างจนปัญญา
แอนดี้มองเด็กสาวกระโปรงขาว บนใบหน้าอีกฝ่ายเผยความละอายและความหวาดกลัว ขาเล็กๆ สองขาถูกันไปมา ผมยาวสีทองถูกหวีไว้ด้านหลัง
…
ลู่เซิ่งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปกติ
ด้านในมหาวิทยาลัยเหมือนมีบางอย่างกำลังเติบโตในความมืด และความเร็วในการเติบโตนี้ก็รวดเร็วมาก…เร็วมากๆ
ช่วงนี้เขากินเนื้อของปีศาจขั้นสูงจากห้วงความว่างเปล่าไปมากมาย ประมวลกฎเกณฑ์พร่างพรายอนธการของเขาได้ยกระดับถึงระดับสี่แล้วเช่นกัน
แขนใกล้จะเข้าสู่รูปแบบที่ห้าแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงการกดข่มที่พร้อมจะระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา อวัยวะสัมผัสที่หกบนแขนเหมือนกับภูเขาไฟที่เงียบสงบพรั่งพร้อมจะระเบิดอานุภาพที่น่ากลัวถึงขีดสุดออกมาได้ทุกเมื่อ
ปัจจุบันเขายิงกระแสอากาศที่เหมือนกับกระสุนปืนออกมาได้เป็นจำนวนมาก ถ้าผสานเข้ากับอานุภาพของกายเนื้อที่แข็งแกร่งอีก ผลลัพธ์กับอานุภาพที่เกิดขึ้นก็เทียบเคียงในระดับอุปกรณ์ช่วยอย่างที่สุดแล้ว
ลู่เซิ่งนั่งริมแม่น้ำ พลังของร่างหลักยกระดับขึ้นหนึ่งระดับย่อย มาถึงระดับที่สามของแปรสัจจะแล้ว…ร่างหลักที่พองขยายเกินไปจนต้องกดข่มเอาไว้สุดกำลัง ถึงจะไม่ทำให้มันส่งผลกระทบต่อร่างนี้
“วันนี้คุณมาเร็วจังเลยนะคะ” เป็นเสียงของเอียน น้องสาวของอิสซาลาดังมาจากด้านหลัง
ลู่เซิ่งลุกขึ้นหันไปมอง
เอียนสวมกระโปรงสั้นสีแดงเข้มที่เขาเคยเห็นเมื่อครั้งแรก มือจูงเด็กผู้หญิงน่ารักสวมกระโปรงขาวคนหนึ่งอยู่
เด็กผู้หญิงเหรอ
ลู่เซิ่งงุนงง
“ตอนฉันมา เห็นเธอยืนอยู่กลางทางคนเดียว ไม่มีใครสนใจ แม่ของเธอเป็นช่างภาพคนก่อนหน้านี้ กลายเป็น…ในห้องเรียน…เฮ้อ” เอียนเผยสีหน้าสงสาร
“เธอคิดจะทำอะไร” ลู่เซิ่งลุกขึ้นปัดเศษหญ้าบนกางเกง
“ฉันจะลองติดต่อครอบครัวของเธอดู ตอนนี้ให้เธออยู่กับฉันสักสองสามวันไปก่อน” เอียนลูบผมของเด็กสาวอย่างอ่อนโยน
“ตามใจ” ลู่เซิ่งเอ่ยราบเรียบ แม้เขาจะสัมผัสได้ว่าเด็กสาวคนนี้ผิดปกติอยู่บ้าง แต่เอียนไม่ได้เป็นอะไรกับเขา เขาเองก็ไม่ได้ถึงขั้นบอกให้เธอทิ้งเด็กสาวตัวเล็กๆ ไปเพราะการคาดเดาเล็กน้อยนี้เช่นกัน
เอียนยืนคุยเรื่องทักษะวาดรูปกับลู่เซิ่งอยู่ริมทะเลสาบสักพัก ก่อนจะพาเด็กสาวจากไปก่อน
ลู่เซิ่งหันกลับมา อยู่อีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งดวงอาทิตย์ตกลงสู่เส้นขอบฟ้า ท้องฟ้าเริ่มมืดสลัว เขาจึงกลับทางเดิม
ช่วงนี้ริมทะเลสาบเริ่มมีคนเพิ่มมากขึ้น แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้ากลับช้าขนาดนี้ ดังนั้นขณะเดินอยู่ รอบข้างลู่เซิ่งจึงไม่มีคนเลยสักคน
เวลานี้เส้นทางใต้ร่มไม้มืดครึ้มกว่าเดิมเพราะแสงสว่างหายไปแล้ว
เดินไปเดินมา อยู่ๆ กลางถนนด้านหน้าก็ปรากฏเด็กสาวสวมกระโปรงขาวยืนอยู่อย่างขลาดกลัว
เป็นเด็กสาวที่ออกไปพร้อมกับเอียนก่อนหน้านี้ เธอกลับมาอย่างไรก็ไม่รู้ เวลานี้ยืนอยู่กลางถนนอย่างไร้ความช่วยเหลือ เหมือนลูกสัตว์หลงทาง บนใบหน้ามีคราบน้ำตาเหลืออยู่
ลู่เซิ่งซุกมือไว้ในกระเป๋ากางเกง มองเธออย่างไร้อารมณ์ ก่อนจะเดินต่อไป
“คุณลุง…หนูกลัว…หนูหนาว…กอดหนูหน่อยได้ไหมคะ” เด็กสาวเปล่งเสียงไร้เดียงสาออกมาพลางสะอื้นไห้ เธอเงยหน้าขึ้นมองลู่เซิ่งที่เข้ามาใกล้ ดวงตาฉายแววน่าเวทนา
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งเตะใส่เอวของเธอ พละกำลังมหาศาลกระแทกร่างเธอขึ้น กล้ามเนื้อที่เอวของเธอโค้งงอจนเกือบชิดไปกับหลัง กระดูกแตกหักมากมาย
เธอกระอักเลือดออกมา ทำให้ดวงหน้าใบเล็กพริ้มพรายเผยความเจ็บปวด
เด็กสาวกระเด็นออกไป กลายเป็นเงาสีขาวพุ่งเข้าไปในพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
ลู่เซิ่งละสายตากลับมา แล้วเดินกลับไปตามเส้นทางใต้ร่มไม้ต่อ
……………………………………….