ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 850 แกนหลัก (2)
“นี่คืออานุภาพเทพ เป็นพลังป้องกันของความรู้ระดับสาม” เสียงของสุภาพสตรีแฮปปี้ดังมาอีกครั้ง
“ระดับสามเป็นความรู้พิเศษที่ไม่ใช่ของคนธรรมดา ถ้าอยากได้จำต้องผ่านการทดสอบก่อน ไม่งั้นหากขึ้นไปก็ตายเปล่า” สุภาพสตรีแฮปปี้อธิบาย
ลู่เซิ่งสูดหายใจ ปรับฝีเท้าให้มั่นคง แล้วค่อยๆ เดินผ่านเหยี่ยวยักษ์ ขึ้นบันไดไปชั้นบนต่อ
จนกระทั่งเดินไปถึงพื้นชั้นสาม แรงกดดันบนตัวเขาค่อยเบาลง
“ที่นี่คือระดับเหนือมนุษย์ ถ้าเธอเอาหนังสือสักเล่มไปจากที่นี่ได้ มันจะพลิกชีวิตเธอในตอนนี้อย่างยิ่งใหญ่” สุภาพสตรีแฮปปี้ส่งเสียงหัวเราะ “เด็กน้อยผู้มีศักยภาพ ฉันคาดหวังกับผลงานของเธออยู่นะ”
“ขอบคุณที่คอยชี้แนะนะครับอาจารย์แฮปปี้” ลู่เซิ่งโค้งตัวให้กับความว่างเปล่าอย่างจริงจัง
มาถึงขั้นนี้แล้วถ้าเขายังไม่ทราบถึงระดับของอีกฝ่าย เช่นนั้นก็เสียทีที่เขาเป็นถึงมารสวรรค์มายาพิศวงแล้ว
ตัวตนของสุภาพสตรีแฮปปี้เหมือนกับนิยามแห่งความอัศจรรย์ เขาเคยเห็นตัวตนคล้ายกันนี้ในโลกมารสวรรค์มาก่อน
ตัวตนเช่นนี้สามารถแข็งแกร่งได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด หรือจะอ่อนแอถึงขีดสุดก็ได้เช่นกัน พวกเขาไม่มีทางถูกทำลายทางกายภาพ ถึงขั้นไม่มีสภาพวิญญาณ
พวกเขาเหมือนกับปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง เป็นองค์ประกอบรวมที่จักรวาลให้กำเนิด ไม่มีวันตาย
“เป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆ” เสียงของสุภาพสตรีฟังดูอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ลู่เซิ่งเดินไปตามระเบียงชั้นสามทีละก้าว
ชั้นสามมีแต่ระเบียงที่ทอดยาวไปด้านหน้าเพียงเส้นเดียว มองไม่เห็นปลายทาง
สองข้างของระเบียงคือประตูโลหะสีดำขนาดใหญ่ปิดล็อกแน่นหลายบาน บนประตูสลักสัญลักษณ์ไว้มากมาย
บ้างก็เป็นมนุษย์ บ้างก็เป็นพืช สัตว์ ยังมีดวงดาว แสงจันทร์ และดวงอาทิตย์ หรือไม่ก็ภาพประกอบที่ซับซ้อน
ไม่นานลู่เซิ่งก็เจอหมวดหมู่ที่ต้องการหามากที่สุด
ประมวลกฎเกณฑ์
ประตูของห้องห้องนี้สลักรูปมนุษย์ตัวดำสนิทที่มีปีกสองข้างและเขาโค้ง ลูกบิดถูกเผาจนแดงฉานและมีควันลอยผุดขึ้นมาราวกับมีเตารีดนาบแช่ไว้
ประตูบานนี้ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าเขาอย่างกะทันหันในตอนที่ลู่เซิ่งนึกจินตนาการไปเรื่อยๆ
“เธอมีโอกาสแค่เล่มเดียวเท่านั้น เด็กน้อยเอ๋ย…ชั้นที่สามนี้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิด ชีวิตหนึ่งจะเข้ามาได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เธอจงเลือกให้ดีเถอะ” แฮปปี้เตือนอีกครั้ง
“ผมคิดไว้ดีแล้วครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้าแล้ว ยื่นมือออกไปจับลูกบิดเบาๆ
ลูกบิดที่ถูกเผาจนแดงก่ำไม่ได้ให้ความรู้สึกแสบร้อนแม้แต่นิดเดียว
ประตูเปิดออกดังแกร๊ก
…
ประเทศเยอรมนี เขตซีวลินด์ เมืองฟรอส์บลาต
เมืองสีเทาใต้แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ อร่ามโชติช่วงและศักดิ์สิทธิ์ดั่งโบสถ์ของเหล่านักบวช
ในโบสถ์แห่งหนึ่งกลางเมือง
กลางโถงโบสถ์มีเพลิงสีทองโหมลุกไหม้ คนสิบกว่าคนยืนอยู่รอบกองเพลิง แต่ละคนสวมเครื่องแบบของมหาวิทยาลัยมิสกาและมหาวิทยาลัยแห่งอื่น
พวกเขาถือหนังสือสีขาวไว้ในมือ ปกหนังสือมีสัญลักษณ์สีทองเหมือนกับโล่
“ท่านคณบดีไทร์ พร้อมแล้วครับ” นักศึกษาผอมแห้งสูงชะลูดสวมแว่นคนหนึ่งพูดกับชายชราที่รอคอยอยู่ด้านข้างเสียงแผ่ว
“งั้นก็มาเริ่มกันเลย เสริมความมั่นคงให้แก่แสงป้องกันห้วงความว่างเปล่าอันใหม่” ชายชรากล่าวพลางพยักหน้า
นักศึกษาที่ห้อมล้อมเป็นกลุ่มสบตากัน แล้วพากันเร่งความเร็วอ่านหนังสือ ท่ามกลางเสียงอ่านหนังสือที่สูงต่ำสลับกันเหมือนกับบทเพลงดังขึ้นเป็นระยะ
วงล้อสีทองสว่างไสววงหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นกลางเปลวเพลิง
“เชื่อมต่อกับภูตย้อนลำดับแล้ว เริ่มการประกอบและกระตุ้นได้” นักศึกษาคนหนึ่งกล่าวเสียงดัง
ทุกคนพากันยกมือโปรยผงแวววาวบางอย่างออกมา ผงนั้นเริงระบำรอบเปลวเพลิงอย่างต่อเนื่องราวกับมีชีวิต คล้ายกับวงแหวนคริสตัลลอยกลางอากาศงดงาม
“ขั้นที่สอง ประกอบเสร็จสิ้น ขั้นที่สาม กระตุ้นไฟต้นกำเนิด…”
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเกิดเสียงระเบิดดังกึกก้อง เปลวเพลิงระเบิดจากด้านใน ลูกไฟเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งเมตรกว่าพลันขยายใหญ่ขึ้นกว่าสามเมตร
เปลวเพลิงพลิกม้วนเอานักศึกษาที่ยืนอยู่ล้อมรอบเข้าไป
“ไม่นะ!”
“รีบหลบเร็ว!”
คนทั้งกลุ่มรับมือไม่ทัน โดนม้วนเข้าไปในกองเพลิงสี่คน ร่างของคนทั้งสี่หลอมละลายหายไปกลางแสงเพลิงอย่างไร้ร่องรอยโดยใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที
ตูม!
พื้นโบสถ์ระเบิดเป็นรูใหญ่ สัตว์ประหลาดร่างยักษ์สีดำสนิทเหมือนกับแมลงเต่าทองมุดออกมา รอบตัวมันมีแมลงวันตัวเล็กๆ บินว่อน ทั้งยังส่งกลิ่นเหม็นสะอิดสะเอียน พวกมันมีขามากมาย เป็นหมึกขนาดมหึมาราวกับผืนแผ่นดิน
“จงกลับคืนสู่ความโกลาหลเถอะ!”
สัตว์ประหลาดร้องคำรามพลางพุ่งเข้าใส่ทุกคน
เปลวเพลิงสีม่วงพลันลุกไหม้ขึ้นทั่วร่างไทร์กลายเป็นเพลิงยักษ์สีม่วงสูงกว่าสามเมตรอย่างรวดเร็ว ยกกำปั้นเข้าเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดพร้อมส่งเสียงคำราม
“จงกลับไปที่ห้วงความว่างเปล่าซะ! อาทูช!”
“เมื่อไม่มีไฟต้นกำเนิด เจ้าก็หยุดยั้งข้าไม่ได้แล้ว…ไทร์” สัตว์ประหลาดหัวเราะพร้อมกับฟาดหนวดลงมาอย่างรุนแรง
ตูม!
เกิดเสียงดังอึงอล กำแพงรอบโบสถ์ระเบิดแตกกระจายออกไป เพลิงสีม่วงจำนวนมากกลายเป็นหนวด รัดพันสัตว์ประหลาดสีดำไว้ไม่ให้มันพุ่งออกมาจากด้านใน
ทว่านักศึกษาคนอื่นไม่ได้โชคดีแบบนี้ เพลิงสีม่วงกับพละกำลังของสัตว์ประหลาดทำให้พวกเขาตายคาที่ทันที
คนที่รอดชีวิตลากคนบาดเจ็บหนีออกมาจากช่องบนกำแพงอย่างยากลำบาก ก่อนจะวิ่งหนีออกไป
ไม่เพียงที่นี่เท่านั้น จุดป้องกันของแต่ละมหาวิทยาลัยในเขตของประเทศเยอรมนี ถูกโจมตีแทบจะพร้อมกัน
หากมองจากนอกโลกลงมา จะเหมือนไฟสีทองหลายจุดสว่างขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ มืดสลัวลง
…
เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังขึ้นบนพื้นไม้อย่างต่อเนื่อง
เปรี้ยง!
ประตูใหญ่ของหน่วยอารักขาประจำราชวงศ์อังกฤษถูกผลักอย่างแรง
เอิร์ลคาซานดร้าที่สวมหมวกทรงสูงลวดลายสีขาว ตบโต๊ะสำนักงานด้วยสีหน้าร้อนใจ ดวงตาดุจนกเหยี่ยวจับจ้องชายชราด้านหลังโต๊ะเขม็ง
“เกี่ยวกับคดีของท่านเอิร์ลที่เกิดขึ้นในเขตของผม ถ้าท่านมีอะไรก็พูดมาเถอะครับ ท่านรัฐมนตรีที่เคารพ ท่านรับปากว่าจะเพิ่มกำลังตำรวจในการรักษาการ แต่ตอนนี้…”
ตึง
เขาทุบโต๊ะอย่างแรง
“ผมต้องการคำอธิบายกับวิธีการที่สมเหตุสมผล ที่นี่เดี๋ยวนี้!”
“เขตรับผิดชอบของคุณเกิดโศกนาฏกรรมแบบนี้ ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง” รัฐมนตรีชราดันกรอบแว่นตา กล่าวอย่างเชื่องช้า
“แต่ตอนนี้กำลังตำรวจเสียหายอย่างหนัก พวกเราไม่มีกำลังคนเพียงพอที่จะไปรับมือกับเรื่องเหนือธรรมชาติเหล่านี้อีกแล้ว มหาวิทยาลัยอันโตนีวากับมหาวิทยาลัยมิสกาได้ส่งนักศึกษาทั้งหมดออกมาแล้ว แต่ก็ยังหยุดยั้งการแผ่ขยายของความผิดปกติไม่ได้”
“ไม่พอ ยังไม่เพียงพอ! ยังมีนักศึกษาในมหาวิทยาลัยอีกเยอะแยะไม่ใช่เหรอครับ เรียกออกมาร่วมมือกันก็ได้นี่!” เอิร์ลกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ได้ครับ นั่นเป็นการฆาตกรรมแล้ว ท่านเอิร์ล ท่านควรจะใจเย็นลงก่อน ตอนนี้ในมหาวิทยาลัยมีแต่นักศึกษาใหม่ทั้งนั้น พวกเขาเพิ่งจะเรียนไปเทอมเดียวเอง ยังไม่ถึงขั้นที่จะออกมารับภารกิจได้”
“งั้นก็ให้พวกเขาออกมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์เสียสิ ใช้ภารกิจภายนอกเป็นการเรียนก็ได้! ยังไงก็ช่วยลดแรงกดดันให้พวกเราได้เหมือนกัน! ต่อให้พวกเขาจะออกมาได้แค่ขุดหลุมหรือก่อกำแพงก็ตามที!” เอิร์ลคาซานดร้าเอ่ยอย่างโมโห
“ผมจะเอาความคิดคุณไปพิจารณาแล้วกัน” รัฐมนตรีชราพยักหน้าน้อยๆ
…
ณ ห้องสมุดแห่งอดีต
ลู่เซิ่งผลักเปิดประตู ด้านในมีรูปสลักผู้หญิงผมสีดำยาวมีแขนสี่ข้าง และสวมผ้าคลุมหน้าคนหนึ่ง
ท่อนล่างของรูปสลักเป็นหางประหลาดเรียวยาวเหมือนสปริง ขดรวมกันยันน้ำหนักอันมหาศาลของรูปสลักไว้
“ยินดีต้อนรับ…เด็กน้อยที่น่ารัก…” ผิวแข็งจำนวนมากหลุดร่วงลงจากผิวรูปสลัก เผยให้เห็นผิวขาวผ่องเรียบลื่นข้างใต้
“ข้าอยู่ที่นี่มานานเหลือเกิน…นานจนลืมไปแล้วว่าเมื่อก่อนตนเองมีหน้าตาอย่างไร”
รูปสลักค่อยๆ เคลื่อนไหวและเดินเข้ามาใกล้
“บนตัวเจ้ามีกลิ่นอายของมหาวิทยาลัยมิสกา พวกเขาชอบผสมคลื่นพลังจากห้วงความว่างเปล่ากับมนุษย์ไว้ด้วยกัน”
ลู่เซิ่งมองด้านหลัง เวลานี้ประตูที่เพิ่งเข้ามาปิดลงโดยไม่รู้ตัว
“คุณเป็นใคร” เขาถาม
รูปสลักโบกแขนทั้งสี่ข้าง
“ข้าคือความรู้ที่เจ้าต้องการตามหา นักศึกษาหลายคนจากมหาวิทยาลัยปรับปรุงข้าอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายเป็นเพราะอันตรายเกินไป เลยผนึกข้าเอาไว้ อนุญาตเพียงนักศึกษาไม่กี่คนสัมผัสได้เท่านั้น พวกเขาบูชาข้าไว้เหนือเกล้า”
เธอเว้นเล็กน้อย
“ข้ายังมีอีกชื่อหนึ่งเรียกว่าประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหล บางทีเจ้าอาจจะเคยได้ยิน”
ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ที่แท้คุณก็เป็นประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหล…”
“เจ้าดูไม่ตกใจเลยนะ ทำไมเล่า ข้าเป็นสิ่งมีชีวิตนะ เป็นสิ่งมีชีวิต!” รูปสลักประหลาดใจกับปฏิกิริยาอันเรียบเฉยของลู่เซิ่งอย่างยิ่ง
“คุณดูเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ก็เท่านั้น คุณไม่มีวิญญาณ เป็นเพียงเครื่องจักรที่พัฒนาตามรูปแบบตายตัว” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างเยือกเย็น
“ถูกต้องแล้ว เมื่อเจอคำถาม ก็ให้ตอบตามนั้น นี่เป็นกลไกการคำนวณที่เกิดขึ้นหลังข้าถูกปรับปรุง นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมองออก” ประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลพยักหน้าอย่างแปลกใจ
“น่าเบื่อจริงๆ ในเมื่อหลอกเจ้าไม่ได้ เช่นนั้นก็เริ่มกันเลย สิ่งที่เจ้าต้องการอยู่ที่นี่หมดแล้ว จงถามมาเถอะ ข้าตอบคำถามเจ้าได้สามข้อ”
ลู่เซิ่งมองรอบห้อง ไม่เห็นทางเข้าหรือลวดลายวงแหวนเวทอื่นๆ
“ผมอยากจะรู้เนื้อหาของประมวลกฎเกณฑ์ลำดับที่ห้าและลำดับที่หก!”
“ง่ายมาก ถือว่าเป็นสองคำถาม ยังเหลืออีกคำถามหนึ่ง” ประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลเอ่ยต่อ
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ
“คำถามที่สาม จะเอาคุณไปด้วยได้ยังไงครับ”
“จุ๊ๆๆ…เจ้านี่ช่างโลภมาก...” ประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลหัวเราะ “นี่เกี่ยวกับความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ แต่จะบอกให้เจ้าฟังก็ได้ ต่อให้เจ้ารู้ชื่อนั้น เมื่อออกไปจากที่นี่ ก็จะลืมเลือนไปเอง”
“หือ คุณก็ลองเล่าสักหน่อยสิ” ลู่เซิ่งนึกสนใจ ฟังดูเหมือนมหาวิทยาลัยมิสกาจะยังมีความลับบางอย่างซุกซ่อนอยู่
“เจ้าเคยได้ยินชื่อแกนหลักแห่งความโกลาหลมาก่อนหรือไม่” ประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นคือสมบัติที่ประคองดาวเคราะห์ดวงนี้ หรือกระทั่งการทำงานของโลกทั้งใบ ขณะเดียวกันก็เป็นสมบัติที่เหล่าเทพนอกรีต้องการช่วงชิง มันเป็นตัวแทนเส้นแบ่งของเทพรุ่นเก่าที่ถูกขับไล่ และเทพรุ่นใหม่ที่ผงาดขึ้นมาปกครองทุกสิ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นแกนกลางแหล่งพลังงานของข้าด้วย…”
“แกนหลักแห่งความโกลาหลหรือ” ลู่เซิ่งหรี่ตา
“ถูกต้อง…นั่นคือพื้นฐานส่วนหนึ่งของโลก บางคนเรียกมันว่าหลักฐานแห่งราชัน บางคนเรียกมันว่าคริสตัลไร้ขอบเขต บ้างก็เรียกต้นกำเนิดแห่งเทพเจ้า มันมีหลายชื่อ กำเนิดขึ้นมาพร้อมกับโลก เป็นสมบัติที่กำเนิดมาพร้อมกับจักรวาล” ประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลไขข้อข้องใจ
“เกิดมาพร้อมกับจักรวาลหรือ แล้วหลักการใช้งานล่ะ คุณใช้พลังของมันได้อย่างไร” ลู่เซิ่งตาเป็นประกาย “พาผมไปดูได้ไหม ผมแค่สงสัยน่ะ คุณเองก็รู้ว่าผมเป็นแค่มนุษย์ ต่อให้เห็นไปก็ไม่มีผลอะไร ยังไงผมก็ลืมทันทีที่ออกไปอยู่ดี”
……………………………………….