ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 852 แกนหลักและเทพเจ้า (2)
“เธอก็เลยมาร้องไห้อยู่ตรงนี้น่ะเหรอ” ลู่เซิ่งหมดคำจะพูด
“…” เอียนเพียงปาดน้ำตาเงียบๆ เท่านั้น
“เอาล่ะ ลุกขึ้นมาได้แล้ว อย่านอนบนพื้น อยากจะเรียนวาดรูปกับฉันไม่ใช่เหรอ” ลู่เซิ่งเอ่ย “ถ้าเธอซื่อบื้ออยู่อย่างนี้ อฉันก็สอนทักษะวาดรูปของฉันให้ไม่ได้หรอกนะ”
“เอ๋” เอียนงุนงง เงยหน้ามองเขา ไม่รู้ว่าสองอย่างนี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร
ลู่เซิ่งเหม่อมองทะเลสาบที่อยู่ไกลออกไป หวนนึกถึงวันเวลาที่เขาได้เรียนวาดรูปจากโลกใบนั้น ในใจเต็มไปด้วยความคะนึงหา
“เธอว่าทักษะการวาดของฉันยอดเยี่ยมไหม”
“สุดยอดมากค่ะ! ฉันเคยเลียนแบบผลงานของปรมาจารย์มามากมาย แต่ยังไม่น่าตื่นตะลึงเท่าผลงานของคุณ” เอียนพยักหน้าเมื่อโดนหันเหความสนใจ ก็คล้ายจะไม่เศร้าใจขนาดนั้นแล้ว
“เธอมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมมาก...พูดได้เลยว่าในบรรดาคนที่ฉันเคยเจอมาเธออยู่ในอันดับสอง” ลู่เซิ่งเอ่ยราบเรียบ “ในอดีตฉันเคยมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์ร้ายกาจเหมือนกัน น่าเสียดาย…สุดท้ายแล้วเขาก็ทรยศฉัน เขาคิดจะใช้ทักษะที่ฉันสอนเขามาทำร้ายฉัน ดังนั้น…เขาก็เลยตาย”
“อะไรนะคะ” เอียนมึนงง ไม่ใช่เพิ่งพูดถึงการวาดภาพหรอกหรือ เหตุใดจู่ๆ ไปถึงตอนเขาตายได้ล่ะ
“ในอดีตเคยมีคนนับไม่ถ้วนคิดใช้ทักษะของพวกเขาทำลายฉัน แต่พวกเขาล้มเหลว ฉันซ่อนตัวอยู่หลังม่าน ครอบครองทักษะการวาดนับไม่ถ้วน ไม่มีใครสู้ได้ ไม่มีใครเอื้อมถึงระดับที่ฉันไปถึงได้ แต่ว่า ไม่มีใคร ไม่มีใครมาถึงระดับของฉันอีกแล้ว พวกเขาถึงขั้นเข้าใกล้ฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ” ลู่เซิ่งถอนใจ
“…” เอียนรู้สึกว่าตนกำลังฟังคนละเรื่อง เธอแค่อยากเรียนวาดภาพ…ไม่ได้อยากเรียนต่อสู้สักหน่อย
ลู่เซิ่งได้สติกลับมา
“ขอโทษที เมื่อกี้เหม่อไปหน่อย พอเห็นเด็กที่มีพรสวรรค์ ก็อดนึกถึงอดีตที่ไม่ค่อยจรรโลงใจพวกนี้ไม่ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเห็นเรื่องพิลึกๆ ในมหาวิทยาลัยมาเยอะแล้ว เลยชินนานแล้วค่ะ” เอียนเช็ดคราบน้ำตา พร้อมเอ่ยเสียงแผ่ว
“เอาล่ะ เมื่อกี้เธอพูดว่าอยากเรียนวาดภาพกับฉันใช่ไหม” ลู่เซิ่งทวน
“ค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกคุณว่าทักษะของคุณทำให้ฉันนับถือมากๆ ดังนั้นฉันเลยอยากจะขอให้คุณเป็นอาจารย์ แล้วสอนศาสตร์ทักษะวาดภาพให้กับฉัน” เอียนลุกขึ้นและโค้งตัวน้อยๆ
“เธอเป็นเด็กดี…เด็กดีจริงๆ…” ลู่เซิ่งลูบผมของเอียนอย่างอ่อนโยน เธอทำให้เขานึกถึงลูกบุญธรรมองค์หญิงมังกรทอง ที่ไม่ยอมจากบ้านเกิดเมืองนอน
“ฉันอายุสิบเก้าแล้วนะ อย่าทำอย่างนี้สิคะ…” เอียนแก้มแดง ถอยหลังไปสองก้าวเอ่ยขึ้นยิ้มๆ
“อ่า ขอโทษนะ ฉันเสียมารยาทแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า “เอาล่ะ ฉันรับเธอแล้ว เดี๋ยวจะสอนทักษะวาดรูปให้ แต่เธอจะต้องเข้าใจก่อนว่า การกราบอาจารย์เป็นเพียงความสัมพันธ์เรื่องทักษะวาดภาพ ฉันกับเธอมีความสัมพันธ์อย่างครูสอนวาดภาพและนักเรียนเท่านั้น”
หลังออกจากโลกใบนั้น ลู่เซิ่งก็ไม่อยากให้ทักษะวาดรูปอันร้ายกาจอยู่เพียงแต่ติดตัวตนไปตลอด บางทีการหาศิษย์ที่เหมาะสมเพื่อสืบทอดต่อ ก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเช่นกัน
เขาเคยเป็นจิตรกรที่แข็งแกร่งที่สุดด้วยเบื้องหลังหัตถ์สีเงินและหัตถ์แห่งประกายนิล ขณะเดียวกันก็เป็นผู้นำองค์กรน่ากลัวที่ชนชาวโลกเรียกว่าราชาสีเงิน รวมถึงผู้นำแห่งจิตรกรใต้ดินด้วย
แต่หลังออกมาจากโลกที่มีกฎพิเศษใบนั้นมา ทักษะวาดภาพที่สามารถสังหารสิ่งมีชีวิตได้นั้นก็ไม่มีที่ให้ใช้อีก
นี่เป็นความเสียดายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา อย่างไรการวาดภาพก็เป็นงานอดิเรกที่เขาเคยหลงใหล และตอนนี้ก็เจอนักศึกษาจริงใจเหมาะสม อยากจะเรียนวาดภาพ และแสดงท่าทียืนกรานพอดิบพอดี
บางทีนี่อาจจะเป็นโอกาส
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ…” เอียนพยักหน้าอย่างจริงจัง “อย่างนั้นฉันจะจ่ายค่าเรียนให้คุณอาทิตย์ละสามพันมาร์คได้ไหมคะ” ราคาปกติคือหนึ่งพัน แต่เธอเสนอเพิ่มขึ้นเป็นสามเท่า
“ไม่จำเป็น ฉันไม่เอาค่าเรียน ฉันมีเรื่องขอเพียงข้อเดียวเท่านั้น” ลู่เซิ่งยกนิ้วชี้ “ทุ่มเทให้เต็มที่ ตามความก้าวหน้าของฉันให้ทัน ห้ามยอมแพ้”
“…เข้าใจแล้วค่ะ!” เอียนมองท่าทีของลู่เซิ่งออก เธอจริงจังขึ้นทันที “ฉันจะพยายาม!”
“เอาล่ะ อย่าไปคิดเรื่องเด็กผู้หญิงคนเมื่อวานเลย พวกเรามาเริ่มเรียนกันเถอะ” ลู่เซิ่งเริ่มถ่ายทอดทักษะวาดภาพทันที
ทักษะวาดภาพที่เขาครอบครองมีอยู่มากมาย ทั้งยังยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นต่อให้เอียนจะมีพรสวรรค์มากก็ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจ ถึงจะตามได้ทัน
ทั้งสองเป็นคนที่สมาธิดีอย่างยิ่ง แม้เอียนจะยังเศร้าหมอง แต่ถ้าเครื่องติดขึ้นเมื่อไรก็สามารถเอากระดานวาดภาพมาเริ่มฝึกทันที
ลู่เซิงชี้ข้อผิดพลาดพื้นฐานให้แก่เอียน และมอบการบ้านให้เธอ โดยต้องการให้เธอฝึกฝนวิชาพื้นฐานจำนวนหนึ่งทุกวัน
นับแต่นี้เป็นต้นไป ทั้งสองถือว่าเป็นศิษย์อาจารย์ แม้จะเป็นแค่ศิษย์อาจารย์ด้านวาดภาพก็ตาม
พรสวรรค์ของเอียนร้ายกาจอย่างแท้จริง ยามเจอปัญหา เธอเพียงเพิ่มความตั้งใจเล็กน้อย ก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย ส่วนความเชี่ยวชาญด้านทักษะวาดภาพของลู่เซิ่งก็ไปกว่าเหนือจินตนาการของเธอเสียอีก เหมือนกับไม่ว่าเธอจะถามอะไร ขอแค่เป็นเรื่องการวาดภาพ ก็จะได้รับคำตอบทั้งหมด
เธอเคยนำผลงานของลู่เซิ่งไปให้อาจารย์คนก่อนของตนเองชม อีกฝ่ายถามเธอตรงๆ ว่านี่เป็นผลงานของปรมาจารย์ในประวัติศาสตร์คนไหน
ด้วยคำวิจารณ์ที่แสนจะยกย่องเช่นนี้ ยิ่งทำให้เอียนอุทิศตัวอุทิศใจเรียนวาดภาพกับลู่เซิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
อาการบาดเจ็บของลู่เซิ่งหายดีแล้ว เขาเริ่มฝึกฝนประมวลกฎเกณฑ์พร่างพรายอนธการอีกครั้ง ความก้าวหน้าของห้องทดลองที่ศาสตราจารย์ดาห์ลรับผิดชอบก็รวดเร็วขึ้นเช่นกัน ขณะเดียวกันวัตถุดิบทรัพยากรที่ยื่นเรื่องขอก็มารวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
ในที่สุด หลังจากกินวัตถุดิบทดลองตัวที่ห้า ลู่เซิ่งก็วิวัฒนาการอีกครั้ง
เขาเพิ่งจะฝึกฝนประมวลกฎเกณฑ์พร่างพรายอนธการถึงระดับสี่ ก็กระตุ้นการวิวัฒนาการครั้งที่ห้าสำเร็จ
การวิวัฒนาการขั้นห้าเป็นเพียงการยกระดับเชิงปริมาณ เพียงแค่ระดับการควบคุมของอวัยวะสัมผัสที่หกต่อกระแสอากาศแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ที่เหลือไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใดๆ อีก
เป้าหมายสุดท้ายของการสร้างประมวลกฎเกณฑ์พร่างพรายอนธการก็คือการกระตุ้นให้เกิดการวิวัฒนาการครั้งที่ห้า และในเมื่อการวิวัฒนาการครั้งที่ห้าเสร็จสิ้นแล้ว วิธีการฝึกฝนที่เหลือ จะทำหรือไม่ทำก็ไม่สำคัญอีกต่อไป เป็นเพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นโดยมีพื้นฐานจากการวิวัฒนาการระดับสี่ลงไป
ดังนั้น สิ่งที่ลู่เซิ่งต้องการในตอนนี้ก็คือประมวลกฎเกณฑ์ขั้นห้าที่กระตุ้นให้เกิดการวิวัฒนาการครั้งที่หกได้
และเขาได้รับเบาะแสของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นห้าจากประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลแล้ว
…
พอเรียนจบ ลู่เซิ่งกับแอนดี้ก็ออกจากห้องเรียนไปยังโรงอาหารด้วยกัน
“คุณว่าวิชาช่วงนี้เริ่มยากขึ้นไหม” แอนดี้เอ่ยอย่างหงอยๆ
“…วิชาไหนยากล่ะ” ลู่เซิ่งถาม
“…” แอนดี้โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ผมไม่อยากพูดกับคุณแล้ว…ไอ้บ้าที่สอบได้คะแนนเต็ม คุณไม่รู้ว่าเรียนไปถึงไหนด้วยซ้ำ แต่ก็ยังได้คะแนนเต็มอีก”
“ก็นายแค่ไม่ได้สนใจเท่านั้นเอง” ลู่เซิ่งหัวเราะ
“ก็ได้ ได้ยินมาว่าในชั้นเรียนต้องการเลือกคนเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนความรู้นานาชาติ นั่นเป็นโอกาสดีนะ กิจกรรมระหว่างประเทศระดับสูงแบบนี้เป็นโอกาสฝึกฝนที่หาได้ยากสำหรับนักศึกษา ไม่แน่หลังจบออกไป จะอาศัยเส้นสายที่สร้างในครั้งนี้แสดงความโดดเด่นได้” แอนดี้ส่งเสียงเชียร์
“นายจะไปไหมล่ะ ฉันเป็นคนกำหนดรายชื่อเข้าร่วม เดี๋ยวเพิ่มโควตาให้” ลู่เซิ่งเอ่ย
“…” แอนดี้อ้าปากค้างอยู่อย่างนั้น ก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงอย่างแข็งทื่อ
ทั้งสองนิ่งไปพักหนึ่ง
“ก็ได้ๆ…ฉันรู้ว่าคุณไม่ใช่นักศึกษาธรรมดาแล้ว ฉันรู้ๆ…” แอนดี้ถอนใจอย่างจนปัญญา “แต่ไม่ว่ายังไง พรุ่งนี้ศาสตราจารย์แฮธาเวย์จะมาในคาบกายวิภาคภาคปฏิบัติของพวกเรา ขาดเรียนไม่ได้ด้วยสิ ช่วงนี้คุณเป็นคนลงชื่อแทนฉัน แต่รอบนี้คงทำไม่ได้แล้ว ศาสตราจารย์แฮธาเวย์ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวด เกิดขาดเรียนขึ้นมาคงได้ลำบากจริงๆ แน่ เธอเคยเป็นอาจารย์นักศึกษาปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยพรินสตัน ขณะเดียวกันยังเป็นรองอธิการบดีที่มีชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยเบอร์ลินด้วย ถึงขั้นเคยเป็นนักวิชาการประจำราชวงศ์ มีคุณธรรมกับบารมีสูงส่ง…”
“ไม่ต้องห่วงน่า คาบกายวิภาคพรุ่งนี้เปลี่ยนเป็นฉันแทน ศาสตราจารย์แฮธาเวย์มีธุระกะทันหัน เธอสั่งให้ฉันสาธิตการผ่าตัดให้พวกนายดู นายไม่มาก็ไม่เป็นไรหรอก” ลู่เซิ่งปลอบ
อ๊าก...!
แอนดี้มองเพื่อนสนิทที่เริ่มแปลกหน้าขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความขมขื่น รู้สึกปวดท้องไส้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ถ้าได้เรียนกับคุณ ฉันเป็นบ้าแน่นอน!” เขาเร่งเดินนำหน้าลู่เซิ่งด้วยสีหน้าเหมือนคนท้องผูก
“ช่างเถอะ พวกเราไม่พูดเรื่องเรียนดีกว่า” ลู่เซิ่งตบบ่าเขา “นายรู้สึกไหมว่าช่วงนี้ทางมหาวิทยาลัยวุ่นวายขึ้นทุกทีๆ เดี๋ยวก็ปิดผนึกนั่น เดี๋ยวก็ปิดผนึกนี่”
“มันก็ใช่อยู่หรอก แต่มันทำไมล่ะ” แอนดี้ลูบผ้าพันแผลบนแก้ม บาดแผลครั้งก่อนยังไม่หายดี เขาก็เลยไม่อยากจะไปหาเรื่องอีกแล้ว
“ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้อาจจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรสักอย่าง นายระวังตัวไว้หน่อยก็แล้วกัน อย่าโง่พุ่งไปอยู่แนวหน้าสุดล่ะ” ลู่เซิ่งเตือน
“ไม่ต้องห่วงน่า ฉันไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้นสักหน่อย” แอนดี้ตบอกตัวเอง
ทั้งสองปะปนกับกลุ่มคนเดินเข้าไปในโรงอาหาร แล้วหาที่นั่งลง
ลู่เซิ่งพลิกสมุดจดของตัวเองอย่างทุกที สมุดพวกนี้เป็นสิ่งที่เขาท่องออกมาจากห้องสมุด หลังจากคัดลอกแล้วก็เอามาเรียนต่อ
“จริงสิ แอนดี้ นายบอกว่าตัวเองเชี่ยวชาญเทพนิยายมากใช่ไหม ฉันมีบางจุดไม่เข้าใจ ช่วยดูหน่อยว่าพวกนี้คือสัตว์ประหลาดอะไร”
ลู่เซิ่งโยนสมุดให้แอนดี้
แอนดี้รับมาเปิดอ่าน
บนสมุดเต็มไปด้วยรูปสัตว์ประหลาดพิลึกหายากมากมาย รูปภาพถูกวาดอย่างประณีต และสมจริงราวมีชีวิต รายละเอียดเยอะมาก เหมือนกับมีสัตว์ประหลาดพวกนี้อยู่จริงๆ
“วาดได้สุดยอดไปเลยนี่” แอนดี้พ่อลมหายใจชมเชยขณะเปิดดูภาพบนสมุด
“ไอ้รู้จักมันก็รู้จักหรอก แต่พวกนี้เป็นพวกไม่ค่อยได้รับความนิยม คุณยังอุตส่าห์หามาได้เยอะขนาดนี้ อ่านหนังสือไปกี่เล่มกันแน่เนี่ย” แอนดี้รับปากกาเล่มหนึ่งมา แล้วเขียนชื่อกับลักษณะเด่น รวมถึงสถานที่ที่ปรากฏลงด้านล่างภาพทุกๆ หน้า
“ไม่เท่าไรหรอก ฉันอ่านตอนเวลาเหลือทั้งนั้นแหละ นายก็รู้ว่าพวกเราอ่านในห้องสมุดได้แค่หนึ่งชั่วโมงเอง” ลู่เซิ่งพูดอย่างจนปัญญา
“คุณไปเอาหนังสือพวกนี้มาจากไหน อย่าบอกนะว่าคุณมีลับลมคมในอะไรในห้องสมุดน่ะ” แอนดี้หัวเราะเหอะๆ
“ช่วยไม่ได้ เพราะเวลาอ่านน้อยเกินไป ฉันเลยได้แต่ท่องหนังสือ แล้วกลับมาเขียนที่หอน่ะสิ นายไม่รู้หรอกว่า การเขียนหนังสือสิบเล่มในครั้งเดียวน่ะเป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก…เหนื่อยมากจริงๆ” ลู่เซิ่งว่าพลางส่ายหน้า
“…” จิตใจของแอนดี้ได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก
วันนี้เขายังต้องท่องคำศัพท์อักขระแค่สิบตัวหลายๆ รอบอยู่เลย
ผ่านไปสักพักใหญ่…
“ช่างเถอะๆ…ดูสมุดเล่มนี้สิ เป็นพวกหายากทั้งนั้น ขอบอกคุณเลยนะ ปีศาจพวกนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะผมล่ะก็ยากมากกว่าคุณจะหาเจอ มีสัตว์ประหลาดหลายชนิดที่เป็นเทพบอกเล่ากันมาปากต่อปากจากบางชนเผ่า ไม่มีการบันทึกใดๆ ทั้งสิ้น” แอนดี้ถอนใจพลางกล่าว “เป็นเพราะผมอยู่กับพ่อช่วงหนึ่งในนี้เลยรู้จักอยู่หลายตัว”
เขาเขียนเสร็จอย่างรวดเร็ว
“เอ้า รับไปสิ” เขาคืนสมุดให้ลู่เซิ่ง และเริ่มหยิบเมนูขึ้นมาสั่งอาหาร
ลู่เซิ่งพลิกสมุดดู ไม่นานก็ชะงักไป
หนึ่งในนี้เป็นภาพที่เขาจงใจแทรกไว้ด้านใน สิ่งที่วาดคือสัตว์ประหลาดก้อนเนื้อที่ซ่อนอยู่ในแกนหลักแห่งความโกลาหลที่ได้เจอในห้องสมุดแห่งอดีต
ก้อนเนื้อสีม่วงขนาดยักษ์ที่มีดวงตาใหญ่อยู่ตรงกลาง
เหลือบมองชื่อที่ระบุบนภาพเหมือนคือ ‘เทพเมฆา’
เทพรุ่นใหม่ผู้ควบคุมเมฆและความชื้น ว่ากันว่าเป็นโอรสองค์ที่สิบสามของราชันเทพฮุสนา ครั้งหนึ่ง สูญเสียกายเนื้อไปในการต่อสู้กับเทพรุ่นเก่า จนกลายเป็นเทพเจ้าที่อยู่ในโลกไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิง
……………………………………….