ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 853 กลบฝัง (1)
“เทพเมฆาหรือ” ลู่เซิ่งมองแอนดี้อย่างสงสัย
“เจ้าตัวนี้ไม่ธรรมดานะ” กับข้าวถูกยกมาเสิร์ฟพอดี แอนดี้หยิบน่องไก่ขึ้นกัด
“มันคือตัวร้ายกาจความสามารถด้านการต่อสู้ถูกจัดอยู่ในอันดับสาม เคยเกิดความขัดแย้งกับเทพแห่งความพิโรธเพราะนิสัยใจร้อนเกินไป จนถูกอีกฝ่ายเรียกเหล่าเทพรุ่นใหม่มารุมหลายรอบ แต่ก็ยังฝ่าวงล้อมออกมาได้ แค่บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น”
เขาเลียริมฝีปากพลางส่ายหน้า
“ตามเทพนิยาย ถ้าไม่ใช่มันถูกรุมจนบาดเจ็บสาหัส ก็ไม่มีทางถูกเหล่าเทพรุ่นเก่าฉวยโอกาสโจมตีจนสูญเสียกายเนื้อไป ดังนั้นมันเลยเป็นศัตรูคู่แค้นกับเทพแห่งความพิโรธในหมู่เทพรุ่นใหม่”
“นอกจากนี้ให้ทิ้งเรื่องตำนานอะไรไปก่อน พลังเทพของมันคือการควบคุมเมฆหมอก หรือควรบอกว่าทุกสิ่งที่อยู่ในสภาพหมอก ไม่ว่าจะเป็นวัตถุใดก็ตาม พ่อฉันเชี่ยวชาญการยืมพลังเทพฝั่งนี้มาก เป็นเพราะต้องไล่ล่าสาวกเทพนอกรีต ดังนั้นพวกที่เขายืมพลังมากที่สุดจึงเป็นเทพรุ่นใหม่ และเคยยืมพลังจากเจ้าตัวนี้ด้วย”
“หือ” ลู่เซิ่งเพิ่งเคยได้ยินว่าพลังเทพสามารถยืมได้เป็นครั้งแรก โลกใบนี้แตกต่างจากโลกมารสวรรค์ของเขา พลังเทพของที่นี่เป็นคนละนิยามกับพลังเทพที่ใช้ควบคุมก่อนหน้า
พลังเทพของที่นี่ไม่ใช่พลังแห่งศรัทธา แต่เป็นพลังที่มาจากตัวของเทพรุ่นเก่าและเทพรุ่นใหม่
แอนดี้ส่ายหน้า ท่าทางไม่อยากนึกย้อนความหลัง
“ผลลัพธ์ของการยืมพลังไม่ดีเท่าไร ตอนนั้นพ่อฉันป่วยหนักเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนจนเกือบตาย ของบูชาที่มอบให้ก็เยอะกว่าเทพองค์อื่นไม่น้อย เจ้าตัวนี้มันโลภมาก”
“หมายความว่ามีเทพเจ้า หรือเทพรุ่นใหม่อยู่จริงๆ งั้นเหรอ” ลู่เซิ่งถาม
“แน่นอน ความจริง ฉันว่าเทพเจ้าพวกนี้ เทพรุ่นใหม่ก็ดี เทพรุ่นเก่าก็ดี ต่างเป็นตัวตนยิ่งใหญ่ที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด พวกมันต่อสู้กันเองเพราะสาเหตุอะไรสักอย่าง แต่การต่อสู้นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับสังคมมนุษย์ ในหมู่มนุษย์ มีสถานที่สำคัญทั้งหมดห้าแห่ง มหาวิทยาลัยมิสกาของพวกเราเป็นหนึ่งในนั้น สิ่งที่พวกเราต้องทำมีแค่ปกป้องตัวเองเท่านั้น” แอนดี้ถอนใจ “เหมือนกับปิดเทอมครั้งก่อน พ่อฉันเกือบตายเพราะการต่อสู้ของเทพทั้งสองนี่แหละ”
“ไหนเล่ามาหน่อย”
“ไม่มีอะไรให้เล่าหรอก สาวกสัตว์ประหลาดสองฝั่งเข่นฆ่ากันเอง ความจริงเหล่าเทพเบื้องบนไม่ได้สนใจพวกแมลงพวกนี้ แม้แต่สาวกของตัวเองพวกมันก็ยังกิน เทพพวกนี้นไม่สนใจหรอกว่าพวกมนุษย์มีท่าทีต่อพวกมันอย่างไร” แอนดี้เอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นขม
“ดังนั้นอย่าเพิ่งเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้เลวร้าย ความจริงสาวกบางส่วนเป็นพวกก่อขึ้นทั้งนั้น ถ้าหากเป็นฝีมือพวกเทพจริงๆ คงไม่ลำบากแค่นี้หรอก”
“นายเหมือนกับเคยเห็นมาก่อนเลยนะ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงสัย อดีตของแอนดี้ดูลึกลับยิ่ง
“ไว้ค่อยเล่าให้ฟังวันหลัง” แอนดี้ก้มหน้ากินไก่ต่อ “กินข้าวเถอะ”
ลู่เซิ่งพยักรับก้มหน้าหยิบช้อนตักข้าว ช้อนนี้ใช้งานดียิ่ง ข้าวอ่างหนึ่งตักเจ็ดแปดช้อนก็หมด สะดวกมาก
ทั้งสองกินข้าวอย่างรวดเร็ว แอนดี้รู้ความเร็วของลู่เซิ่งดี ช่วงนี้ลู่เซิ่งกินอาหารเร็วขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่รีบตามแค่ห้านาทีไม่มีทางได้กินแน่
ท่ามกลางเสียงโลหะกระทบกัน รองเท้าบู๊ตสีขาวสองคู่เดินมาถึงข้างโต๊ะทั้งสองตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“ยาเลียน แคลร์ พวกนายมาได้ไงเนี่ย” พอแอนดี้เงยหน้าเห็นทั้งสองคนยืนอยู่ด้านข้าง พลันตกใจเล็กน้อย ผุดลุกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว
ลู่เซิ่งเงยหน้ากวาดตามองทั้งสองคน
คนหนึ่งเป็นผู้ชายเบ้าตาลึกโหล สีหน้าเหน็ดเหนื่อย ผมสั้นสีทองยุ่งเหยิง ร่างกายผอมบางสวมใส่เสื้อสะอาดสะอ้าน
อีกคนเป็นหญิงสาวเหมือนคุณหนู ผมยาวสีบลอนด์ม้วนเป็นลอน คางเชิดเล็กน้อย ดวงตาเรียวหรี่นิดๆ ใบหน้าไม่นับว่างดงาม แต่ดูแลผิวพรรณได้ไม่เลว
เพียงแต่เธอเคี้ยวไม้จิ้มฟันแท่งหนึ่งเหมือนเคี้ยวซิการ์ สวมกระโปรงและถุงน่องสีดำของมหาวิทยาลัย เท้าสะเอวด้วยแขนข้างหนึ่ง แยกสองขาและเอียงหัวเล็กน้อย เผยกลิ่นอายนักเลง
“มีธุระต้องรบกวนนายหน่อยน่ะแอนดี้ พวกเราเจอปัญหาแล้ว” ยาเลียนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“ปัญหาอะไรกัน” แอนดี้งุนงง “พวกเราไม่ใช่เพิ่งจัดการปัญหาก่อนหน้านี้ไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
ยาเลียนหันไปมองลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้าง คล้ายลังเลว่าจะพูดดีหรือไม่
“ไม่เป็นไร เขาเป็นเพื่อนฉัน พูดได้เลย” แอนดี้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องของพวกเราอย่าไปดึงคนธรรมดาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยจะดีกว่า” แคลร์ที่อยู่ด้านข้างสอดปาก
“ถูกต้อง…เรื่องในครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้า พวกเรา…” ยาเลียนยังคิดจะอธิบาย อยู่ๆ หนังตาของเขาก็กระตุก เงยหน้ามองฝั่งตรงข้าม
บนทางที่กั้นด้วยโต๊ะอาหารสองตัวด้านหน้า ผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลาจนไม่มีอะไรให้ตำหนิ ยกมือทักทายคนทั้งสอง
เขาเหมือนจะรู้จักยาเลียนกับแคลร์ หญิงสาวแก้มแดงสองคนนั่งอยู่หน้าชายคนนี้ เหมือนจะชอบพอคนคนนี้ จึงคล้ายจะชิงดีชิงเด่นกัน
“บ้าจริง ไอ้หมอนี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่?!” ยาเลียนตัวสั่น อดถอยหลังก้าวหนึ่งไม่ได้
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้น แคลร์ที่อยู่ข้างๆ ก็เปลี่ยนสีหน้าเช่นกัน ตัวเกร็งขึ้นมาเหมือนเคยเสียท่าให้อีกฝ่ายมาก่อน
แอนดี้หันไปมองคนนั้น
เพียงแค่พริบตา เขาก็รู้สึกขนลุกขนพอง
“มันนี่เอง!? ยังไม่ตายเหรอเนี่ย!? พวกนายรับปากว่าจะขังมันไว้ในคุกชั้นสุดท้ายแล้วไม่ใช่เหรอะ!? ตอนนี้มันออกมาแล้ว แถมยังมากินข้าวที่โรงอาหารของนักศึกษาอย่างไม่เกรงกลัวอีกต่างหาก!? พวกนายบ้าไปแล้วเหรอไง!?”
แอนดี้หน้าซีดทันที พวกเขาต้องใช้ความพยายามและการเสียสละมากมาย กว่าจจับไอ้หมอนั่นไว้ได้ และส่งตัวให้ระดับสูงของมหาวิทยาลัยกักขังลงโทษ อีกฝ่ายมีพลังน่ากลัวเกินไป ถ้าไม่ใช่วางแผนรัดกุม สร้างสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์ อาศัยพลังเพียงน้อยนิดของสภานักศึกษา ไม่มีทางจับไอ้หมอนั่นไว้ได้แน่นอน
พวกเขากลายเป็นคู่แค้นเพราะเรื่องในอดีต ตอนนี้อีกฝ่ายกลับออกมาแล้ว…
“พวกเราก็หมดหนทางเหมือนกัน…” ยาเลียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ไม่รู้ว่าระดับสูงของมหาวิทยาลัยคิดอะไรอยู่ ยังไงฉันก็ทำใจได้แล้ว แต่เรื่องนี้ไม่อาจปัดความรับชอบได้ เป็นเพราะ”
“เป็นเพราะมันถูกพวกเราจับขัง” แคลร์หัวเราะเย็นชา “มันเสียท่าตั้งขนาดนั้น จะยอมปล่อยผ่านได้ยังไง”
ทั้งสามจิตใจมืดหม่น รู้สึกว่าวันเวลาต่อจากนี้ไม่สดใสแล้ว ไอ้หมอนั่นจะต้องแก้แค้นอย่างแน่นอน!
“นี่ พวกนายพูดอะไรกันแน่ ทำไมฉันฟังไม่รู้เรื่องสักนิดเลยล่ะ” ลู่เซิ่งถามขึ้นอย่างฉงน
“พวกเรา…” แอนดี้ยิ้มหนักใจ ขณะกำลังจะอธิบาย
“เฮ้” อยู่ๆ เสียงผู้ชายอ่อนโยนและน่าดึงดูดก็ตัดบทพวกเขา
“แอนดี้ ไม่เจอกันนานนะ ลุงคนนี้เป็นเพื่อนนายเหรอ ดูท่าสนิทกันน่าดูนี่”
หนุ่มหล่อผมทองที่ตอนแรกนั่งอยู่ตรงนั้น เดินมาหาพวกเขาทั้งสี่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ยกมือทักทายแอนดี้ด้วยใบหน้าร่าเริง
“แจ๊ค อย่าไปพูดกับมันนะ…” แอนดี้ลนลาน กำลังจะลุกไปขวางด้านหน้าลู่เซิ่ง แต่ลู่เซิ่งกลับลุกขึ้น และมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นเดียวกัน
“ฉันกับแอนดี้เป็นเพื่อนสนิทกัน เรียกฉันว่าแจ๊คก็ได้” เขายื่นมือออกไปหาอีกฝ่าย
ชายผมทองมองมือของลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบสนอง ยื่นมือออกมาจับกับลู่เซิ่งเบาๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมยูซา อูส จะเรียกผมว่ายูซาก็ได้”
แอนดี้กับอีกสองคนคิดจะห้ามแต่ไม่ทันกาล เห็นทั้งสองจับมือกันแล้ว
แอนดี้เหงื่อแตก
ถึงแม้ว่าเพื่อนสนิทของตนจะเป็นบุคคลระดับเทพการเรียน แต่เมื่อเทียบกับยูซานั้นก็ยังอ่อนแอเกินไป
จนถึงตอนนี้ไอ้หมอนี่ทำร้ายสมาชิกหัวกะทิของสภานักศึกษาไปแล้วสิบสามคน ความเหี้ยมโหดของมันไม่มีใครเทียบเคียงได้
แม้แจ๊คจะร้ายกาจมาก แต่สองฝ่ายอยู่คนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง…
“ดูเหมือนเพื่อนของคุณจะประหม่ามากเลยนะ” มุมปากยูซาตวัดเป็นรอยยิ้มสง่างาม ก่อนจะค่อยๆ คลายมือ
“เขาไม่ค่อยเชื่อใจในตัวฉันเท่าไรน่ะสิ ความจริงฉันเชื่อมั่นในตัวเองมากนะ” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“พอจะมองออกอยู่ คุณแตกต่างกับแอนดี้ คนอย่างคุณน่ะไม่มีทางทำอะไรไม่มีหัวคิดหรอก ลองได้ตัดสินใจแล้ว อย่างนั้นก็ต้องพิจารณาความเป็นไปได้ทั้งหมดแน่นอน” ยูซากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “แวบแรกที่เห็นคุณ ผมก็รู้แล้วว่าพวกเรามันคนประเภทเดียวกัน”
“งั้นหรือ” ลู่เซิ่งชักมือกลับ รอยยิ้มบนใบหน้าล้ำลึกกว่าเดิม
ทั้งสองคนสบตากัน เห็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้จากดวงตาของอีกฝ่าย
“ผมอยู่ที่เขตสอนพิเศษทางตะวันตก ตึกยี่สิบสาม ถ้ามีเวลามาหาผมได้นะ ผมยินดีต้อนรับเพื่อนของแอนดี้อยู่แล้ว” ยูซากล่าวอย่างจริงจัง
“ถ้าว่างฉันไปหาแน่” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
แอนดี้ ยาเลียน กับแคลร์ยืนอยู่ด้วยกัน ยามนี้มองอย่างตกตะลึงเล็กน้อย
สนามพลังของยูซาเป็นอย่างไร พวกเขาเคยประสบมาด้วยตัวเอง แรงกดดันแข็งแกร่งไร้รูปร่างที่คงอยู่ทุกที่แบบนั้น สามารถกดทับทุกคนที่เผชิญหน้ากับเขาได้โดยไม่รู้ตัว เป็นเหตุให้ถูกสะกดสภาวะและพลังใจลงหนึ่งระดับ
แม้แต่อาจารย์กับรองศาสตราจารย์เมื่อก่อนหน้านี้ ก็ยังเคยถูกสนามพลังของยูซากดทับจนเหงื่อตกเช่นกัน
แต่ตอนนี้ แจ๊คที่เป็นเพื่อนของแอนดี้กลับไม่เป็นอะไรเลยภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลของยูซา แถมยังพูดคุยสนทนากันได้อีก
นี่มันน่าเหลือเชื่อโดยแท้!
ยูซาผละไป ทั้งสี่คนจึงนั่งลง
หลังผ่านไปสักพัก แอนดี้ก็เอ่ยอย่างอดไม่ไหว
“คุณ…คุณ…ไม่โดนสนามพลังของมันสะกดเหรอ!?”
ลู่เซิ่งมองเขาอย่างสงสัย
“หมายถึงยูซาเมื่อกี้เหรอ”
“ใช่…” ยาเลียนกับแคลร์มองเขาเหมือนเห็นผี พวกเขาคืออัจฉริยะสายต้องห้ามกับสายพิเศษ รุ่นพี่ปีสาม และหน่วยปฏิบัติการของสภานักศึกษานะ!
พวกเขาที่มีประสบการณ์มากมาย และประมวลกฎเกณฑ์อยู่ในขอบเขตสูงล้ำ ไม่อาจรักษาความเยือกเย็นต่อหน้ายูซาได้ แต่นักศึกษาปีหนึ่งอย่างลู่เซิ่ง ต่อให้จะเป็นอัจฉริยะขนาดไหน ก็ไม่มีทางรักษาความเยือกเย็นได้อย่างสมบูรณ์
แต่แม้ทางทฤษฏีจะทำไม่ได้ ทว่าในความจริง ลู่เซิ่งกลับทำได้
ลู่เซิ่งหวนนึกถึงคนคนนั้น
คลื่นพลังบนตัวยูซ่าคลุมเครือเป็นอย่างมาก คล้ายกับไอ้ตัวที่ซ่อนอยู่ในตัวของแอนดี้อยู่หน่อย แม้แต่แอนดี้ก็ยังกลัวอีกฝ่าย หมายความว่า ตัวที่อยู่ในร่างเขาแข็งแกร่งกว่าตัวในร่างแอนดี้
เขารู้สึกว่า พลังประมวลกฎเกณฑ์ของเขาในตอนนี้ยังไม่มากพอที่จะต่อสู้กับตัวตนระดับนี้ ปัจจุบันเขาอยู่ในระดับมาตรฐานทั่วไปของรูปแบบที่ห้าที่มีการบันทึกไว้บนหนังสือเรียนเท่านั้น
หากเปลี่ยนเป็นระดับของเบื้องบน นั่นก็คืออวัยวะที่หกระดับรองศาสตราจารย์และศาสตราจารย์
ระดับนี้ในมหาวิทยาลัยถือว่าร้ายกาจแล้ว อย่างไรศาสตราจารย์ก็มีแค่ไม่กี่คน แต่คนที่บรรลุเงื่อนไขของลู่เซิ่งจริงๆ มีน้อยยิ่งกว่าเสียอีก
ทว่า ถ้าบวกรวมกับพลังของร่างหลักด้วยแล้ว เขาย่อมไม่ต้องกลัวอะไร เพียงแต่พลังของร่างหลักไม่อาจใช้ได้ตามใจ นอกเสียจากการกางค่ายกลจุติจะเสร็จสิ้นเท่านั้น
“เอาล่ะ กินข้าวกันเสร็จแล้ว พวกนายจะทำอะไรล่ะ เหมือนว่าพวกนายจะมีธุระต้องจัดการนะ” ลู่เซิ่งอ่านใจคนไออก “ฉันขอตัวไปห้องสมุดก่อน ยังไม่ได้ใช้หนึ่งชั่วโมงของวันนี้เลย”
……………………………………….