ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 855 สัญญา (1)
ด้านในหอพัก
ลู่เซิ่งหาสมุดเล่มหนึ่งมาเขียนประมวลกฎเกณฑ์ที่เพิ่งจำมา
ประมวลกฎเกณฑ์ขั้นห้าในห้องสมุดราตรีมีทั้งหมดสิบสามเล่ม เขาเลือกหนังสือที่ค่อนข้างเป็นสากลที่สุดชื่อ ประมวลกฎเกณฑ์ราตรีลวง
ไม่ใช่เพราะประมวลกฎเกณฑ์ส่วนนี้มีความพิเศษอะไร แต่เป็นเพราะประมวลกฎเกณฑ์เล่มนี้บรรจุประมวลกฎเกณฑ์องค์รวมสองชุดของรูปแบบที่ห้าและรูปแบบที่หก
เพราะเชื่อมโยมกันได้ดี จึงทำให้รากฐานมั่นคงอย่างรวดเร็วได้
บางทีประมวลกฎเกณฑ์ชุดนี้อาจจะไม่มีวิธีการฝึกฝนที่สุดโต่ง ทว่ากฎเกณฑ์ในแต่ละด้านไม่มีทางเกิดข้อผิดพลาด และไม่มีจุดอ่อนกับข้อบกพร่องที่ชัดเจน เหมาะสมกับนิสัยค่อยเป็นค่อยไปของลู่เซิ่งพอดิบพอดี
ประมวลกฎเกณฑ์เล่มอื่นก็ย่อมแข็งแกร่ง แต่ประมวลกฎเกณฑ์ไม่น้อยที่มีข้อบกพร่องและปัญหาในด้านอื่นๆ
อย่างไรอวัยวะที่หกก็เป็นของปีศาจจากห้วงความว่างเปล่า ไม่ใช่ของมนุษย์ ความเข้ากันได้จึงมีปัญหาบ้าง
ลู่เซิ่งคัดลอกประมวลกฎเกณฑ์ราตรีลวงอย่างตั้งใจ จากนั้นก็ตรวจสอบความถูกผิด จึงค่อยนำเชือกมามัดเข้าเล่มสมุดที่เขียน
‘ช่วงหลังมานี้พลังไม่ค่อยพอใช้แล้ว ได้พลังอาวรณ์มามากมายขนาดนี้พอดี ขอดูหน่อยว่า ถ้ายกระดับขึ้นไปเรื่อยๆ จะยกระดับได้ถึงระดับไหนกันเชียว’
เขาหยิบสมุดคัดลอกของประมวลกฎเกณฑ์ขั้นห้าขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด
วิธีฝึกฝนของประมวลกฎเกณฑ์กับทักษะการฝึกฝนจำนวนมาก เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนด้วยซ้ำ มันใช้ประโยชน์จากขีดจำกัดของมนุษย์ และคุณลักษณะเด่นของปีศาจจากห้วงความว่างเปล่า ทักษะการฝึกฝนที่ออกแบบขึ้นหลังจากผสมสองสิ่งไว้ด้วยกันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
หลังจากศึกษาประมวลกฎเกณฑ์ราตรีลวงโดยรวมรอบหนึ่ง ลู่เซิ่งก็เรียกดีปบลูออกมาอีกครั้ง เตรียมจะทดลองยกระดับครั้งต่อไป
‘ยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ราตรีลวงหนึ่งระดับ’
ประมวลกฎเกณฑ์ราตรีลวงทั้งหมดสิบเจ็ดระดับ ช่วงรูปแบบที่ห้ามีเก้าระดับ ช่วงระดับที่หกมีแปดระดับ
หรือหมายความว่า ตัวประมวลกฎเกณฑ์มีประโยชน์ในการฝึกฝนรูปแบบที่ห้ากับรูปแบบที่หก
ไม่นานนัก หลังลู่เซิ่งออกคำสั่งทางความคิด พลังอาวรณ์ก็ทะลักออกมาจากกลางดีปบลู เริ่มกระจายไปทั่วร่าง ดำเนินการปรับเปลี่ยนครั้งใหม่
ลู่เซิ่งคุ้นเคยกับกระบวนการยกระดับเช่นนี้เป็นอย่างยิ่ง ขอแค่ต้องรอเงียบๆ สภาพร่างกายกับความสามารถใหม่หลังยกระดับจะไหลเข้าสู่สมอง แล้วกลายเป็นสัญชาตญาณเอง
ต่อจากนี้เพียงแค่ต้องหลอมรวมความสามารถเข้ากับการต่อสู้ของตัวเองก็เป็นอันใช้ได้
ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ การใช้พลังอาวรณ์ยกระดับสิ้นเปลืองมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลู่เซิ่งคำนวณว่าการยกระดับครั้งนี้ได้ผลาญพลังอาวรณ์ไปเกือบห้าหมื่นหน่วย
…
ในห้องที่อยู่ใกล้เคียง
เออร์นีปลดเข็มขัดบนกระโปรงออก เผยให้เห็นขาเรียวยาวกับสะโพกโค้งมนงดงาม จากนั้นก็ดึงถุงน่องลงจากเอวไปตามสะโพกและขา จนกระทั่งถึงส้นเท้า
เธอถอดกระโปรงและเสื้อออกเป็นอย่างสุดท้าย จากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำ น้ำร้อนตกกระทบพื้นมีไอร้อนลอยขึ้นมา
เธอยื่นมือไปลูบขอบหน้าต่าง สบู่ที่อยู่ในกล่องเก็บสบู่เหลือเพียงก้อนเล็กเท่านิ้วโป้ง
‘หมดอีกแล้ว…ต้องลดค่าใช้จ่ายของเดือนนี้ลงอีกหน่อย…สบู่แบบนี้คงต้องใช้น้อยลง…’
เออร์นเผยสีหน้าจนปัญญา
สมาคมเดอลันด์สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายเยอะกว่าที่คิดไว้ แค่การแย่งชิงกับกลุ่มอัคคีม่วงในช่วงนี้ก็ทำให้เธอเหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องหาวัตถุโบราณหลายชิ้นจากสมบัติของตระกูลประมูลออกไป จึงรักษาสภาพคล่องตัวไว้ได้
แต่นี่เป็นเพียงแผนระยะสั้นเท่านั้น อย่างไรวัตถุโบราณของตระกูลก็มีจำกัด ไม่อาจใช้วิธีนี้แก้ปัญหาได้ตลอด
‘พรุ่งนี้สายพิเศษต้องดำเนินการจำลองการต่อสู้ บุคคลสำคัญอย่างน้อยหนึ่งในสิบจากทวีปยุโรปอาจจะมาชมการฝึกซ้อมนี้…นี่เป็นโอกาสที่จะขอความช่วยเหลือได้!’
เออร์นีกำหมัดแน่น ใบหน้างามฉายแววแน่วแน่
เธอรีบอาบน้ำแล้วเข้านอนแต่หัวค่ำ
สิ่งที่น่าปวดหัวมากกว่าคือ ช่วงนี้เธอนอนไม่ค่อยหลับเท่าไร เพราะมักรู้สึกว่ามีอะไรสั่นๆ อยู่ข้างตัว เหมือนกับมีรังสีพลังงานจำนวนมากกำลังไหลเวียนอยู่ใกล้กับเธอมาก
เช้าตรู่วันต่อมา เธอตื่นขึ้นมาหลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็สะพายกระเป๋าออกไปด้านนอก
ในขณะที่เดินผ่านห้องห้องหนึ่งบนระเบียง
เปรี้ยง!
ด้านในห้องนั้นก็มีเสียงกระแทกหนักอึ้งดังออกมา
“บ้าเอ๊ย!” เสียงชายคนหนึ่งดังมาจากด้านใน
เออร์นีชะงักเท้าไป เธอจำเสียงของอีกฝ่ายได้ นั่นก็คือแจ๊ค เทาซันด์ นักศึกษาพลังสายลมแห่งการประสานที่เคยปฏิเสธไม่เข้าร่วมกับสมาคมเดอลันด์
ชายอายุสามสิบปีที่มีดวงตาคมกริบกระจ่างคู่นั้น คล้ายกับมีเป้าหมายชัดเจนคนนั้น
พอนึกถึงตรงนี้ เออร์นีก็พลันหดหู่ยิ่งกว่าเดิม
‘บางทีการที่เขาไม่เข้าร่วมอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว สมาคมเดอลันด์…บางทีเราอาจไม่มีคุณสมบัติกับความสามารถในการบริหารสมาคมเดอลันด์ก็ได้…แค่ฝืนอยู่เท่านั้น’
แกร๊ก
พอดีกับที่ประตูห้องของแจ๊คเปิดออก ด้านในมีควันพวยพุ่งออกมา แต่เมื่อมองให้ละเอียดก็เหมือนจะไม่ใช่
ลู่เซิ่งเดินออกมาด้วยสภาพแต่งกายเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตกางเกงสแลค รัดเข็มขัดทับเครื่องแบบพอดีตัวสีดำตามระเบียบมหาวิทยาลัย
แค่กๆ…
ลู่เซิ่งกระแอมไอสองสามครั้ง ก่อนจะเงยหน้าเห็นเออร์นียืนอยู่หน้าประตูห้องพอดี
“เอ่อ…สวัสดี”
“สวัสดีค่ะ…” เออร์นีพงกหัวรับเล็กน้อยทักทายตามมารยาท
เธอก้าวขาเตรียมจะจากไป อยู่ๆ ก็ฉุกนึกอะไรขึ้นได้ จึงชะงักไปเล็กน้อย
“ช่วงนี้พวกเราเริ่มฝึกต่อสู้แล้ว พวกคุณก็ต้องออกปฏิบัติการเหมือนกัน ถ้าไม่จำเป็น อย่าอดนอนจะดีกว่า ทุกวันกำหนดเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่เอาไว้ แม้คุณจะไม่เข้าร่วมกับสมาคมเดอลันด์ แต่ฉันก็เตือนด้วยความหวังดีจากส่วนตัวฉันเอง”
“ขอบใจ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ” เออร์นีลอบถอนใจ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ เธอคงถือโอกาสเชิญชวนอีกฝ่าย แต่ตอนนี้ สถานการณ์ในสมาคมเดอลันด์แย่ลงเรื่อยๆ เธอก็เลยไม่มีความคิดนั้นอีก
ลู่เซิ่งมองอีกฝ่าย ต้องยอมรับว่าเออร์นีเป็นสาวงามที่พบเจอได้ยากมากคนหนึ่ง รูปร่างสมส่วนโค้งเว้าชัดเจนเสียจนเป็นสัดส่วนสมบูรณ์แบบ ถูกรัดอยู่ในชุดเครื่องแบบกระโปรงสีเข้ม อกตระหง่านชวนให้รู้สึกถึงความบริสุทธิ์ของนักศึกษา แม้จะไม่โชว์เนื้อหนัง แต่กลับน่าหลงใหลกว่าเดิมเสียอีก
เข็มขัดรัดเอวขอบกระโปรงพอดิบพอดี ขับเอวคอดกิ่ว ไหนจะขายาวกับสะโพกผายที่อยู่ใต้ถุงน่องสีดำ ต่อให้เดินปกติทั่วไป ก็ยังให้ความรู้สึกแน่นเต่งตึงเพราะก้นงามงอน
บวกกับเธอน่ารักน่าเอ็นดู ทั้งยังมีความสง่างามแบบลูกคุณหนู จึงกระตุ้นความปรารถนาอยากปกป้องและพิชิตของเพศชาย…เปรี้ยง!
เออร์นีที่เดินถึงหน้าประตูก็หัวโขกเข้ากับด้านขวาของกรอบประตู ขายาวยกขึ้นหมุนกลางอากาศรอบหนึ่ง ก่อนจะหงายล้มลงไป
เห็นได้ชัดว่าเธอคิดเลี้ยวขวาแต่เหมือนกำลังเหม่อๆ เลยเกิดอุบัติเหตุขึ้น
หน้าผากชนกับขอบประตูอย่างแรง แม้แต่ลู่เซิ่งก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงแรงสั่นไหวน้อยๆ ทจากทางกำแพง
เขาส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด
‘หมดสวยซะแล้ว’ ลู่เซิ่งกระชับกระเป๋าหนังสือ พลิกมือปิดประตู เตรียมจะไปกินข้าว เมื่อคืนฝึกฝนจนไม่ได้นอน อุตส่าห์ยกระดับประมวลกฎเกณฑ์ราตรีลวงถึงระดับที่สี่ได้แล้ว เขาในตอนนี้อาจจะเลื่อนสู่รูปแบบที่หกได้ตลอดเวลา แต่เป็นเพราะสารอาหารจากห้วงความว่างเปล่าในร่างกายหมดแล้ว จึงจำเป็นต้องกินปีศาจจากห้วงความว่างเปล่าจำนวนมากอีกครั้ง
ร่างหลักเริ่มเพิ่มพลังจิตวิญญาณขึ้นอีกขั้นเพราะการยกระดับครั้งนี้เช่นกัน การยกระดับครั้งหน้าต้องรออีกสักสองสามวัน
นึกไม่ถึงเพิ่งออกมาก็จะเจอเออร์นีเข้าโดยบังเอิญ
ลู่เซิ่งปิดประตูก่อนเดินไปถึงสุดทางระเบียง แล้วพบว่าเออร์นีที่อยู่บนพื้นยังไม่ฟื้น
เขาเขยิบเข้าไปมองใกล้ๆ หน้าผากของหญิงสาวคนนี้ปูดนูนเท่าลูกท้อตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เหมือนจะช้ำใน
หน้าของเธอยับยู่ยี่ แม้จะยังงดงามบริสุทธิ์และน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเดิม แต่ขอบตาดำคล้ำกับสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อยนั้นต่อให้เป็นคนโง่ก็พอมองออกจากได้ว่าตอนนี้หญิงสาวคนนี้อยู่ในช่วงเวลาลำบาก
“เด็กน้อยน่าสงสาร ชนแรงขนาดนี้ ต้องเจ็บมากแน่” ลู่เซิ่งส่ายหน้าน้อยๆ “เธอนอนไปก่อนนะ ฉันจะไปเรียกคนให้” เขาก้าวข้ามร่างเออร์นีไป
“นี่! คุณจะไปแบบนี้งั้นเหรอ” เพิ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ด้านหลังก็มีเสียงตะโกนของเออร์นีดังขึ้นมา
ลู่เซิ่งหันไปอย่างเหนื่อยหน่ายใจ
“เธอสลบอยู่ไม่ใช่เหรอไง”
“…” เออร์นีไม่บอกว่าเธอแค่คิดซ้อนแผน มอบโอกาสให้ลู่เซิ่งอีกครั้ง บางทีอาจใช้เสน่ห์ของตัวเอง ดึงเขาเข้าร่วมสมาคมเดอลันด์ได้
แต่ใครจะไปคิดว่าลู่เซิ่งจะไม่มาอุ้มเธอ…
เธอลุกขึ้นนั่งด้วยใบหน้าบูดบึ้ง จ้องคุณลุงอายุสามสิบที่เชื่อมั่นในตัวเองอย่างแรงกล้าแต่ไหนแต่ไรผู้นี้ พร้อมกับระบายลมหายใจ
“ช่วยดึงฉันลุกขึ้นหน่อยได้ไหม ในฐานะสุภาพบุรุษ แค่นี้คุณลุงไม่น่าปฏิเสธมั้ง”
“แน่นอน” ลู่เซิ่งเอื้อมไปจับแขนของเธอ แล้วดึงเธอให้ลุกขึ้นยืน
เออร์นีมองลู่เซิ่งด้วยสายตาซับซ้อน
“คุณ…ไม่ชอบผู้หญิงแบบฉันเหรอ”
“ไม่ใช่” ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“หรือคุณไม่อยากจีบฉัน” เออร์นีถามอีก
“ไม่ใช่”
“แล้วทำไมคุณไม่มาอุ้มฉันตอนสลบล่ะ ในสถานการณ์ปกติ คุณควรจะมากอดฉันตอนสลบ ผายปอดให้ฉัน ปั๊มหัวใจให้ฉัน แล้วก็ฉวยโอกาสเอาเปรียบสิ”
นับตั้งแต่ที่เออร์นีเกือบถูกอาทำมิดีมิร้ายตอนอายุสิบขวบ เธอก็มองสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าผู้ชายทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว เมื่อครู่ถ้าลู่เซิ่งทำแบบนั้น เธอก็จะฟื้นขึ้นมาหยุดเขาทันที จากนั้นก็ใช้จุดอ่อนนี้บังคับให้เขาเข้าร่วมสมาคมเดอลันด์
แล้วถ้าถูกเอาเปรียบจริงๆ ล่ะ ค่าพลังการต่อสู้ของนักศึกษาสายลมแห่งการประสานแตกต่างกับเธอไม่ใช่แค่สองช่วงถนน เธอจึงไม่กังวลอะไรในเรื่องนี้เลย
“เอาเปรียบเธอแล้วฉันจะได้อะไรล่ะ” ลู่เซิ่งย้อนถาม
“เอ่อ…” เออร์นีอึ้งไป
“ในเมื่อฉันเอาเปรียบเธอแล้วไม่ได้อะไร ทำไมฉันต้องมาอุ้มเธอด้วยล่ะ” ลู่เซิ่งว่าต่อ
“…” เออร์นีตกตะลึงกับหลักตรรกะอันน่าอัศจรรย์ของลู่เซิ่ง
“เด็กน่าสงสาร ดูตัวเองสิ กดดันตัวเองจนกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว” ดวงตาลู่เซิ่งฉายแววอาดูร
“แมลงน่าสงสารที่ถูกตระกูลล้างสมอง…ยินยอมจ่ายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเกียรติของตระกูล ใช้แม้กระทั่งร่างกายตัวเองเป็นแต้มต่อ เธอชอบทำร้ายตัวเองนักเหรอไง”
เออร์นีอ้าปาก นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้ชายพูดคำพูดเช่นนี้ต่อหน้าเธอ ก่อนหน้านี้ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็ล้วนอยากได้ตัวเธอ ทำมิดีมิร้ายเธอ แต่ชายตรงหน้า…กลับแตกต่างออกไป
ถูกต้อง เขาแตกต่างออกไป
……………………………………….