ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 86 ความลับ (2)
[ระดับห้า…] ลู่เซิ่งเห็นด้านหลังมีปุ่มกดเรียนรู้วรยุทธ์อยู่จริงๆ ซึ่งความจริงบนปุ่มกดนี้ไม่ได้บอกเพียงว่าเรียนรู้วรยุทธ์เท่านั้น
เพียงแต่เขานึกแบบนี้มาโดยตลอด
ขอแค่ปราณหยินมากพอ ด้านหลังวรยุทธ์ทั้งหมดจะปรากฏปุ่มแบบนี้ เพียงแต่วรยุทธ์ก่อนหน้าของเขาต่างถึงระดับสูงสุด หลังกดปุ่มก็กลายเป็นการเรียนรู้ ตอนนี้วิชาลมปราณแดงฉานมีเจ็ดระดับ ในระยะเวลาอันสั้นไม่อาจฝึกถึงจุดสูงสุด นี่จึงทำให้เขาเห็นเป็นครั้งแรกว่า ปุ่มยังแสดงไว้ด้านหลังวรยุทธ์ที่ยังฝึกฝนไม่ทันสมบูรณ์
‘ทดลองดู’ ลู่เซิ่งรวมจิตสำนึกบนปุ่มกดหลังวิชาลมปราณแดงฉาน กดลงเบาๆ
ฟุ่บ
กรอบวิชาลมปราณแดงฉานบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนจางลงอย่างรวดเร็ว
ราวสองอึดใจ กรอบก็ชัดขึ้นอีกครั้ง
[วิชาลมปราณแดงฉาน: ระดับหก ผลพิเศษ: เสริมพิษอัคคี แรงกระแทกสี่ชั้น เสริมจุดไฟ]
‘ทำได้จริงๆ หรือนี่!?’
ลู่เซิ่งยินดี ตรวจสอบพลังยุทธ์ของตัวเองอย่างละเอียด
ดูเหมือนว่าพลังยุทธ์เปลี่ยนเป็นระดับหกแล้ว แต่เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า กระแสความอุ่นในร่างตนใหญ่ขึ้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า อาการบาดเจ็บทั่วร่างเหมือนเริ่มคัน
‘แรงกระแทกยังมองผลไม่ออก แต่ก่อนหน้าตอนสู้กับสตรีโคมไฟนางนั้น รู้สึกว่าแรงที่ต่อยออกหนักกว่าที่คาด สมควรเป็นอานุภาพสั่นสะเทือน ตอนนี้เป็นสี่ชั้นแล้วสมควรร้ายกาจกว่าเดิม’
ปราณภายในพัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ลู่เซิ่งเพียงรู้สึกว่าพลังยุทธ์มากขึ้น อานุภาพการลงมืออาจแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ทว่าจะเผชิญกับระดับอย่างสตรีโคมไฟได้ซึ่งหน้า ยังมีระยะห่างอีกช่วงหนึ่ง
‘สตรีโคมไฟนางนั้น ถ้าไม่ใช่เราเด็ดขาด ใช้ปากแผลหนีบแขนนางแล้วใช้มือข้างหนึ่งจับไว้ เป็นคนอื่นเกรงว่าจะถูกทรมานทั้งเป็น’
เขามองเครื่องมือปรับเปลี่ยนอีกครั้ง ปุ่มกดทั้งหมดหายไปแล้ว แสดงว่าปราณหยินมีไม่พอ
‘ในเมื่อปราณหยินยกระดับพลังยุทธ์ได้เหมือนกัน เช่นนั้นเราก็รวบรวมวัตถุปราณหยิน หรือไม่ก็ออกล่าผีด้วยตัวเองได้’ ลู่เซิ่งตัดสินใจเด็ดเดี่ยว ไม่ว่าสิ่งใด ยกระดับตัวเองก่อนค่อยว่ากัน แข็งแกร่งไปเรื่อยๆ ต้องหาวิธีรับมือได้ เขาไม่เชื่อว่าความพิสดารของเครื่องมือปรับเปลี่ยนจะรับมือพวกผีไม่ได้
ปิ่นเงินใช้ปราณหยินหมดแล้ว เขาก็เก็บมันไว้ แล้วล้มตัวลงนอน
เป็นอีกหนึ่งคืนที่ไม่ฝัน
เช้าตรู่วันที่สอง ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า ลู่เซิ่งก็ตื่นขึ้นมากินมื้อเช้า แล้วเดินทางไปพรรควาฬแดง
เขาเจอประมุขพรรคเฒ่าที่กำลังกินผงหินสีขาวในห้องยาในชั้นสามของหอบนเรือ
แสงอาทิตย์สาดด้านข้างห้องยาเข้ามา ตกลงบนเตายาสีทองเหลืองขนาดคนครึ่ง ส่องรูปสน กระเรียน วิหคเขียวบนผิวจนสว่างไสว
ประมุขพรรคเฒ่าใส่เสื้อสีขาว มือซ้ายปิดเบี้ยวอย่างผิดปกติ ใช้แผ่นไม้ดามไว้กับคอ
เห็นลู่เซิ่งมา เขาไม่รู้สึกเหนือคาดหมาย
“ศิษย์น้อง ดูเหมือนเจ้าจะสาหัสกว่าข้าเล็กน้อย”
“ศิษย์พี่ท่านเองก็…” ลู่เซิ่งมุมคิ้วกระตุก เห็นสภาพของประมุขพรรคเฒ่าก็หมดคำพูดเช่นกัน
“พื้นที่หวงห้ามไม่ได้เฝ้าง่ายนัก” ประมุขพรรคเฒ่าถอนใจ “เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ในระยะเวลาอันสั้น เซียนเช่นพวกเขาสู้กัน พวกเราคนธรรมดารับเคราะห์ ผีปีศาจที่ปล่อยมาเหล่านี้ก็เกินกำลังพวกเราแล้ว”
“ศิษย์พี่รับมือผีที่เร็วมากเหล่านั้นอย่างไร” ลู่เซิ่งมาในครั้งนี้เพื่อไขข้อสงสัย ประมุขพรรคเฒ่าอยู่มานาน ในฐานะเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักอาทิตย์ชาด ย่อมมีวิธีการรับมือของตัวเอง
เป็นอย่างที่คาด พอถามคำถามนี้ ประมุขพรรคเฒ่าก็ยิ้ม
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะถามคำถามนี้ เหมือนกับที่ข้าเคยถามอาจารย์”
เขาลุกขึ้น เดินไปถึงหน้าต่างมองไปด้านนอก
แม่น้ำไม้สนเชื่อมต่อไม่ขาดสาย เกิดคลื่นตามลม กระทบข้างเรือวาฬแดง ส่งเสียงทึบทึม
“สำนักอาทิตย์ชาดย่อมไม่ใช่มีแค่วิชากำลังภายในอย่างวิชาลมปราณแดงฉาน กล่าวให้ถูกต้อง ยังมีวิชาโจมตีวรยุทธ์ระดับสุดยอดที่ถ่ายทอดอยู่หลายวิชา” หงหมิงจือเอ่ยเสียงทุ้ม
ลู่เซิ่งสีหน้าขึงขังขึ้น
“ศิษย์พี่ได้โปรดชี้แนะ”
หงหมิงจือหัวเราะ หมุนตัวมา
“วรยุทธ์เหล่านี้ต่างเป็นวิชาล้ำลึกยากหยั่งคาด ทั้งใช้วิชาลมปราณแดงฉานเป็นรากฐาน วิชาลมปราณแดงฉานยิ่งแข็งแกร่ง วิชาโจมตีเหล่านี้ก็แข็งแกร่งตาม” เขาเว้นเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ
“เรื่องอื่นข้าไม่พูดถึง หากกินมากไปจะเคี้ยวไม่ละเอียด ศิษย์พี่เพียงพูดถึงวิชาดาบที่เหมาะกับเจ้า เจ้าเดิมถนัดดาบกับฝ่ามือ สองอย่างมีส่วนที่เชื่อมกัน
วิชาดาบนี้สมควรชดเชยความขาดแคลนด้านกระบวนท่าของเจ้าได้มากพอ”
“ศิษย์พี่โปรดชี้แนะด้วย” ลู่เซิ่งลุกขึ้นยืน เอ่ยอย่างจริงจัง
หงหมิงจือยิ้มพยักหน้า “วิชาดาบนี้ชื่อดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้า วิชาดาบมีแค่สองกระบวนท่า แฝงสิบแปดการเปลี่ยนแปลง อานุภาพเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามระดับวิชาลมปราณแดงฉาน”
“ดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้าหรือ ข้าชื่นชอบชื่อนี้” ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก
“วิชาดาบนี้ต้องใช้อาวุธหนัก ยิ่งหนักยิ่งดี ยิ่งหนักอานุภาพยิ่งมาก เอาไว้ประสานกับพลังกระแทกในวิชาลมปราณแดงฉานโดยเฉพาะ” หงหมิงจืออธิบาย
“พลังกระแทกหรือ” ลู่เซิ่งขบคิด “ใช้ค้อนได้หรือไม่ ค้อนเมื่อหนักพอ อานุภาพไม่ใช่แข็งแกร่งกว่าเดิมหรอกหรือ”
“เอ่อ…ไม่ใช่ว่า ไม่ได้…” หงหมิงจืออึ้ง นี่เป็นวิชาดาบชัดๆ ลู่เซิ่งกลับมีความคิดสร้างสรรค์ นึกถึงค้อน
“หลังจากฝึกฝนดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้านี้จนสำเร็จ จะสามารถใช้ปราณแดงฉานแสดงตาข่ายปราณภายในออกมาได้ อาณาเขตปกคลุมกว้างมาก รับมือคู่ต่อสู้รูปแบบความเร็วสูงได้อย่างทรงประสิทธิภาพ” ประมุขพรรคเฒ่าอธิบาย “เจ้าจะเรียนไหม”
“แน่นอน” ลู่เซิ่งไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“กระบวนท่าไม่ยาก หลักๆ คือประสานวิชาเดินลมปราณลมปราณ ข้าอธิบายเล็กน้อยเจ้าก็ใช้เป็นแล้ว…” หงหมิงจือเริ่มอธิบายถึงวิธีฝึกฝนอย่างเป็นรูปธรรมกับจุดสำคัญปลีกย่อยของดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้านี้อย่างละเอียด
ทั้งหมดมีแค่สองกระบวนท่าสิบแปดการเปลี่ยนแปลง ไม่ทันไรลู่เซิ่งก็ใช้เป็น
เครื่องมือปรับเปลี่ยนมีกรอบวิชาเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้าโผล่มาแล้ว
คนหนึ่งสอนคนหนึ่งเรียน ไม่ทันไรก็ถึงยามกลางอู่
“จริงด้วย วิชาลมปราณแดงฉานของศิษย์น้อง เจ้าฝึกฝนถึงระดับใดแล้ว พลังยุทธ์ที่เปลี่ยนถ่ายก่อนหน้านี้ราบรื่นดีกระมัง” หงหมิงจือนึกขึ้นได้ ถือโอกาสถาม “ไม่สะดวกบอกก็ไม่เป็นไร”
“ระดับสี่แล้ว” ลู่เซิ่งไม่บอกว่าภายหลังตนเลื่อนระดับ เพียงบอกขอบเขตก่อนหน้า ตอนที่เปลี่ยนถ่ายวิชาโลหิตพิฆาต เป็นระดับสี่จริงๆ
“อือ เหมือนกับที่ข้าคาดไว้ ปราณแดงฉานระดับสี่กระตุ้นดาบเจ็ดอาทิตย์เปลี่ยนฟ้าได้ไม่เลว รับมือผีปีศาจทั่วไปไม่มีปัญหา” หงหมิงจือพยักหน้า
“ศิษย์พี่ ข้ามีคำถาม ไม่ทราบควรถามหรือไม่” ลู่เซิ่งทำท่าลังเล เอ่ยพลางขมวดคิ้ว
“พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ตอนนี้สำนักอาทิตย์ชาดมีพวกเราสองคน ข้าไปแล้วก็มีเจ้าเป็นเจ้าสำนัก ยังมีอันใดควรไม่ควรถามอีก” หงหมิงจือโบกมือ กล่าวอย่างไม่นำพา “เจ้าถามเถอะ”
ลู่เซิ่งจัดระเบียบความคิด ค่อยเอ่ยถาม
“ข้าอยากถามว่า ตระกูลขุนนางกับมารประหลาดแข็งแกร่งกว่าพวกเราตรงไหน…” เขาเอ่ยเสียงเบายิ่ง
แต่ประมุขพรรคเป็นคนระดับไหน วิชากำลังภายในล้ำลึก มีวิชาลมปราณแดงฉานระดับหก ย่อมฉลาดเฉลียว แค่ได้ยินก็เข้าใจคำถามของเขา
รอยยิ้มบนใบหน้าเขาพลันสลายไป คิ้วขมวดเล็กน้อย
“ข้าศึกษาคำถามนี้มาหลายสิบปี จึงค่อยได้คำตอบเล็กน้อย”
“หลายสิบปีเลยหรือ”
หงหมิงจือพยักหน้า
“เจ้านึกว่าตัวตนที่สูงส่งเช่นพวกเขาจะติดต่อกับพวกเราคนธรรมดาจริงๆ หรือ ข้าก็ได้แต่คาดเดาคำตอบส่วนหนึ่งจากคำพูดไม่ปะติดปะต่อที่แอบฟังมา รวมถึงเบาะแสที่สังเกตเห็นเท่านั้น”
“ศิษย์พี่โปรดไขข้องสงสัย” ลู่เซิ่งขอร้อง
หงหมิงจือหยิบผงหินสีขาวถุงหนึ่งออกมา เป็นผงยาผ่อนคลายที่มีผลหลอนประสาทจางๆ แพร่หลายทั่วเมืองเลียบคีรี หลังสูดดมไม่มีผลข้างเคียง กลับให้ผลผ่อนคลายจิตใจ
“ตระกูลขุนนาง ความประหลาดลี้ลับ ภูตผี เป็นตัวตนที่ควบคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้อย่างแท้จริง พวกเขาเป็นเซียน เป็นมารผี เป็นบ่อกำเนิดของเทพนิยายเรื่องเล่าขานทั้งหมด”
หงหมิงจือกล่าวทบทวนช้าๆ
“อย่างอื่นไม่พูดถึง มีเพียงสองอย่าง” เขาชูนิ้วสองข้าง
“อย่างแรก พวกเขาสามฝ่ายล้วนเป็นอมตะ”
“เป็นอมตะหรือ?!” ลู่เซิ่งจิตใจหนักอึ้ง
“ใช่แล้ว ฆ่าไม่ตาย” หงหมิงจือเอ่ยอย่างฝาดเฝื่อน “ไม่ว่าใช้วิธีใด มีแค่ระหว่างพวกเขาฆ่ากันเองได้ พวกเราคนธรรมดาฆ่าพวกเขาไม่ได้ สาเหตุอย่างเป็นรูปธรรมข้ายังไม่เจอ ตอนนี้กำลังหาอยู่
ไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถของข้า ต่อให้แตกต่างกันมาก ก็ไม่ถึงขั้นไร้กำลังขัดขืน”
ลู่เซิ่งนึกย้อนถึงเด็กสาวที่หมู่บ้านตระกูลซ่ง จึงเงียบตาม
“ข้อสอง พวกเขามีพลังที่อันตรายถึงขีดสุดสำหรับพวกเราคนธรรมดา พวกเขาเรียกพลังแบบนี้ว่า พันธนาการ”
“พันธนาการหรือ” ลู่เซิ่งทวน
“ไม่ผิดผิด พันธนาการ” หงหมิงจือถอนใจ “ผี ความประหลาดลี้ลับ กับตระกูลขุนนาง ต่างก็มีพลังพันธนาการ ภูตผีปีศาจที่เหลือจำเป็นต้องฝึกฝนถึงจะมีได้ มีแค่บรรลุระดับพันธนาการ จึงจะสามาถต้านทานพิษร้ายที่ได้รับ เมื่อแตะโดนร่างพวกเขา ไม่อย่างนั้น ในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่ควบคุมตัวเอง การแตะต้องแขนขาพวกเขาล้วนเป็นการหาที่ตาย”
“พันธนาการ…” ลู่เซิ่งเหมือนขบคิดอันใด
“ฆ่าไม่ตาย ทั้งตัวเป็นพิษร้าย แตะแล้วต้องตาย พลังพันธนาการ ต่อให้พวกเราเจอ ก็พัวพันยากสุดขีด ถ้าไม่ใช้ปราณภายในและพลังยุทธ์จำนวนมาก รวมถึงตัดเลือดเนื้อได้ทัน ไม่มีทางกำจัดได้” หงหมิงจือวางผงหินสีขาวในมือลง
“ข้าแอบฟังข้อมูลมาเล็กน้อย ตามคำพูดของพวกเขา พันธนาการเป็นขอบเขตหนึ่งหรือระดับหนึ่ง หลังจากไปถึง ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างนี้โดยอัตโนมัติ ความประหลาดลี้ลับ ภูตผี คนของตระกูลขุนนางที่มีรูปร่าง ต่างมีพลังพันธนาการบนตัว นอกเสียจากตนเก็บเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคนธรรมดาแตะแล้วต้องตาย”
ลู่เซิ่งนึกถึงก่อนหน้านี้อยู่ใกล้กับตวนมู่หว่านขนาดนั้น ขณะนี้ทบทวนดู กลางหลังชุ่มเหงื่อ ถ้าหากว่าเวลานั้นตวนมู่หว่านพลั้งเผลอ ไม่ได้เก็บพลังพันธนาการไว้ ตอนนี้ตนเกรงว่าแม้แต่ศพก็แหลกเละแล้ว
ครั้งก่อนเขาแตะรอยมือที่เจินอี้ทิ้งไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ ถูกบีบคั้นให้ตัดเนื้อทิ้งเพื่อป้องกันพิษ ถ้าแตะโดยตรงล่ะก็…
“ที่หมู่บ้านตระกูลซ่งนั่น” เขาพลันนึกถึงเรื่องก่อนหน้า
“นั่นเป็นความประหลาดลี้ลับที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าจะอ่อนแอขนาดนี้หรือ สถานที่แบบนั้นอันตรายสำหรับเรา แต่สำหรับคนโลกนั้นเป็นแค่สถานที่ที่ถูกทอดทิ้งไว้กลางทาง ไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่านั้น” ประมุขพรรคเฒ่าอธิบาย “เจ้าวางใจเถอะ ข้าเคยสังเกตมาก่อน หลังจากพลังพันธนาการอยู่ห่างเจ้าของไม่เกินหนึ่งก้านธูปก็จะสลายไปเอง ไม่อาจลุกลาม”
“เช่นนั้นศิษย์พี่ ท่านเคยแตะต้องพลังพันธนาการตรงๆ หรือไม่” ลู่เซิ่งถาม “พวกเราคนฝึกวรยุทธ์ มีโอกาสต้านทานพลังแบบนี้ได้หรือไม่ หรือสามารถบรรลุสภาพแบบนี้ได้หรือไม่ไหม”
“ต้านทานหรือ” หงหมิงจือส่ายหน้า “ทำไม่ได้ ความสามารถของข้าในแดนเหนือจัดอยู่สามอันดับแรกได้ ในจงหยวนก็เป็นชนชั้นมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง เหนือขึ้นไปคือยอดฝีมือระดับเอกะฟ้า นี่เป็นขีดจำกัดของมรรคายุทธ์ ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังทำไม่ได้”
“เมื่อบรรลุระดับนี้ ศิษย์พี่เคยคาดเดามาก่อนว่าพลังพันธนาการนี้เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองหลังจากพลังและขีดความสามารถไปถึงระดับหนึ่งได้หรือไม่ แต่ภายหลังพบว่าไม่ใช่” หงหมิงจือหยีตา “พลังพันธนาการนี้ไม่ใช่แค่เป็นพิษ แต่ยังเป็นพลังขวางกั้นชนิดหนึ่ง มันเหมือนกับเปลือกไข่ชั้นหนึ่งห่อหุ้มตัวตนอมตะเหล่านั้นไว้แน่นหนา หากไม่ทำลายทิ้ง ก็ถึงขั้นทำร้ายพวกเขาไม่ได้ อย่าว่าแต่ทำลายร่างอมตะ”
……………………………………….