ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 861 เปลี่ยนแปลง (1)
ลู่เซิ่งออกมาจากห้องพยาบาล มองดูเวลา
แอนดี้รักษาอาการบาดเจ็บ ส่วนเออร์นีพาคนออกไปทำภารกิจเพื่อหาคะแนนภายใต้การนำของอาจารย์ อย่างไรก็อยู่ปีสองแล้ว
กลุ่มอัคคีม่วงจัดวางอะไรบางอย่างไว้เต็มลานฝึกซ้อม กำลังจัดเตรียมสถานที่ เหมือนจะมีกิจกรรมใหญ่
ทางเอียน แม้ทักษะวาดภาพของเธอจะก้าวกระโดด แต่ช่วงนี้อยู่ๆ ก็เป็นไข้ ต้องพักผ่อนในหอพักไปก่อน
‘เรื่องสถาบันวิจัยง่ายดายเหลือเกิน ทำเสร็จตั้งนานแล้ว กว่าจะยกระดับเสร็จ ต้องใช้เวลาพักผ่อนประมาณหนึ่ง ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำแล้ว…’
ลู่เซิ่งเขย่าพวงกุญแจในมือ ในพวงกุญแจมีพลังอาวรณ์หลายสายไหลออกมาบางเบา แสดงให้เห็นว่าเป็นการสั่งสมที่เกิดขึ้นเพราะพลังกับความรู้สึกของแอนดี้มารวมตัวกันตอนพกพามันกับตัว
‘น่าจะเป็นของสำคัญของหมอนั่น ถึงขั้นให้เรายืมแบบนี้เชียว ในช่วงเวลาสำคัญเจ้าหมอนี่พึ่งพาได้มากทีเดียว’
เขาเก็บพวงกุญแจ คิดจะไปตรวจสอบสถาบันวิจัยดูสักหน่อย ไม่แน่ว่าหากสะกดการหล่อเลี้ยงซากปนเปื้อนเทพนอกรีต แล้วคอยสังเกตดูสักหลายๆ รอบ อาจจะมีการค้นพบใหม่ก็ได้
เขาเดินไปตามระเบียงของห้องพยาบาล
ห้องพยาบาลอยู่ในห้องทดลองขอบนอกสุดของมหาวิทยาลัย บริเวณด้านหน้าชั้นที่หนึ่งของตึกทดลองที่เป็นห้องปรึกษาทางจิตใจ
พูดให้ถูกก็คือห้องทดสอบสภาพจิตใจ หรือสถานที่ที่มหาวิทยาลัยใช้ตรวจสอบสภาพจิตของนักศึกษา
ลู่เซิ่งเดินออกมา เงยหน้าเห็นตรงประตูของตึกหนึ่งอยู่ตรงหน้า มีนักศึกษาหลายคนต่อแถวอยู่ในระเบียงมืดสลัว ทยอยเข้าไปในห้องทดสอบจิตใจทีละคน
เพียงแต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือ นักศึกษาที่เข้าแถวอยู่มีแต่ผู้หญิง ซ้ำแต่ละคนยังมีสีหน้าเฉยชา สองตาจับจ้องประตูห้องทดสอบเขม็ง
ลู่เซิ่งเหลียวมองรอบข้าง ตรงเก้าอี้ยาวเยื้องขวามือมีคู่รักนักศึกษาคู่หนึ่งแอบท่องศัพท์ ข้างแปลงดอกไม้เล็กๆ ทางซ้ายมีชายผมสั้นสีทองสองคนนั่งคุยกันเสียงเบา
หน้าประตูห้องตึกทดลองมีคนผ่านไปผ่านมาตลอดเวลา แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติของห้องทดสอบจิตใจที่อยู่ด้านหน้าเลย
ลู่เซิ่งที่กำลังเบื่อๆ มหาวิทยาลัยแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องลึกลับอัศจรรย์ เขาจึงถือโอกาสเดินไปตึกตรงหน้า
เขามองผ่านประตูกระจกเห็นนักศึกษาสาวที่ต่อแถวอยู่ด้านในมีสายตาเรียบเฉย ต่อแถวอย่างเป็นระเบียบในสภาพเซื่องซึมเหมือนกำลังนอนหลับ ไม่มีใครคุยอะไรกันเลย
ลู่เซิ่งเปิดประตูเดินไปใกล้กลุ่มที่ต่อแถวอยู่ ไม่นานเขาก็พบเหตุการณ์ที่น่าสนใจ ห้องทดสอบจิตใจห้องนี้มีแต่นักศึกษาเข้าไป แต่ไม่มีใครออกมา บางทีพวกเธออาจออกไปทางอื่น แต่อย่างน้อยทางเข้าออกก็ไม่มีใครเดินออกมาสักคนเดียว
เขาสะกิดนักศึกษาสาวคนสุดท้ายของแถว
“ขอโทษที พวกคุณมาต่อแถวอยู่ที่นี่เพื่อตรวจสภาพจิตใจเหรอ” ลู่เซิ่งกดเสียงถาม
นักศึกษาสาวหันมามองเขาอย่างแข็งทื่อ
อา!
ทันใดนั้นด้านในห้องตรวจสอบจิตใจก็มีเสียงครางดังออกมาเบาๆ เสียงที่คล้ายทำให้คนหลุดจากสภาพความเป็นจริง ราวกับอาการตื่นเต้นจนควบคุมตัวเองไม่ได้ตอนตื่นเต้นถึงขีดสุด
แกร๊ก
ประตูห้องทดสอบเปิด ผู้หญิงคนต่อไปเดินเข้าไป แล้วประตูก็ค่อยๆ ปิดลงอีกครั้ง
ผู้หญิงที่ลู่เซิ่งถามหันกลับไปต่อแถวต่อโดยไม่ตอบอะไร
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คุณควรมา” ทันใดนั้นก็มีมือข้างหนึ่งยื่นมาจับคอเสื้อของลู่เซิ่งไว้ แล้วลากเขาออกไป
ลู่เซิ่งหันไปมอง เป็นโทเลย์นั่นเอง
อาจารย์สาวคนนี้เผยสีหน้าเคร่งขรึม ขณะลากลู่เซิ่งเดินออกจากตึกทดลอง ทั้งสองเร่งฝีเท้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ยาวริมถนนที่อยู่ไม่ไกลอย่างรวดเร็ว
“ต่อจากนี้อย่าเข้าไปใกล้ที่นั้นอีก” โทเลย์เตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
เธอสวมเครื่องแบบอาจารย์หญิงของมหาวิทยาลัยทั่วไป กระโปรงสั้น ขาเรียวยาว รวมถึงเสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีขาว ขับรูปร่างอันสมบูรณ์ของเธอให้โดดเด่น กลับชวนให้ลุ่มหลงกว่าเดิม
“ที่นั่นคืออะไรเหรอครับ ผมรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกตินะ” ลู่เซิ่งถามกลับอย่างสงสัย
“เหอะ ที่นั่นเชื่อมกับสภาพแวดล้อมประหลาดของสัตว์ประหลาดเสียงปีศาจ คุณเข้าไปก็อย่าได้คิดที่จะออกมาอีก” ไม่รู้ว่าโทเลย์หยิบบุหรี่มาจากตรงไหนมาคาบไว้ในปาก
“และคนพวกนั้นก็สะสมอารมณ์ด้านลบไว้เป็นจำนวนมาก อารมณ์ด้านลบพวกนี้กัดกินจิตใจของพวกเธอ ทำให้เทพนอกรีตคว้าโอกาสได้”
“ครับ ผมเข้าใจความหมายแล้ว” ลู่เซิ่งพยักหน้า
“ดีแล้ว กลับไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คุณควรมา” โทเลย์หยิบไฟแช็กออกมาจุดบุหรี่
“รับทราบ”
ลู่เซิ่งลุกขึ้น มองไปทางห้องทดสอบจิตใจเป็นครั้งสุดท้าย
“ความจริงเมื่อครู่อยู่ๆ ผมก็สัมผัสได้ว่านักศึกษาที่ต่อแถวอยู่ตรงนั้นเหมือนมีความผิดปกติเล็กน้อย สักแห่งบนตัวพวกเขาชวนให้คนรู้สึกถึงไอความตาย”
“หือ” โทเลย์งุนงงเล็กน้อย ก่อนจะมองคนพวกนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน
พอมองดู ก็สัมผัสกลิ่นอายอย่างที่ลู่เซิ่งบอกได้จริงๆ
ผู้หญิงที่ต่อแถวอยู่เหล่านี้มีไอความตายเย็นเยียบและเอื่อยเฉื่อยบนตัว
โทเลย์หวนนึกถึงนักศึกษาที่ถูกมหาวิทยาลัยกระตุ้นให้มาเองก่อนหน้านี้ แม้พวกเขาจะเซื่องซึม แต่ไม่มีไอความตายเลือนรางเช่นนี้
“เข้าใจแล้ว อีกประเดี๋ยวฉันจะไปดูเอง คุณกลับไปเถอะ” เธอลุกขึ้น สีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
“ครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปหอพักโดยไม่ได้หันกลับมาอีก
เดินไปได้ไม่เท่าไร ด้านหลังก็มีเสียงระเบิดทึบหนักดังขึ้นมา
ลู่เซิ่งหันไปมอง เห็นทางห้องทดสอบจิตใจมีควันหนาสีดำลอยขึ้นมาหลายกลุ่ม
‘ดูเหมือนจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง’ แต่เขาไม่คิดที่จะเข้าไปดู เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเห็นพลังของตน อย่างไรเขาในตอนนี้ก็เป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาคนหนึ่งที่ฝึกฝนพลังสายลมแห่งการประสานไปถึงระดับสามขั้นต้นคนหนึ่งเท่านั้น
พลันหวนนึกถึงสิ่งที่แอนดี้พูดถึงเมื่อกี้ถึงฐานทัพจันทราที่อยู่ใต้ดินของมหาวิทยาลัยซ่อนประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลกับแกนหลักแห่งความโกลาหลไว้
ลู่เซิ่งหวั่นไหวขึ้นมา
‘ฐานทัพจันทรา…จำได้ว่าเคยเห็นจากชีวประวัติของใครสักคนบอกว่าเป็นถ้ำลึกที่ตั้งอยู่ข้างใต้มหาวิทยาลัย เหมือนจะอยู่ห่างจากห้องทดลองเก่าของเราไม่ไกลนัก บางทีอาจจะไปดูได้’
เขาเดินเลี้ยวไปยังทางห้องทดลองในตอนแรก
ตัดทะลุสิ่งก่อสร้างหลายแห่ง ไม่นาน เขาก็เดินตามเส้นทางเล็กแคบวกวนเข้าไปในป่าเล็กๆ ระหว่างทาง
สิ่งก่อสร้างสีขาวคล้ายกับคฤหาสน์หลังหนึ่งตั้งอยู่ในป่า
นี่คือห้องทดลองที่ลู่เซิ่งเข้าร่วมก่อนหน้านี้ เขาเห็นศาสตราจารย์ดาห์ลกับผู้ช่วยชายหนึ่งหญิงหนึ่งกำลังยุ่งกันอยู่ เหมือนกำลังจัดการซากตัวอย่างที่ทดสอบล้มเหลว
‘ดูเหมือนพอไม่มีเรา อัตราสำเร็จในการทดลองของศาสตราจารย์ดาห์ลก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม…’
ลู่เซิ่งยิ้มพลางหันไปมองทางขวา พื้นตรงนั้นมีทางเข้าออกใต้ดินเหมือนกับวังใต้ดินอยู่
ไม่มีการปกปิดอำพรางใดๆ ใกล้กันกับทางเข้าออกเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ฐานทัพศึกษาทดลองแห่งสหพันธ์ป้องกันมิสกา แผนกจัดหาทรัพยากรนิวมูน สถาบันวิจัยฝึกอบรมตูลัวร์…
ป้ายชื่อมากมายจัดเรียงอยู่ด้วยกันอย่างแน่นขนัด ลู่เซิ่งจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยถามศาสตราจารย์ดาห์ล และชายชราคนนั้นก็ตอบว่า สถานที่แห่งนี้เป็นที่ที่ทางมหาวิทยาลัยเอาไว้ใช้ตรวจสอบและบ่มเพาะนักศึกษาที่มีความสามารถพิเศษ
‘ดูจากตอนนี้ ตาเฒ่านั่นคงจะโกหก’ ลู่เซิ่งไม่ได้เดินเข้าใกล้ทางเข้าออก แต่อ้อมไปทางเหนือของป่า
ลมยามเที่ยงพัดผ่านป่า ให้ความรู้สึกเย็นสบายเล็กน้อย
ลู่เซิ่งเดินไปเรื่อยๆ กระแสอากาศของสายลมแห่งการประสานทะลักออกมาจากรูขุมขนใต้เท้า มุดเข้าไปในดินข้างใต้ แล้วชอนไชไปยังส่วนลึกเหมือนกับไส้เดือนมีชีวิต เพื่อตามหาเปลือกนอกของฐานทัพ
หลังเดินไปได้ระยะหนึ่ง ไม่นานลู่เซิ่งก็ชะงักฝีเท้า
“ที่นี่นี่เอง” เขาหลับตาและสัมผัสปฏิกิริยาของกระแสอากาศที่ควบคุมอยู่
‘ลึกลงไปข้างใต้ราวหกสิบสองเมตร มีสิ่งก่อสร้างโลหะแข็งแกร่ง รูปร่าง…เหมือนสัปปะรด มีหนามจำนวนมาก ดูเหมือนจะเป็นตัวฐานทัพจันทราแล้ว’
ลู่เซิ่งลืมตา แล้วเริ่มเดินเพื่อทดสอบขนาดโครงสร้างของฐานทัพ
หลังจากเดินอยู่ในป่าได้ระยะหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำใบไม้ดังมาจากด้านข้างเบาๆ
เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองไปยังรอยแยกระหว่างต้นไม้
ชายหนุ่มหล่อเหลาผมสีทองผู้มีภาพประทับใจล้ำลึก ซุกมือในกระเป๋าเสื้อ กำลังเดินเข้ามาทางด้านนี้
แอนดี้ที่ถือว่าเป็นคนหล่อเหลาในสายตาลู่เซิ่งแล้ว แต่ผู้ชายคนนี้กลับดูดียิ่งกว่าเขาเสียอีก ความงดงามนั้นอยู่ในระดับที่แทบแยกแยะไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง ถ้าหากแต่งหญิง อีกฝ่ายคงกลายเป็นสาวสวยรูปร่างหน้าตาสมบูรณ์แบบในทันที
“อ่าฮ่า บังเอิญจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะเจอคุณแจ๊คที่นี่” ชายหนุ่มหล่อเหลาเห็นลู่เซิ่งแล้วเช่นกัน ก่อนจะเผยรอยยิ้มงามเป็นมิตร
“นายคือ…ยูซาใช่มั้ย ยูซา อูส” ลู่เซิ่งนึกชื่อของอีกฝ่าย สีหน้าฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย
ที่นี่ไม่ใชที่ที่จะมาเดินเล่น แถวนี้ถ้าไม่ใช่สถาบันวิจัย ก็เป็นห้องทดลอง ข้างใต้ยังมีฐานทัพจันทราที่ลึกลับอันตรายซ่อนอยู่ด้วย
การได้มาเจอยูซาที่นี่ ไม่ใช่เรื่องดี
“คุณแจ๊คมาที่นี่ ไม่ทราบว่ามาเดินเล่น หรือตั้งใจจะมา…” ยูซาไม่ได้พูดประโยคหลัง แต่เผยความระแวงอย่างเห็นได้ชัด
“แค่มาเดินเล่นแถวห้องทดลองที่เคยทำงานเฉยๆ ก็เลยแวะมาเดินดูรอบๆ ด้วย” ลู่เซิ่งสีหน้าคงเดิม เขาย่อมมีเหตุผลดีกว่าอีกฝ่ายอยู่แล้ว
“แล้วนายล่ะ ยูซา เป็นนักศึกษาธรรมดามาที่นี่ลำพัง ไม่ทราบว่ามีเป้าหมายอะไรกัน”
“ความจริงแค่มาเดินเล่นเฉยๆ นึกไม่ถึงเดินไปเดินมา จะเดินมาถึงที่นี่ได้” ยูซา อูส ตอบด้วยรอยยิ้ม “ป่านี่ทึบมาก แสงส่องเข้ามาไม่ถึง คุณแจ๊คระวังอย่าเป็นหวัดล่ะ”
ดวงตาของเขาฉายกลิ่นอายอันตราย
“ขอบคุณที่เป็นห่วง” ลู่เซิ่งยิ้มหยีตา ก่อนจะหมุนตัวผละไป
ดูเหมือนเจ้าหมอนี่จะมีแผนการต่อฐานทัพจันทราเหมือนกัน
ลู่เซิ่งออกจากป่าด้วยความเคร่งเครียดเล็กน้อย
ตอนแรกเขาตั้งใจจะยกระดับตามระบบการฝึกฝนของโลกใบนี้ไปอย่างมั่นคง แต่ดูจากตอนนี้…
‘ไม่เรียนรู้ไม่ได้แล้ว…’ เขาถอนใจ
สถานการณ์อันตรายขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาเข้าใจว่า หากเอาแต่ฝึกฝนไปตามลำดับขั้นตอนแบบนี้ เกรงว่าคงจะไม่ไหว
ต่อจากนี้คงจะต้องรีบวางค่ายกลจุติให้เร็วที่สุด ในขณะเดียวกันก็ยกระดับพลังของตัวเองควบคู่ไปด้วย
ตอนแรกเขาคิดจะประหยัดพลังอาวรณ์ไว้ ไม่ฝืนเรียนรู้ อย่างไรการเรียนรู้ที่ยกระดับสูงขึ้นไปก็สิ้นเปลืองของการกว่าการยกระดับประมวลกฎเกณฑ์อยู่มาก
กอปรกับการเรียนรู้ประมวลกฎเกณฑ์ก็ไม่ได้รับประกันเช่นกันว่าจะกระตุ้นให้อวัยวะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้แน่นอน และไม่รู้ว่าต้องเรียนรู้ถึงระดับไหน ถึงจะกระตุ้นการวิวัฒนาการใหม่ได้ เขาจึงยังไม่ลงมือ
แต่ตอนนี้พอเจอยูซาเข้า บวกกับรู้ที่อยู่ของประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลและแกนหลักแห่งความโกลาหลที่ชัดเจนแล้ว
ดังนั้น…
‘มีค่าให้เดิมพันสักตั้ง’
ลู่เซิ่งเดินออกจากป่า แล้วหันไปมองพื้นเมื่อครู่
‘เรารวบรวมรายละเอียดของประมวลกฎเกณฑ์หลายแบบมาได้พอสมควรแล้ว ควรจะเรียนรู้ประมวลกฎเกณฑ์สำหรับฝึกฝนที่เหมาะกับเรามากที่สุดได้สักที แต่ก่อนหน้านั้น…ถ้าทดสอบวิธีการต่อสู้กับพลังของเทพได้ก่อน ทิศทางก็จะชัดเจนขึ้น…’
……………………………………….