ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 863 ความวุ่นวาย (1)
ครืน
แสงสายฟ้าเล็กๆ กระจัดกระจายวาดผ่านเหนือศีรษะ เหมือนกับกิ่งไม้คาคบบิดเบี้ยวคดเคี้ยวคลานไต่ไปทั่วท้องฟ้าราตรี
มาราโดน่าเงยหน้ามองท้องฟ้า ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
“มาอีกแล้วเหรอ”
เขาสัมผัสได้ว่ากลางอวกาศมีพลังเทพอันน่ากลัวที่มหาศาลไร้สิ่งใดเปรียบกำลังรวมตัวกัน แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ เหมือนเป้าหมายที่มันเล็งจะไม่ใช่เขา
“เกิลร์”
เงากลุ่มหนึ่งรวมตัวด้านหลังเขา แล้วก่อร่างกลายเป็นคน
“อยู่ครับ”
“นี่เหมือนจะไม่ใช่พลังเทพของมารดาแห่งวารี…”
“พลังของปีกศักดิ์สิทธิ์กำลังปรวนแปร แต่ว่าพวกเราไม่เคยยุ่งกับมัน เหตุใดอยู่ๆ มันถึงมาสร้างปัญหาให้มิสกาได้ล่ะ” มาราโดน่าไม่เข้าใจเล็กน้อย
“ไม่ทราบครับ แต่ตอนนี้เป็นช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เราต้องรีบรักษาสถานการณ์โดยเร็วที่สุด ขุมพลังสายอื่น ย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปเฉยๆ แน่” เงาคนสีดำเอ่ยเสียงทุ้ม
“ฉันมีอักขระโบราณ ไม่ต้องห่วง ไม่มีทางที่…”
ตูม!
ควันสีดำกลุ่มหนึ่งระเบิดในเขตมหาวิทยาลัย หมอกควันแผ่ขยายออกไปทั่วระหว่างสิ่งก่อสร้างเหมือนกับเปลวไฟ
หน้าต่างหอพักที่ตอนแรกยังมีแสงสว่างพากันมืดมิดลงหลังถูกหมอกควันปกคลุม
“บ้าเอ๊ย!” มาราโดน่าสีหน้าเปลี่ยนแปลง
“พวกแกบังอาจ…!?” เขากระทืบเท้า คิดจะพุ่งขึ้นท้องฟ้าไปยังทิศทางนั้น
แต่เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นด้านหลังอย่างกะทันหัน ทำให้เขาชะงักฝีเท้าในพริบตา
“เซียร์ มาราโดน่า ไม่เจอกันตั้งห้าร้อยปี เจ้ายังคงหนุ่มเหมือนเดิมเลย ดูแลตัวเองได้ดีจริงๆ…”
มาราโดน่าหันหลังกลับมา สายตาจับจ้องมองหญิงชราที่ปรากฏขึ้นด้านหลังอย่างกะทันหันด้วยสายตาเย็นเยียบ
อีกฝ่ายสวมฮู้ดและเสื้อคลุมเก่าหลวมโพรก ด้านหลังมีบางอย่างคล้ายปีกกำลังขยับ ส่วนศีรษะคลุมหมวกฮู้ดอำพรางไว้จึงมองไม่เห็นใบหน้า
แต่เพียงแค่ได้ยินเสียง เขาก็จดจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
“กูเนียร์ เจ้านี่เอง!”
มหาปุโรหิตของเทพมารดาแห่งวารี ศัตรูที่ขับเคี่ยวกับเขามาหลายพันปี
“ตอนนี้ งานเลี้ยงเพิ่งจะเริ่ม คนแก่ๆ อย่างพวกเราอย่าไปรบกวนเด็กๆ เลย…”
มหาปุโรหิตยิ้มโฉดชั่ว เงาใต้เสื้อคลุมพลันพุ่งไปด้านหน้า
ผืนดินรอบทั้งสองพลันยุบตัวลง เงาดำจำนวนมากห่อหุ้มทั้งสองไว้ ก่อนจะหายไปจากที่เดิมในพริบตา
…
ลู่เซิ่งรู้สึกได้ว่า ร่างกายของตนหลอมรวมเข้ากับสายลม หลอมรวมกับกระแสอากาศ กำลังไหลเวียนและแผ่ขยาย
เขาบินข้ามมหาวิทยาลัย ข้ามเมือง ข้ามประเทศเยอรมนีและยุโรป ไปยังท้องฟ้า
กระแสอากาศและหมอกเมฆนับไม่ถ้วนคือร่างของเขา ไม่สิ…พูดให้ถูกก็คือ เมฆหมอกเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เขากระตุ้นให้เกิดตอนขยับตัวเท่านั้น
ร่างกายของเขาปรากฏแวบไปมาระหว่างการไหลเวียน ถูกห่อหุ้มอยู่ในกฎเกณฑ์เก่าแก่ที่อัศจรรย์ชนิดนี้
“ฉันกำลังไหลเวียน…ฉันคือสายลม…”
จิตของลู่เซิ่งยื่นขยายไปยังอวกาศ เขาเหมือนกับทำลายพันธนาการทิ้ง และไปถึงขอบเขตใหม่โดยสมบูรณ์
กลางความว่างเปล่ามีวัตถุลึกลับจำนวนเหลือคณานับ กำลังแย่งกันทะลักเข้ามาในตัวเขา วัตถุเหล่านี้กำลังเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายกับวิญญาณของแจ๊ค
ในขณะเดียวกัน หลังจากวัตถุลึกลับจำนวนมากถูกกายและจิตของแจ๊คกรองแล้ว ก็โดนร่างหลักดูดซับอีกต่อหนึ่ง
ความเร็วในการขยายตัวของร่างหลักเหนือกว่าในอดีต
ขอบเขตแปรสัจจะถูกฉีกทำลายในพริบตา
เขาก้าวสู่อนธการ ระดับสูงสุดของผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงอย่างเงียบเชียบ
จิตของลู่เซิ่งคล้ายกับยื่นขยายไปยังอวกาศอย่างไร้สิ้นสุด ทว่าไม่นาน เขาก็รู้สึกได้ว่าส่วนลึกของจักรวาลที่อยู่ไกลออกไปเหมือนมีอะไรบางอย่าง จิตบางชนิดกำลังเกาะเกี่ยวเข้าใกล้เขาอย่างรวดเร็ว
เหมือนการระเบิดพลังของเขาไปสร้างความตื่นตัวให้ตัวตนบางอย่างเข้าให้แล้ว
‘ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา…’ ลู่เซิ่งใช้ความคิด พลันเริ่มเก้บทุกอย่างกลับมา
จิตวิญญาณหวนกลับเข้าร่างเหมือนกระแสน้ำ
กระแสอากาศสีขาวนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน กลายเป็นร่างเดิมของลู่เซิ่งภายในสถาบันวิจัย
ครืน
มีเสียงเหมือนฟ้าผ่าระเบิดขึ้นบนท้องฟ้าด้านนอกอย่างฉับพลัน
ลู่เซิ่งสวมใส่เสื้อผ้า ออกจากห้องทดลอง แล้วมองไปข้างนอกหน้าต่าง
เห็นท้องฟ้ายามราตรีที่เมื่อครู่ปลอดโปร่ง เวลานี้ถูกหมอกเมฆที่เขาสร้างขึ้นปกคลุม สถานที่ส่วนใหญ่ตกอยู่ภายใต้ไอหมอกสีขาวจำนวนมาก เหนือศีรษะเกิดฟ้าแลบอย่างไม่ขาดสาย
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือแค่เลื่อนระดับ ไม่น่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นวงกว้างขนาดนี้สิ
‘ราวกับว่ามีอะไรกำลังขยายการเคลื่อนไหวของเราอยู่’
สำหรับมนุษย์ในมหาวิทยาลัยมิสกา แม้จากรูปแบบที่หกถึงรูปแบบที่เจ็ดจะเป็นระยะห่างระหว่างฟ้ากับเหว แต่ไม่มีทางกระตุ้นให้เกิดความอึกทึกครึกโครมขนาดนี้เด็ดขาด
ลู่เซิ่งละสายตากลับมาจากหน้าต่าง เขาไปยังห้องเก็บของ หยิบเนื้อแห้งที่ตนทำขึ้นมา แล้วออกจากสถาบันวิจัยอย่างรวดเร็ว
บนท้องฟ้ายังคงเกิดฟ้าผ่าไม่หยุด มหาวิทยาลัยเงียบสงัดลง ทุกสิ่งมีชีวิต ทุกผู้ทุกคน เหมือนถูกสภาพแวดล้อมกดดันก่อนฝนจะตก บีบคั้นให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ความตึงเครียดที่อธิบายไม่ได้กำลังฟุ้งกระจายอยู่ทั่วอากาศ
ลู่เซิ่งฝ่าลมกลับหอพัก พร้อมกับพินิจพิจารณาบริเวณรอบข้าง
‘แม้เราจะเป็นคนเริ่ม แต่ตอนนี้ ไม่มีทางที่เราจะรักษาสภาพไว้ หากเป็นพลังงานอีกชนิดกำลังสู้กับพลังเร้นลับของมหาวิทยาลัยอยู่’
ลู่เซิ่งสัมผัสจุดนี้ได้อย่างชัดเจน
โครม
ลู่เซิ่งผลักประตูหอพักอย่างแรงพลิกมือปิด ก่อนจะสาวเท้าเข้าไป
หอพักเย็นเยียบ เหมือนไม่มีใคร
เขาเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง เร่งรุดกลับห้องตัวเอง
แกร๊ก
มีเสียงเปิดประตูดังมา
“แจ๊ค!”
เสียงของเออร์นีดังมาจากห้องของเธอ ห้องเธออยู่ห่างจากห้องลู่เซิ่งเพียงสองห้องเท่านั้น
หญิงสาวคนนี้สวมชุดนอนสีดำ ยืนกวักมือมาทางนี้อยู่ตรงประตู
“คุยกันหน่อยได้ไหมคะ” ดูเหมือนสีหน้าเธอจะย่ำแย่เล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะตกใจกับสภาพอากาศที่เลวร้าย เลยนึกเชื่อมโยงถึงความทรงจำที่ไม่ดี ตอนนี้ผมยาวของเธอคลอเคลียไหล่ สีหน้าอ่อนล้า เผยผิวขาวราวกับหยกภายใต้ชุดนอน
“ฉันสังหรณ์ใจไม่ดีเลย…” เออร์นีเอ่ยเสียงต่ำ
ลู่เซิ่งลังเลเล็กน้อย
“ก็ได้ มาห้องฉันสิ” เขาเสนอ
เออร์นีถือเชิงเทียนวิ่งเหยาะๆ มา แล้วตามลู่เซิ่งเข้าไปในห้อง โดยไม่กลัวว่าลู่เซิ่งจะมีความคิดไม่ดีหรือไม่
จากการทดสอบร่างกายหลายๆ ครั้งในสถาบันวิจัย ลู่เซิ่งแทบจะลูบคลำทั่วทั้งร่างของเออร์นีจนหมดแล้ว
หากจะทำอะไรจริงๆ คงทำไปนานแล้ว ไม่ต้องรอถึงตอนนี้
ทั้งสองปิดประตู ลู่เซิ่งถอดเสื้อ พร้อมกับมองเออร์นีที่นั่งลง
“เป็นอะไรไป ทำไมจู่ๆ เป็นแบบนี้ล่ะ ภาพลักษณ์ของเธอก่อนหน้านี้ไม่เห็นเป็นแบบนี้เลย ในฐานะผู้นำ ไม่น่าจะกลัวอะไรง่ายๆ อย่างนี้สิ”
พลังของเขาเพิ่งจะเพิ่มขึ้นอารมณ์ดีไม่น้อย เลยสัพยอกเธอโดยไม่ทันคิด
“ไม่ใช่…คุณ…สัมผัสไม่ได้เหรอคะ” เออร์นีกลืนน้ำลาย “มีบางอย่างกำลังเข้ามาใกล้ แล้วระเบิดออก แผ่ขยาย…ในมหาวิทยาลัย…” เธอก้มหน้าดึงคอเสื้อโดยไม่รู้ตัว
“ฉันกำลังนั่งตากลมอยู่บนระเบียง อยู่ๆ ก็เห็นแสงของหอพักฝั่งตรงข้ามดับจนหมด คุณเข้าใจความรู้สึกนั้นไหม”
เออร์นีตัวสั่นเล็กน้อย
“ฉันความรู้สึกไวต่อพลังแห่งเทพนอกรีตมาตั้งแต่เด็กแล้ว พลังชนิดนั้น ขอแค่เข้าใกล้ ฉันจะสัมผัสคลื่นพลังพิเศษบางอย่างได้ แต่เมื่อกี้นี้ฉันเห็นแสงไฟแถวห้องเรียนที่หนึ่งดับหมดเลย! ฉันอยากจะไปหาหัวหน้าหอพักเม็นเดิลส์โซน แต่ห้องของเขาไม่มีใครอยู่ ฉันเดินไปมาในหอพักรอบหนึ่งแล้ว กลับไม่เห็นคนเป็นๆ สักคน! ฉัน…ฉัน…กลัวจังเลย!” เออร์นีก้มหน้าลง ตัวสั่นเทาเหมือนลูกสัตว์ที่ตัวสั่นเพราะความหนาวเหน็บ
“พูดให้ชัดๆ หน่อย คนอื่นในหอพักล่ะ พวกเขาเป็นอะไรไป” ลู่เซิ่งได้ยินสิ่งที่เออร์นีเล่าก็พลันจริงจังขึ้น
ถ้าบอกว่าการเคลื่อนไหวตอนแรกเริ่มเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เขาก่อให้เกิดขึ้นตอนเลื่อนระดับ อย่างนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังกลับไม่ใช่การเคลื่อนไหวของเขา
เห็นได้ชัดว่า มีบางอย่างฉวยโอกาสโจมตีมหาวิทยาลัยอย่างกะทันหันตอนเขาระเบิดพลัง
“ไม่รู้ค่ะ…ฉันไปดูห้องอื่น กลับเห็นแต่ความมืด ไม่มีอะไรเลย!” เออร์นีส่ายหน้าอย่างแรง
ความหวาดกลัวที่อธิบายไม่ได้แผ่พุ่งไปในอากาศอย่างเลือนราง
ลู่เซิ่งสวมเสื้อนอก ก่อนจะเดินไประเบียงมองออกไป
ครืน
เกิดฟ้าผ่า ระหว่างชั้นเมฆที่อยู่ไกลออกไปเหมือนมีเงาดำขนาดใหญ่หลายสายกำลังเข่นฆ่ากันอยู่
ถ้าไม่ใช่เพราะลู่เซิ่งมีสายตาร้ายกาจ คงไม่เห็นร่องรอยเล็กๆ แบบนี้
‘ไม่…ไม่ใช่แค่ส่วนลึกของชั้นเมฆเท่านั้น…’ ทันใดนั้นลู่เซิ่งก็เห็นแสงสีแดงจุดหนึ่งลอยขึ้นไป
แสงสีแดงดูอ่อนโยนเป็นพิเศษท่ามกลางฟ้าดินที่เป็นสีดำตัดขาว ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยเล็กน้อยกับลู่เซิ่ง
เหมือนกับใครบางคนที่เขาเคยเจอมาก่อน
ทันใดนั้น เงาคนพร่ามัวสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวสมองของลู่เซิ่ง
“เธอนั่นเอง!” เขานึกออกทันทีว่าแสงสีแดงนี้เป็นใคร
เลดี้แฮปปี้!
ตัวตนลึกลับที่ครอบครองห้องสมุดแห่งอดีต! ความรู้สึกที่แสงสีแดงนี้มอบให้ผู้คนไม่ต่างจากรอยยิ้มของเธอเท่าไรนัก
ลู่เซิ่งสัมผัสความผิดปกติได้แล้ว อวัยวะสัมผัสที่หกมอบวิธีสัมผัสโลกแบบที่หกนอกจากห้าสัมผัสที่เหลือให้แก่เขา
นั่นคือการสัมผัสองค์รวม
ไม่ว่าจะถูกหรือไม่ ขอแค่สัมผัสแบบองค์รวมได้ ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นสิ่งที่ตนนึกเชื่อมโยงถึง
“นั่นคือแสงสีแดงของเลดี้แฮปปี้นี่นา!” เออร์นีเดินมาถึงด้านข้างตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ กล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจขณะชี้ประกายสีแดงที่อยู่ไกลออกไป
“ครั้งนี้ไม่เป็นไรแน่ ถ้าเลดี้แฮปปี้ออกโรงด้วยตัวเอง เทพนอกรีตต้องถูกโจมตีล่าถอย เธอคือจิตที่เป็นรูปร่างของมหาวิทยาลัย! เพียงแต่…ระดับสูงของมหาวิทยาลัยยังอยู่ ไม่ควรให้เธอเคลื่อนไหวในตอนนี้ถึงจะถูก…” เออร์นีขมวดคิ้ว สับสน
ลู่เซิ่งไม่ได้พูดอะไร แต่ชี้ไปยังด้านล่าง “รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ รวมตัวกันแล้ว!”
เออร์นีมองตามนิ้วของเขาที่ชี้ลงไปด้านล่าง ตอนนี้ข้างแปลงดอกไม้ระหว่างหอพักสองหอพัก มีนักศึกษาจากคณะต่างๆ มายืนกระจายกันอยู่สิบกว่าคน พวกเขารวมตัวกันเหมือนกับลูกไก่ที่ก้มตัวงุด มองลมเย็นที่พัดรุนแรงรอบๆ
อาจารย์และศาสตราจารย์ที่เป็นผู้นำหลายคนกางแขนร่วมมือกันสร้างโล่ทรงกลมกึ่งโปร่งแสงขึ้นมา ปกป้องนักศึกษาทุกคนที่อยู่โดยรอบ
“รีบไปเถอะ! เป็นพวกศาสตราจารย์เมอรัส! พวกอาจารย์โทเลย์ก็อยู่เหมือนกัน!” เออร์นีเห็นดังนั้นก็พลันยินดี
……………………………………….