ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 868 แกนหลัก (2)
“หือ การประสานพลังของปีศาจจากห้วงความว่างเปล่ากับมนุษย์เหรอ เกิดอะไรขึ้นกัน” ตองโปอึ้งงันไป รับมือไม่ทันอยู่บ้าง
“พลังแบบนี้ไม่ควรเป็นสิ่งที่มิสกาครอบครองสิ”
แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้เขาลังเลแล้ว
เทพปีศาจวายุที่อยู่อีกด้านโบกมือ ทันใดนั้นก็มีอนุภาคพลังงานกลางสุญญากาศนับไม่ถ้วนไหลเวียนรวมตัว กลายเป็นพายุสีรุ้ง ม้วนพัดใส่เขาจากทุกทิศทุกทาง
“เข้ามาเลย!”
ในมิติผืนนี้ ทั้งสองคนไร้ความกริ่งเกรง
ตองโปปล่อยแสงสีม่วงนับไม่ถ้วนออกมาจากร่าง แสงสีม่วงทั้งหมดพากันกลายเป็นดาบแสงแหลมคมหลายสายออกมา ดาบแสงแน่นขนัดประกอบกันเป็นกระแสน้ำที่เหมือนมหาสมุทร ต้านรับพายุสีรุ้งอย่างดุดัน
ตูม!
แสงสีม่วงแหลกสลาย สีรุ้งกระจัดกระจาย
ไม่รอให้การระเบิดสงบลง ตองโปกับปีศาจเทพวายุก็เข้าสู้ระยะประชิดตัวกันแล้ว
…
ส่วนบัญชาการแกนหลักในฐานทัพจันทรา
“มีตัวร้ายกาจบุกเข้ามา…ปฏิกิริยาของพลังสูงสุดขีด!”
ผู้หญิงที่มีผมเหมือนเปลวเพลิงลุกไหม้คนหนึ่ง นั่งอยู่บนที่นั่งหินงามประณีตสีดำที่สลักอักขระไว้เต็มไปหมด เธอกล่าวขณะเพ่งสมาธิหลับตา
“แนวป้องกันชั้นนอกถูกทะลวง แนวป้องกันชั้นที่หนึ่งถูกทะลวง! เริ่มใช้แผนฉุกเฉิน! ฐานทัพกางพื้นที่สนามพลังป้องกันโดยอัตโนมัติ ระบบป้องกันอัตโนมัติ ชั้นที่หนึ่ง ตัดขาดมิติรอยต่อ กางออก!”
เสียงรายงานที่เร่งด่วนสะท้อนขึ้นในหน่วยบัญชาการอย่างไม่หยุดยั้ง
ผู้หญิงสวมเสื้อสีแดงสามคนที่นั่งบนเก้าอี้หินรีบลืมตาขึ้นจ้องมองหน้ากันเอง
“ทำไมถึงได้เร็วขนาดนี้ล่ะ!?”
“ระบบป้องกันโดยอัตโนมัติของฐานทัพถูกกระตุ้นให้ทำงานแล้ว!”
“ยังใช้การสาดส่องของเงาเทพไม่ได้ สิ้นเปลืองพลังงานเกินไป ต้องให้เวลาพักก่อน! เกรงว่าการป้องกันอัตโนมัติจะป้องกันคนคนนั้นไม่ได้”
“ไม่เป็นไร นายท่านตองโปไปชั้นที่สองแล้ว”
ผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยเสียงขรึม “ยังดีที่ท่านตองโปไม่ได้ออกจากฐานทัพไปบนพื้นดิน ไม่อย่างนั้นได้เกิดเรื่องแน่”
“ถูกต้อง!”
“สนามรบเปลี่ยนแปลงแล้ว นายท่านตองโปกางโลกดวงดาวเสมือนแล้ว อีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก! เกรงว่าจะเป็นผู้เข้มแข็งขั้นสุดยอดระดับร่างบุตรของเทพนอกรีต!”
“พวกเราส่งพลังเทพป้องกันทั้งหมดให้ท่านตองโปได้ ถ้านายท่านต้านทานไม่อยู่ อย่างนั้นกับดักพลังเทพที่เหลือก็คงไม่มีผลเท่าไรเหมือนกัน!”
“ฉันเห็นด้วย! ยังสามารถใช้สนามพลังปนเปื้อนแกนหลักของชั้นสาม ฉวยโอกาสโจมตีคนคนนั้นก่อนเวลาได้ด้วย!”
สนามพลังป้องกันการปนเปื้อนแกนหลัก แม้จะบอกว่าเป็นการป้องกัน ความจริงเป็นพลังทำลายล้างที่พิสดารและน่าสะพรึงถึงขีดสุด ปกติติดตั้งไว้รอบแกนหลักแห่งความโกลาหล เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากภายนอก
“แต่เมื่อเป็นแบบนี้ จะป้องกันทางประมวลกฎเกณฑ์ไม่ได้แล้วนะ…”
“ไม่เป็นไร ถ้าต้านทานศัตรูคนนี้ไม่ได้ ผลลัพธ์จะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม! พวกเราจะตายทั้งหมด!”
…
ตูม!
ด้านในเส้นทางโลหะสีเงินสายหนึ่ง ทางเข้าถูกระเบิดที่ไร้รูปร่างเจาะทะลวงในพริบตา
กำแพงโลหะที่บิดเบี้ยวระเบิดออกเป็นเศษชิ้นส่วนร่วงตกบนพื้น แล้วกลิ้งไปหลายตลบ ก่อนจะมีควันขาวเดือดพล่านลอยขึ้นหลายสาย
ยูซาเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“โอ้? ที่นี่นี่เอง ที่นี่นี่แหละ…!” เขาสะกิดเท้าไปด้านหน้า
ร่างพุ่งก้าวข้ามระยะห่างหลายสิบเมตรไปเหมือนธนูยิงออกจากเกาทัณฑ์ ลอยอยู่ในระเบียงทางเชื่อมอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก เขาก็ชะงักฝีเท้า เส้นทางด้านหน้าทางขาด ด้านหน้าไม่มีทางไปต่อ มีเพียงที่ว่างประหลาดสีดำสนิทไร้สิ้นสุดผืนหนึ่ง
“นี่คืออะไรกัน” ยูซาหรี่ตา พร้อมกับเหินร่างเข้าไปในมิติสีดำเบาหวิว
ตุบ เขาหยั่งเท้าลงบนพื้น ก่อนจะจุดไฟสีเหลืองขึ้นบนมือเพื่อส่องสว่างทุกสิ่งรอบข้าง
เขาอาศัยแสงไฟจนมองเห็นอย่างรวดเร็วว่า ตนยืนอยู่หน้ากำแพงหินสีรุ้งที่สูงสิบกว่าเมตร
บนผนังกำแพงมีภาพวาดสีรุ้งขนาดใหญ่ติดอยู่
ฟันเฟืองเล็กจำนวนมากห้อมล้อมรอบฟันเฟืองมหึมาอันหนึ่ง กลางฟันเฟืองมีดวงตาสีแดงฉานมากมาย
“นี่คืออะไรกัน ภาพวาดโบราณหรือ” ยูซาเลียริมฝีปาก เหลียวมองโดยรอบก่อนจะเดินไปทางซ้ายมือ
พอเขาเดินไปถึงทางซ้ายของภาพวาดบนผนังกำแพง ก็เจอประตูเล็กๆ บานหนึ่ง เขาผลักออกเบาๆ
ประตูเปิดออก
ด้านในคือที่ว่างมหึมาสีเงิน
ทั่วที่ว่างมีเส้นทางโลหะสีเงินหลายเส้นเป็นโครงสร้าง เส้นทางพวกนี้เหมือนกับเส้นเลือดและเส้นประสาทในกายเนื้อ ราวกับบรรจุกฎเกณฑ์กับการเรียบเรียงจังหวะบางอย่าง
‘ที่นี่เคยเกิดการต่อสู้มาก่อน’ ยูซาก้มลงมองรอยดาบลึกที่เหลืออยู่บนพื้น นัยน์ตาฉายแววกระจ่าง
‘ดูเหมือนนอกจากเราแล้ว จะยังมีคนอื่นเข้ามาอีก’ เขาขบคิด พลางสัมผัสสภาพแวดล้อมรอบข้าง ในอากาศมีกระแสพลังงานที่สับสนและบ้าคลั่งอยู่เป็นจำนวนมาก
แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ตรงนี้เพิ่งอุบัติขึ้นได้ไม่นาน
‘ต้องเร่งมือแล้ว’ ยูซาเงยหน้ามองท้องฟ้า ตรงนั้นมีลูกบอลพลังงานสีดำสนิทก้อนเล็กๆ ลอยอยู่ ด้านในเหมือนมีความขัดแย้งของพลังงานที่รุนแรงถึงขีดสุด
เขาไม่คิดอะไรอีก สะกิดเท้าทะยานไปยังประตูเล็กข้างใต้ช่องว่างฝั่งตรงข้ามทันที
ไม่นานเขาก็หายลับเข้าไปในประตู
…
แกนกลางด้านในฐานทัพจันทราแนวป้องกันที่สาม
กำแพงโลหะความทนทานสูงหลายกลุ่ม คือชั้นปราการแนวป้องกันที่สามที่ฐานทัพภาคภูมิใจ
ชั้นปราการเหล่านี้สามารถตัดขาดการฉายรังสีพลังจิตได้เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีผลตัดขาดที่ไม่เลวต่อเสียง กลิ่นอาย และพลังงานพิเศษบางส่วนด้วย
เวลานี้สเตลโวล คูล หัวหน้าหน่วยป้องกันของสภานักศึกษาชั้นปีที่สี่ กำลังสั่งให้นักศึกษาคณะต่างๆ จากหลายๆ ชั้นปีที่มุ่งหน้ามาจับกลุ่มกัน
นักศึกษาทุกคนแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม กลุ่มละสิบห้าคน
“ลำแสงทำลายล้างแบ่งเป็นกลุ่มหนึ่ง ภารกิจของพวกคุณคือกระจายกำลังสนับสนุน หากทางไหนเกิดวิกฤติ พวกคุณต้องทุ่มกำลังไปทันที เข้าใจไหม” สเตลโวล คูล กล่าวเสียงดัง
“รับทราบ!”
เออร์นีกับอิสซาลายืนอยู่ในกลุ่ม ตอบรับเสียงดัง
ตอนนี้พวกเธอไม่มีสถานะอื่น เป็นเพียงนักศึกษาสายต้องห้ามสองคนเท่านั้น
“ประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลกับแกนหลักแห่งความโกลาหล เป็นรากฐานที่ใช้รักษาวงแหวนอักขระป้องกันของมหาวิทยาลัย หากว่าที่นี่โดนทะลวง อย่างนั้นพวกเราก็จะสู้ปีศาจจากห้วงความว่างเปล่าไม่ได้อีกต่อไป จำนวนที่พวกมันบุกมาจะเพิ่มเป็นหลายสิบเท่าของตอนนี้!”
“ตอนนี้พวกศาสตราจารย์กำลังสู้กันบนพื้นดิน ฐานทัพแห่งนี้มีพลังป้องกันแข็งแกร่งสุดขีด ในสถานการณ์ปกติไม่มีใครบุกรุกเข้ามาได้ จุดหมายของพวกมันอยู่บนพื้นดิน ดังนั้นพวกคุณเพียงแค่ต้องทำงานป้องกันของตัวเองให้ดีตามลำดับขั้นตอนก็พอ…”
ตูม!
ฐานทัพสั่นไหวเบาๆ เสียงระเบิดรุนแรงดังมาจากด้านนอก
“มีคนบุกเข้ามาแล้ว!?” นักศึกษาบางส่วนหวาดหวั่น
“ใจเย็นหน่อย! กลัวอะไรกัน! คิดซะว่าเป็นภารกิจธรรมดาก็พอ! ฐานทัพมีรูปสลักเวทและกลไกที่ทรงประสิทธิภาพมากมาย ต่อให้มีศัตรูบุกมา เมื่ออยู่ต่อหน้ารูปสลักเวทและกับดักกลไก ก็ต้องถูกลดพลังลงไปไม่น้อยแน่” หัวหน้าหน่วยป้องกันสเตลโวล คูล คำรามเสียงทุ้ม
“ทุกคนประจำตำแหน่ง! อย่าเคลื่อนไหวมั่วซั่ว! เตรียมใช้ความสามารถ!”
ตูม!
ทันใดนั้น กำแพงโลหะสีเงินแนวหนึ่งก็ถูกระเบิดรุนแรงพังทลาย
เศษโลหะจำนวนมากกระจายเวียนว่อนเหมือนกระสุน กระเด็นไปทั่วบริเวณทำให้เกิดเสียงร้องอุทานดังติดต่อกัน
บนกำแพงไม่ทราบว่าปรากฏอุโมงค์ใหญ่สูงเท่าหนึ่งคนครึ่งตั้งแต่ตอนไหน
ยูซาชายหนุ่มผมทองผู้หล่อเหลาเดินออกมาจากอุโมงค์ เขายิ้มงดงามชวนหลงใหล กวาดตามองนักศึกษาในกลุ่มกองต่างๆ ที่ทำท่าเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ
“สายัณห์สวัสดิ์ ทุกท่าน” ยูซาแสยะยิ้ม ก่อนที่ร่างจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ กระจัดกระจายจางหายไปอย่างรวดเร็ว
“แย่แล้ว! มันไปทางแกนหลัก!” สเตลโวล คูล ที่เป็นผู้นำกลุ่มนิ่งงันไป ก่อนจะตอบสนองทันที
“นั่นมันยูซา! ไอ้หมอนั่น!”
เออร์นีกับอิสซาราจำสถานะของผู้มาได้ทันที ไม่เพียงแค่พวกเธอเท่านั้น บางคนในหน่วยปฏิบัติการขั้นสูงของสภานักศึกษา ก็เคยร่วมมือกับพวกดุ๊คและแอนดี้ไล่ล่ายูซาเช่นกัน ตอนนี้จึงจำได้ว่าหมอนี่เป็นใคร
“มันจะชิงแกนหลัก รีบหยุดมันไว้!” อิสซาราโบกมือ แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพลันระเบิดขึ้น แล้วกระจัดกระจายกลายเป็นจุดแสงสีขาวจำนวนมากพุ่งลงไปใต้ร่างทุกคน
ทุกคนรู้สึกได้ว่าความเร็วเพิ่มขึ้นมาก
แต่ก็สายไปเสียแล้ว ทุกคนที่อยู่ที่นี่แข็งแกร่งที่สุดคือรูปแบบที่สามและรูปแบบที่สี่ เมื่อเผชิญหน้ากับยูซา ถึงขั้นไม่มีโอกาสลงมือ ก็สูญเสียร่องรอยของอีกฝ่ายไปแล้ว
…
ในมิติสีเงิน
ก้อนสีดำระเบิดออกอย่างฉับพลัน เงาคนสองสายร่วงหล่นลงมากระแทกพื้นอย่างแรง
โครม
ลู่เซิ่งร่างอาบเลือด คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นอย่างทุลักทุเล หลังจากกระแทกกับพื้นก็ไม่ขยับเขยื้อนอีก การหายใจทอดยาวและติดขัดเหมือนกับเครื่องเป่าลม
ตรงข้ามเขา เอวและท่อนล่างของตองโปแยกออกจากกัน ใบหน้าถูกทำลายเละ จนมองไม่เห็นเค้าหน้าอีกแล้ว
ลู่เซิ่งชนะแล้ว ชนะอย่างยากลำบาก
แม้เขาจะอยู่สูงกว่าระดับร่างสมบูรณ์สองระดับ แต่ตองโปที่เป็นคู่ต่อสู้ก็ไม่ใช่ร่างสมบูรณ์ทั่วไป บนตัวเขามีพลังเทพของเทพรุ่นใหม่อยู่ไม่น้อย ในด้านคุณสมบัติพลังงาน สามารถถูกจัดเป็นอันดับแรก แถมสายลมแห่งการประสานก็สู้ความสามารถของปีศาจขั้นสูงไม่ได้ด้วยซ้ำ
ศึกนี้ ทั้งสองสู้กันอย่างสะบักสะบอม
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนสุดท้าย ลู่เซิ่งใช้วิชาลับมรรคายุทธ์ อาศัยเลือดครึ่งหนึ่งเป็นค่าตอบแทน เผาไหม้เลือดเนื้อทั้งหมดเพื่อระเบิดพลังออกมากว่าสามเท่า
คาดว่าศึกนี้จะยังคงดำเนินไปอีกเนิ่นนาน
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ร่างของลู่เซิ่งเลือดลมก็พร่องลงไปไม่น้อย ไม่เพียงจิตวิญญาณของแจ๊คได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น ร่างกายในตอนนี้ก็ได้รับความเสียหายอย่างสาหัสเช่นกัน เป็นเพราะมีอาการบาดเจ็บรนแรงมากเกินไป ทำให้การชดเชยของปราณปฐพีไม่อาจฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่ลำบากที่สุด สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตอนที่ลู่เซิ่งฆ่าตองโป ได้ถูกก้อนแสงสีม่วงที่โผล่มาจากไหนไม่รู้กระแทกใส่ท้อง จากนั้นก็ยัดพลังเทพประหลาดสายหนึ่งเข้ามาในร่างเขา
สวบ
ลู่เซิ่งกุมท้องเอาไว้ ฝ่ามือที่มีผิวเป็นสีม่วงข้างหนึ่งคิดจะมุดออกมาจากในท้อง แต่ถูกเขากดดันเข้าไป
อั่ก
ในที่สุดลู่เซิ่งก็ทนไม่ไหว กระอักเลือดออกมา
เลือดสีแดงฉานตกลงบนพื้น ด้านในมีแมลงสีขาวตัวเล็กๆ อยู่อย่างแน่นขนัด
เขามีสีหน้าแปรเปลี่ยน ยื่นมือออกมา ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ประสานมุทราสั่งให้ค่ายกลทำงาน
‘ช่างมัน เทพองค์ใหม่ก็ดี เทพองค์เก่าก็ดี ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรา เป้าหมายของเรามีเพียงหนึ่งเดียว คือการเอาแกนหลักแห่งความโกลาหลมาให้ได้ เรื่องอื่นปล่อยคนอื่นจัดการไป’ เขาเข้าใจดีว่าถ้าหากกระตุ้นค่ายกลเมื่อไร นั่นหมายความว่าเขาจะต้องประจัญหน้ากับเหล่าเทพนอกรีตของโลกใบนี้อย่างเป็นทางการ
นี่ไม่ใช่เป้าหมายที่เขาต้องการ
ค่ายกลเป็นเพียงแผนสำรองเท่านั้น
“เหลือเวลาไม่มากแล้ว ต้องรีบเอาแกนหลักไป เราไม่อยากจะไปเกี่ยวข้องกับความวุ่นวายของที่นี่” ลู่เซิ่งใช้ปราณปฐพี สะกดพลังเทพประหลาดในร่างได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้น เขาคิดจะกลายเป็นสายลมแล้วใช้ท่าเคลื่อนวายุอีกรอบ แต่ว่าพลังเทพในตัวกลับขวางเขาไว้ ตัดขาดกระบวนการหลอมเข้ากับสายลมของเขา
ลองอยู่หลายครั้ง ก็ยังไม่ได้ผล
ด้วยความจนปัญญา ลู่เซิ่งได้แต่อาศัยกายเนื้อ พุ่งไปยังประตูเล็กๆ ของมิติสีเงินด้วยความเร็วสูง
……………………………………….