ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 869 ท้องฟ้า (1)
‘โลกกำลังลุกไหม้…และพวกเราจะนำพาผืนน้ำมา… ’
ยูซาทะลุกำแพงโลหะหลายชั้นราวกับภูตพราย
ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางฐานทัพจันทรามากเท่าไร ตัวเขาก็ยิ่งเริ่มกลายร่างเป็นอสูรกายมากเท่านั้น
ใต้ผิวหนังของเขาเริ่มปรากฏเส้นสายโปร่งแสงมากมาย เหมือนกับถูกเทปกาวโปร่งแสงนับไม่ถ้วนรัดพันผิวหนังเอาไว้
หากมองผ่านเส้นสายเหล่านี้ ก็สามารถเห็นกล้ามเนื้อ เลือด และโครงกระดูกสีแดงฉานด้านในได้
“นี่คือพลังของแกนหลักเหรอ ช่าง…ช่างสุดยอดจริงๆ! ฮ่าๆๆๆ! รอให้ฉันได้แกนหลักมาครอง พลังจะต้องเพิ่มขึ้นยิ่งกว่าตอนนี้เป็นพันเท่าแน่! ถึงเวลานั้น…ฮ่าๆๆๆ!” ยูซาหัวเราะลั่น
ในเส้นทางรอบข้าง มีกับดักกลไกลถูกเขากระตุ้นให้ทำงานตลอดเวลา แต่ล้วนถูกทำลายลงอย่างง่ายดายเพียงสะบัดมือ
ขณะไปตามเส้นทางล้ำลึกมืดมิดลงเรื่อยๆ เส้นแสงด้านหน้าเขาก็ยิ่งริบหรี่ลง
ตัวเขาเริ่มโปร่งแสงและไร้ตัวตนตามการเปลี่ยนแปลงของแสงสว่าง
…
เสาอากาศสีเทาต้นหนึ่งกระแทกกำแพงโลหะสีเงินสูงหลายเมตร กว้างกว่าหนึ่งเมตรอย่างรุนแรง เกิดเสียงดังสนั่น กำแพงโลหะยุบจมเป็นหลุมลึก แต่ไม่อาจเจาะเข้าไปได้
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นเล็งกำแพงโลหะอีกรอบ
เปรี้ยง!
เสาอากาศต้นที่สองพุ่งออกมาชนใส่กำแพงอย่างรุนแรง เจาะมันทะลุทันที
‘เป็นโลหะที่ยุ่งยากจริงๆ…’
โลหะชนิดนี้แข็งยิ่งกว่าเหล็กกล้า มีความทนทานอยู่เหนือวัสดุใดๆ ที่ลู่เซิ่งรู้จัก ทำให้กำแพงโลหะที่หนาเพียงกว่าหนึ่งเมตรนี้ จำเป็นต้องให้เขาลงมือถึงสองครั้งจึงจะทะลวงได้
แม้จะเป็นเพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นี่ก็หมายความว่าความแข็งแกร่งของกำแพงโลหะนี้อยู่เหนือที่จินตนาการ
ลู่เซิ่งเดินเข้าอุโมงค์ เหลียวมองรอบข้างที่เป็นห้องทรงรูปปลา ด้านในจัดวางเครื่องประดับที่ทำมาจากกระดูกรูปทรงประหลาดเอาไว้ไม่น้อย เครื่องประดับพวกนี้มีทั้งเล็กใหญ่ รวมกันเป็นตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อยหลายตัว
ลู่เซิ่งเพิ่งจะก้าวเข้ามาในห้องนี้ ตุ๊กตากระดูกทั้งหมดก็ค่อยๆ ขยับขึ้นมา
ฟ้าว!
เปลวเพลิงสีม่วงลุกไหม้ขึ้นในเบ้าตาของตุ๊กตาตัวแรก ตามด้วยตัวที่สอง ตัวที่สาม…
จนกระทั่งตุ๊กตาทั้งห้องเปล่งแสงสีม่วง พวกมันพากันขยับตัว เดินมาหาเขา
“มาอีกแล้ว!” ลู่เซิ่งกระแอมออกมาสองครั้ง ก่อนจะอ้าปากพ่นออกมา
ฟู่ว!
กระแสอากาศสีขาวบริสุทธิ์สายหนึ่งทะลักออกจากปากเขาด้วยความเร็วสูง แกลายเป็นพายุวน ก่อให้เกิดแรงดูดมหาศาล ม้วนเอาตุ๊กตาทั้งห้องขึ้นมาบีบอัดรวมกันกลายเป็นก้อนเสียงดังตึงตัง
ลู่เซิ่งเบี่ยงร่างพุ่งลอดออกจากด้านข้างมาถึงหน้ากำแพงอีกด้านหนึ่งของห้องได้อย่างง่ายดาย
จากนั้นเขาก็เอื้อมมือขึ้นไปผลัก
เปรี้ยง!
กำแพงระเบิดกลายเป็นรูใหญ่ขนาดหนึ่งคนครึ่ง
แค่กๆ!
ลู่เซิ่งกระอักเลือดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ครั้งนี้ในเลือดมีแมลงมากกว่าเดิม
‘ลำบากแล้ว…ไอ้สิ่งนี้มันร้ายกาจขนาดนี้เชียว!’ เขาขมวดคิ้วมุ่น
เขาสัมผัสได้ว่าฝ่ามือสีม่วงนั้นกำลังดูดซับพลังแห่งกูลาร์กับพลังปีศาจจากห้วงความว่างเปล่าในท้องของตนอย่างไม่หยุดยั้ง
ส่วนพลังของเขาที่สะกดมันไว้ก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งเดินไปได้สองสามก้าว สายตาก็พลันมืดมัวลงจนเกือบจะล้มคว่ำลงกับพื้น
“บ้าเอ๊ย!” นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้เจอสถานการณ์แบบนี้
เขาจำไม่ได้แล้ว นับตั้งแต่ตนสำเร็จเป็นอริยะเจ้า ก็เหมือนกับเจอสถานการณ์บีบคั้นแบบนี้น้อยมาก และตอนนี้ ความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่ได้รู้สึกมานาน ก็ทำให้ลู่เซิ่งสัมผัสกับความจริงที่ไม่เคยเจอมาก่อน
เขาสัมผัสได้อย่างแท้จริงจากความรู้สึกเจ็บปวดนี้ว่า ตนยังมีชีวิตอยู่
‘ต้องเร่งมือแล้ว ร่างนี้ทนได้อีกไม่นาน จะต้องรีบเชื่อมกับแกนหลักแล้วดูดซับพลังอาวรณ์มาให้เร็วที่สุด’
ครั้งนี้เขาเตรียมการไปมากมายเพื่อเอาแกนหลักมาครองให้ได้ ในข้อมูลตรวจสอบที่เจอในห้องสมุดราตรี มีหนังสือเจ็ดแปดอย่างที่ทำขึ้นเพื่อสถานการณ์ในตอนนี้ และหนังสือเหล่านี้ก็สามารถหลบเลี่ยงเพื่อเข้าสู่ห้องเก็บแกนหลักแห่งความโกลาหลโดยตรงได้
และไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเทพรุ่นใหม่ที่ซ่อนอยู่ด้านในขับไล่ออกมา เหมือนอย่างตอนที่ประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลพาเข้าไปในห้องเก็บแกนหลักเมื่อครั้งนั้น
หลังจากข้ามผ่านช่องบนกำแพงด้านหน้าไป ลู่เซิ่งก็เร่งความเร็วกระโดดเข้าไปในช่องว่างทรงกลมขนาดใหญ่อีกแห่ง
ด้านในช่องว่างมีแสงประหลาดสีแดงหลายสาย เมื่อเพ่งมองอย่างละเอียด ลำแสงเหล่านี้ปรากฏเป็นรูปปลาเรียวยาว ลำแสงทุกสายมีดวงตาประหลาดเหมือนกับเส้นประสาทอยู่ตรงกลาง
‘ที่นี่คือ…’ ลู่เซิ่งหรี่ตา เหินร่างไปด้านหน้าระหว่างลำแสงอย่างระมัดระวัง
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นลำแสงเส้นหนึ่งทางขวามือเกิดระเบิดออกอย่างรุนแรง เส้นสายสีแดงเรียวยาวนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาจากด้านใน
เส้นสายพวกนี้เหมือนกับแส้ฟาดใส่ตำแหน่งที่ลู่เซิ่งอยู่
เกิดเสียงดังกึกก้อง เขารีบควบคุมกระแสอากาศมาคุ้มครองร่างอย่างคิดตอบสนองไม่ทัน
ตัวเขาถูกพละกำลังมหาศาลฟาดใส่ กระอักเลือดคำหนึ่งออกมากลางอากาศ ฝ่ามือสีม่วงในตัวเริ่มอาละวาดอีกรอบ
“แม่งเอ๊ย!” ลู่เซิ่งต่อยท้อง ต่อยฝ่ามือสีม่วงที่กำลังดุนดันท้องของเขาออกมากลับไป
จากนั้นเขาก็ร่วงลงพื้น หอบหายใจเฮือกหนึ่ง ยันตัวลุกขึ้น ตัดผ่านจุดที่ลำแสงยิงไม่โดนจากด้านล่าง ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ การพุ่งชนด้วยพลังระดับนี้ย่อมไม่คณามือเขา ทว่าตอนนี้
‘ใกล้แล้ว พลังป้องกันของที่นี่สู้ก่อนหน้านี้ไม่ได้ คาดว่าไปอีกไม่ไกลก็จะเจอของสิ่งนั้นแล้ว’
ลู่เซิ่งตัดผ่านช่องลำแสงสีแดงอย่างรวดเร็ว ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส จนพลังกายเริ่มค้ำยันไม่ไหวแล้ว
แต่เขายังคงฝืนเดินต่อไป จากนั้นก็ไม่มีอุปสรรคใดๆ อีก
ถัดจากช่องว่างก็คือปราการโลหะแผ่นหนา เมื่อตัดทะลุไปลู่เซิ่งก็ไปถึงเขตอยู่อาศัยขนาดใหญ่โล่งโจ้งแห่งหนึ่ง
ด้านในเขตอยู่อาศัยมีเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนในฐานทัพไม่น้อย แต่ถูกเขาใช้วิชาจิตโน้มนำให้มองข้ามเขาไป
เมื่อเดินลึกเข้าไปด้านใน พลังในตัวก็ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การกัดกร่อนก็ยิ่งรุนแรงเช่นกัน
หลายครั้งที่ลู่เซิ่งคิดกระตุ้นให้ค่ายกลจุติทำงาน แต่เมื่อนึกถึงความยุ่งยากหลังจุติ เขาก็ข่มกลั้นตัวเองเอาไว้
อย่างแรก หากจุติเมื่อไร เขาต้องเผชิญหน้ากับเทพนอกรีตมากมายของโลกใบนี้ตามลำพัง
อย่างที่สอง ค่ายกลจุติจะใช้ความสามารถพิเศษของแปรสัจจะ เชื่อมต่อโลกรูปจิตกับโลกใบนี้ เพื่อสร้างพื้นที่ตัดขาดผืนหนึ่งในเวลาอันสั้น
ด้านในพื้นที่ตัดขาดผืนนี้ กฎเกณฑ์ทั้งหมดจะรองรับร่างหลักของลู่เซิ่งได้ในระดับสูงถึงขีดสุด
เมื่อเป็นแบบนี้ เขาจะจุติมายังโลกใบนี้ด้วยพลังมากกว่าเก้าส่วนของร่างหลักได้ ขอแค่ส่วนที่ยุ่งยากยังอยู่ การกางโลกรูปจิตหมายถึงเขาเปิดเผยรากฐานสนับสนุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวเอง ภายหลังถ้าหากโดนเล่นงาน กายอมตะของเขาก็จะถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย
ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ ลู่เซิ่งก็ไม่อยากจะเลือกตัวเลือกนี้เท่าไรนัก
อึก
เลือดสดๆ ทะลักออกมาจากลำคอ แต่เขาฝืนกลืนกลับไป
เขาเดินหน้าอย่างทุลักทุเล ในที่สุดก็เข้าใกล้สิ่งก่อสร้างสีเงินงามประณีตทรงครึ่งวงกลมแห่งหนึ่ง
รอบสิ่งก่อสร้างมีก้อนโลหะลอยฟ้าลอยอยู่เป็นจำนวนมาก เหมือนกับระบบป้องกันที่เป็นเอกลักษณ์ของที่แห่งนี้
รอบนอกยังสัมผัสคลื่นพลังร้ายกาจที่กำลังลาดตระเวนได้อีกไม่น้อย
หากอยู่ในสภาพปกติ ในสายตาของลู่เซิ่ง คลื่นพลังที่แข็งแกร่งเหล่านี้อย่างมากสุดใช้เวลาไม่กี่นาทีก็จัดการได้ แต่ตอนนี้เขาสูญเสียพลังกายอย่างสาหัส ถึงขั้นเวียนศีรษะตาลายเล็กน้อย
แขนขายิ่งไร้เรี่ยวแรง ทรวงอกกับช่วงท้องมีความเจ็บแน่นเป็นระยะ
เขาก้มหน้ามองหน้าอกของตัวเอง ตัวเลขนับถอยหลังของเทพนอกรีตนั้นขยับตัวเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าไอ้หมอนี่คิดตีชิงตามไฟ อาศัยโอกาสอาละวาด มิน่าเขาถึงรู้สึกว่าร่างกายย่ำแย่ลงเรื่อยๆ แม้แต่ปราณปฐพีก็ควบคุมไม่ได้
‘ใกล้แล้ว…ใกล้แล้ว…อดทนอีกหน่อย อีกเดี๋ยวก็จะได้แกนหลักแห่งความโกลาหลแล้ว รอได้แกนหลักเมื่อไร ก็จะได้พลังอาวรณ์ตามที่ต้องการ...ถึงเวลานั้นก็จะจัดการความยุ่งยากพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย’
ลู่เซิ่งแค่นยิ้ม หยิบสามเหลี่ยมสีดำเล็กชิ้นหนึ่งออกมาแล้วโยนออกไป
ก้อนสามเหลี่ยมหมุนวนกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ถัดจากนั้นสายฟ้าสีดำหลายสายก็ระเบิดขึ้นบนผิว ส่งเสียงดังเปรี๊ยะ
ลู่เซิ่งฉีกยิ้ม สืบเท้าก้าวไปข้างหน้า
เขากระโดดพุ่งไปถึงหน้าประตูสิ่งก่อสร้างทรงครึ่งวงกลม มีคนสวมเกราะสีขาวสองคนที่เฝ้าประตูเหมือนจะมองไม่เห็นเขา
‘ดีนะที่เตรียมของพวกนี้เอาไว้ก่อน’
ระหว่างมุ่งหน้าเข้าไปในด้านใน ลู่เซิ่งโยนสิ่งของที่ใช้ทรัพยากรในสถาบันวิจัยสร้างขึ้นออกไปเป็นระยะ
ของชิ้นเล็กๆ เหล่านี้กลายเป็นเส้นทางประหลาดไร้รูปร่างได้ในเวลาเพียงครู่เดียว และเปลี่ยนแปลงคลื่นพลัง แสงสว่าง รวมถึงพื้นที่ตกกระทบทางวัตถุให้กลายเป็นมายา ราวกับดึงเขาเข้าไปในอีกมิติหนึ่งเป็นเวลาสั้นๆ
นี่เป็นความสามารถของปีศาจจากห้วงความว่างเปล่าชนิดพิเศษ เป็นอุปกรณ์ที่ลู่เซิ่งวิจัยจากปีศาจประหลาดที่ได้จากเออร์นี ก้อนสามเหลี่ยมเล็กๆ เหล่านั้น ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาจากไขสมองของปีศาจชนิดนั้นมาอบแห้ง
หากไม่มีสิ่งนี้ ก็ไม่อาจกระตุ้นความสามารถแปรเปลี่ยนเป็นมายาชนิดนี้ได้
ลู่เซิ่งอาศัยวิธีนี้มุ่งหน้าต่อไปอย่างไร้อุปสรรค ไม่นานก็เข้าไปถึงห้องรูปทรงครึ่งวงกลมที่อยู่ด้านในสุด
ห้องด้านในสิ่งก่อสร้างเงียบสงัด เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอ่อนๆ ของพลังแห่งกูลาร์ที่แผ่กระจายกลางอากาศ
‘ที่นี่น่าจะเป็นตำแหน่งใจกลาง ต้นกำเนิดของเส้นสายพลังงานก็คือตรงนี้ ถ้าหากว่าฐานทัพจันทรามีแกนหลักแห่งความโกลาหลจริงๆ อย่างนั้นก็ต้องอยู่ที่นี่แน่’ ลู่เซิ่งโยนก้อนสามเหลี่ยมสีดำออกไปอย่างต่อเนื่อง ก้อนสามเหลี่ยมพวกนี้คงอยู่ได้แค่หนึ่งนาที จากนั้นก็ป่นทลายเป็นผุยผง แล้วสลายหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ถ้าเขาเคลื่อนไหวช้าไปเพียงเล็กน้อย ก็จะไม่อาจทะลวงผ่านไปได้อย่างปลอดภัย
ข้ามผ่านการป้องกันสิบกว่าชั้นอย่างเงียบเชียบ แม้จะเป็นการป้องกันง่ายๆ แต่สภาพของลู่เซิ่งในตอนนี้ย่ำแย่ลงอย่างต่อเนื่อง เขาจึงไม่อยากกระตุ้นให้เกิดปัญหากับความวุ่นวายใดๆ อีก
‘อดทนอีกหน่อย…ใกล้แล้ว…ใกล้แล้ว…’ ความจุกเสียดส่งมาจากท้อง ลู่เซิ่งหน้าซีดยิ่งกว่าเดิม เขากัดฟัน ลวดลายประหลาดสีม่วงแผ่กระจายปกคลุมผิวตัวไปมากกว่าครึ่ง
มุ่งหน้าไปด้านหน้าอีกสักพัก
ในที่สุด เมื่อตัดผ่านรั้วสีดำแนวหนึ่ง เขาก็เข้าไปในห้องทรงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียงสิบกว่าเมตร
ก้อนเนื้อสีเทาขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งที่มีรากไม้กึ่งโปร่งแสงนับไม่ถ้วนงอกอยู่โดยรอบ ลอยอยู่ตรงกลางห้อง
ขอบของรากไม้มีท่อโลหะหยาบใหญ่หลายท่อนเชื่อมต่อกับข้างใต้ตัวมัน
ลู่เซิ่งเงยหน้ามอง คลื่นพลังคุ้นเคยนี้ทำให้เขานึกถึงกลิ่นอายที่ได้สัมผัสในตอนที่ถูกประมวลกฎเกณฑ์แห่งความโกลาหลลากเข้าไปในพื้นที่ใจกลางแห่งนั้น
‘ในที่สุด…’ เขาสูดหายใจลึก นัยน์ตาฉายแววลิงโลด ก่อนจะพุ่งตัวไปสองสามก้าว เข้าไปใกล้ก้อนเนื้อยักษ์
สิ่งของอยู่ด้านหน้า หากไม่รีบไปเอามา ถ้าเกิดมีเหตุเปลี่ยนแปลงใดๆ เช่นนั้นก็เป็นคนหน้าโง่ที่หาเรื่องใส่ตัวแล้ว
……………………………………….