ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 870 ท้องฟ้า (2)
ลู่เซิ่งไม่เคยทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้อยู่แล้ว บางทีอาจมีคนกังวลว่าเป็นกับดักอะไรหรือไม่ แต่เรื่องเล็กน้อยพวกนี้ เขาไตร่ตรองอย่างดีมาตั้งแต่ต้นแล้ว
ระหว่างทางเขาประสานมุทราดุจสายฟ้าฟาด ขณะเดียวกันบนตัวเขาก็มีกระแสอากาศเล็กๆ สิบกว่าสายม้วนตวัดขึ้นมาสานเกี่ยวกันเป็นเค้าโครงมนุษย์สีเทาขนาดเล็กด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ!” ลู่เซิ่งเหินร่าง สองมือกดลงบนผิวก้อนเนื้อขนาดยักษ์อย่างมั่นคง
พรึ่บ!
กระแสอากาศแข็งแกร่งสีเทากลุ่มหนึ่งห่อหุ้มก้อนเนื้อด้วยความเร็วสูงตามพลังแห่งกูลาร์อันมหาศาล
“สำแดงฤทธิ์” ลู่เซิ่งตวาด และในขณะที่เขากำลังจะส่งพลังออกไปนั้น
ตูม!
ก้อนเนื้อพลันขยายใหญ่และสั่นไหว ก่อนจะระเบิดเหมือนกับลูกโป่งธรรมดา
ก้อนเนื้อเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าสองเมตร ระเบิดขึ้นต่อหน้าต่อตาลู่เซิ่งอย่างไร้เค้าลาง นอกจากอากาศแล้ว ด้านในก็ไม่มีสิ่งใดอยู่อีก
“…” ลู่เซิ่งพลันชะงักนิ่งงันอยู่ที่เดิม ขณะมองความว่างเปล่าตรงเบื้องหน้าตนเอง
ติ๊ด!
ติ๊ด!
ขณะเดียวกัน เสียงเตือนภัยแหลมเสียดหูก็ดังขึ้นมาจากในฐานทัพ
“อะ..ไรกัน…” ลู่เซิ่งมึนงงเล็กน้อย
เดิมทีก็เขาเวียนหัวตาลาย ร่างกายเกือบจะไปถึงขีดจำกัดอยู่แล้ว ตอนนี้ความสำเร็จอยู่เบื้องหน้า ทว่ากลับเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก
ทันใดนั้นลำแสงสีแดงสายหนึ่งก็ทะลักออกมาจากใต้พื้นอย่างรวดเร็ว แล้วรวมตัวกันเป็นมนุษย์ร่างพร่ามัวด้านหน้าลู่เซิ่ง
“อืม…ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร…แต่ตอนที่คุณได้เห็นข้อความนี้ แสดงว่าผมเอาแกนหลักไปแล้ว เดิมทีถ้าคุณไม่ทำลายภาพลวงตา อาจจะอาศัยพลังงานที่เหลืออยู่รักษาการทำงานของฐานทัพต่อไปได้ แต่น่าเสียดายมาก...” เงาคนสีแดงยักษ์ไหล่ “คุณดันทำลายไปแล้ว”
“ดังนั้นนะ สหายที่รัก ถ้าหากคุณหนีการไล่ล่าของมหาวิทยาลัยมิสกาได้อย่างปลอดภัย บางทีวันหน้าเราอาจมีโอกาสได้เจอกันอีก” เงาคนใช้น้ำเสียงแฝงความลำพองเยาะเย้ย
“บางทีคุณอาจถามว่า ทำไมฉันถึงเอาแกนหลักแห่งความโกลาหลไปง่ายๆ แบบนี้ ปัญหานี้น่ะ ความจริงง่ายมาก” เงาคนหัวเราะฮ่าๆ “เป็นเพราะฉันเกิดมาเมื่อทำสิ่งนี้ยังไงล่ะ พวกมนุษย์เรียกแบบนี้ว่าอะไรนะ มืออาชีพใช่ไหม ใช่ ถูกแล้ว ฉันน่ะมันมืออาชีพ แตกต่างกับพวกมือสมัครเล่นอย่างพวกคุณ แม้จะทำได้ยาก แต่ฉันเคยทำสิ่งที่ยากกว่านี้มาแล้ว ไอ้ของแค่นี้น่ะ ส.บ.ม.ย.ห อ้อ จริงสิ…ตามกฎของฉัน หากทำเรื่องใดแล้วจะทิ้งชื่อเอาไว้ ชื่อของฉันก็คือ…อืม…คุณเรียกฉันว่ามายาก็ได้…แต่ฉันชอบอีกชื่อมากกว่า”
เงาคนสีแดงก้มหน้าลงเล็กน้อย มุมปากตวัดเป็นเส้นโค้งประหลาด
“ยูซา”
พรึ่บ
ลู่เซิ่งบีบเงาคนสีแดงตรงหน้าจนแหลกสลาย
“ยูซา…” เขาก้มหน้าลง มองดูลวดลายสีม่วงที่ค่อยๆ แผ่ลามไปทั่วทรวงอก ตัวเลขเทพนอกรีตเริ่มขยับอย่างต่อเนื่อง
“ดูเหมือนโลกใบนี้ มักมีเรื่องบางเรื่อง คนบางคน ที่ไม่ยอมให้แกสมหวัง”
ลู่เซิ่งนิ่งไป ก่อนจะกางสองแขนออก สายลมไร้รูปร่างสายหนึ่งค่อยๆ หมุนวนกลางฝ่ามือของเขา
นิ้วสิบนิ้วของเขาเปล่งแสงอักขระสีฟ้าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แสงของอักขระถึงขั้นกลบแสงสีขาวสำหรับส่องสว่างรอบข้างไปจนหมด พร้อมทั้งย้อมห้องทั้งห้องกลายเป็นสีฟ้า
“ในเมื่อเป็นแบบนี้…สายลมเอ๋ย…จงมา ประกาศให้โลกนี้รู้แทนข้า…”
ลวดลายสีม่วงบนตัวลู่เซิ่งเหมือนเริ่มสัมผัสความผิดปกติได้ พากันรุดเร่งการกัดกร่อน เส้นเลือดจำนวนมากระเบิดออก เลือดสีแดงไหลซึมจากใบหน้า ทรวงอก และแขนขาของลู่เซิ่ง
แต่สายลมไร้รูปร่างหลายสายรวมตัวกันด้านหลังเขาด้วยความเร็วสูง อากาศเริ่มสั่นไหว ฉีกกระชาก แสงเริ่ม บิดเบี้ยวพร้อมกับกลายเป็นสีแดงฉาน
กระแสอากาศนับไม่ถ้วนรวมตัวด้านหลังลู่เซิ่ง กลายเป็นวังวนทรงกลมสีเทาขนาดยักษ์กลุ่มหนึ่ง
“ข้าขอสนองความหวังแห่งการทำลายของโลกใบนี้ กงล้อแห่งเวลา ฟากฟ้าแห่งหมื่นปีศาจ ไร้รูป ไร้เหตุ ไร้ดวงเนตร ไร้สิ่งใด”
“ผืนฟ้า ผืนดิน มหาสมุทร ความว่างเปล่า ทุกสิ่งจะเป็นพลังทั้งหมดของข้า เป็นคำประกาศสุดท้ายแห่งสุญญตา…”
ลู่เซิ่งค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“โลกเอ๋ย…จงพักผ่อนเถอะ…”
ตูม!
เนื้อนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากวังวนแห่งสายลมด้านหลังเขาในทันที
เลือดเนื้อทั้งหมดปกคลุมตัวเขาราวกับหนวด ห่อหุ้มเขาจนกลายเป็นก้อนเนื้อขนาดยักษ์
หนึ่งอึดใจต่อมา ก้อนเนื้อก็สลายไป เผยให้เห็นสัตว์ประหลาดมีหางยาวร่างสูงโปร่ง และมีใบหน้ามนุษย์สามหน้า
สัตว์ประหลาดลอยอยู่กลางอากาศ หางเหมือนกับแส้แหลม เกราะหนังทั่วร่างแวววาวดุจกระจก ใบหน้าทั้งสามไม่ขยับเขยื้อนเหมือนหน้ากากโลหะ จ้องมองไปยังสามทิศทาง
ซู่…แขนสิบกว่าคู่แน่นขนัดยืดออกมาจากทั้งสองข้างของร่างกาย แขนทุกคู่ถือดาบโค้งสีดำสนิทที่มีรูปร่างแตกต่างกันไว้สองเล่ม
หนวดเลือดเนื้อสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนจับตัวกันเป็นดอกไม้แห่งเลือดเนื้อขนาดใหญ่ดอกหนึ่งใต้ร่างเขา รองรับให้เขาเหยียบยืน
“จงทำลาย จงเข่นฆ่า จงกลืนกิน จงหวาดกลัวซะ…ฮ่าๆๆๆ!” เสียงหัวเราะแหลมเสียดบ้าคลั่งดังออกมาจากดอกไม้เลือดเนื้อใต้เท้าลู่เซิ่ง
ทันใดนั้นแสงทองเจิดจ้าหกจุดก็สว่างขึ้น
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลืมตาทั้งหกข้างขึ้น จับจ้องด้านบน เหมือนกับสายตาจ้องทะลุผืนดินหลายร้อยเมตร มองไปยังจักรวาลอันมืดมิดและว่างเปล่า
…
ยูซาโยนก้อนเล็กๆ สีเทาในมือออกไปอย่างแผ่วเบา ร่างกายเหินพุ่งออกจากฐานทัพจันทราราวกับเงาลวงตา
สงครามระหว่างปีศาจจากห้วงความว่างเปล่ากับมิสกายังคงดำเนินอยู่ในป่าด้านนอก
บนพื้นเต็มไปด้วยซากศพปีศาจ พลังปีศาจจากห้วงความว่างเปล่าที่เหนียวหนืดข้นไหลเวียนอยู่ในอากาศ นั่นคือสิ่งที่ระเหยมาจากด้านในเลือดของสิ่งมีชีวิตจากห้วงความว่างเปล่าที่ตายมากมายเกินไป
“ควรกลับสักที…ได้ของมาแล้ว ครั้งนี้นับว่าเป็นการแลกเปลี่ยนยิ่งใหญ่ของจริง! ฮ่าๆๆ เมื่อดูดซับสิ่งนี้ อีกประเดี๋ยวจะสามารถ…” ยังไม่ทันเอ่ยจบ ร่างของเขาก็พลันแข็งทื่อ
ในจิตใจพลันเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งที่เหมือนกับถูกสิ่งน่ากลัวบางอย่างจ้องมอง
ยูซารู้สึกว่าเซลล์ทั้งหมดในตัวส่งเสียงครวญคราง นั่นคือความปรารถนาในชีวิต การดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด
“อะ…อะไรกันเนี่ย…?!” เขาก้มหน้าด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว
พื้นดินที่เมื่อครู่ยังเป็นดินธรรมดา เวลานี้ไม่ทราบว่ากลายเป็นสีแดงเข้มราวพรมเลือดตั้งแต่ตอนไหน เขาถึงขั้นเห็นเส้นชีพจรเต้นตุบๆ กับเส้นเลือดที่ไหลเวียนอยู่บนนั้นได้
“นี่…นี่มัน…!” ยูซาเหลียวมองรอบข้าง แต่ทว่สุดลูกหูลูกตาที่เขาเห็นนี้ ดินทั้งหมดถึงกับกลายเป็นเลือดเนื้อแปลกประหลาดนี้ทั้งสิ้น
เหงื่อไหลลงมาตามแก้ม ไม่นานเสื้อผ้าเขาก็เปียกโชก
ฟ้าว!
หนวดสีแดงเข้มหลายเส้นผุดออกมาจากใต้ดิน เกี่ยวกระหวัดสองขาของเขาไว้
บนหนวดมีดวงตาเล็กสีดำกับปากเล็กสีแดงเข้มงอกอยู่เต็มไปหมด เหมือนกับงูพิษเหี้ยมโหดเรียบลื่น ไต่ตามขาของยูซาขึ้นไปด้านบน ไม่นานก็รัดตัวเขาไว้เป็นก้อน
“ไอ้นี้มันคืออะไร! ไปตายซะ!” ยูซาสายตาสั่นไหวอย่างรุนแรง ดิ้นรนหลุดจากสภาวะอัมพาตแปลกประหลาด ก่อนจะยกมือขึ้น หนวดทั้งหมดบนร่างเขาก็ระเบิดจนหมดสิ้น
หลังจากหลุดจากพันธนาการ เขาก็รีบหนีออกไปด้วยความหวั่นสะพรึง
ที่นี่อันตรายเกินไป เขาต้องรีบหนี อย่างไรตอนนี้ก็ได้ของมาแล้ว
ครึ่กๆ
ทันใดนั้นผืนดินด้านหน้าเขาแยกตัวออก เลือดเนื้อนับไม่ถ้วนบิดเบี้ยวเกี่ยวกระหวัดเหมือนกับเกลียว กลายเป็นพื้นยกสูง พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
สัตว์ประหลาดร่างคนหน้าตาดุร้ายสูงหลายเมตรตัวหนึ่ง ยืนอยู่บนพื้นที่ยกสูงเมื่อครู่
สัตว์ประหลาดน่ากลัวมีสามหน้า หางเป็นแส้ และมีแขนสิบคู่
“เจ้าได้มอบสาเหตุให้ข้าเผชิญหน้ากับโลกทั้งใบ” สายตาสีทองอันเย็นเยียบของลู่เซิ่งจ้องเขม็งยูซา
“มาเถิด จงมอบเลือดเนื้อและวิญญาณของเจ้าให้แก่ข้า ข้าจะมอบชีวิตนิรันดร์ให้…”
“บ้าเอ๊ย…! ฉันก็แค่มาขโมยของ…เท่านั้นเอง…ไม่ต้อง…ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้มั้ง…” ยูซาอ้าปากตาค้างขณะมองสัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวใหญ่ด้านหน้า
“นี่มัน…ร่างหลัก…เทพโบราณนี่…!?”
ครืน!
เมฆดำกระจายทั่วฟ้า สายฟ้ากะพริบกลางเมฆดำนับไม่ถ้วน ราวกับกิ่งก้านของต้นไม้ยักษ์ส่องแสง
“เร็ว! เร่งมือหน่อย!”
มาราโดน่ายกมือขึ้นกุมอก ใบหน้าอาบเลือด ยืนอยู่อยู่ด้านหน้าประตูตึกเรียนหนึ่งอย่างทุลักทุเล ขณะเงยมองท้องฟ้า
นักศึกษากับเหล่าอาจารย์จำนวนมากทยอยกันเข้าไปในตึกใหญ่ข้างเขา
แสงโปร่งแสงหลายกลุ่มกระจายอยู่รอบๆ โดยมีตึกใหญ่เป็นศูนย์กลาง พลังแห่งกูลาร์ที่ผสมกับพลังเทพอันประหลาดล้ำบางชนิด กำลังปกป้องฐานทัพสุดท้ายของมิสกา
อาณาเขตของมหาวิทยาลัยเกือบสามในสี่ที่ใช้ตึกเรียนหนึ่งเป็นเส้นแบ่งเขต ต่างถูกไอปีศาจจากห้วงความว่างเปล่ามืดมิดยึดครองแล้ว
เมื่อครู่นี้ ฐานทัพจันทราสูญเสียแหล่งพลังงาน เกราะป้องกันของมหาวิทยาลัยมิสกาสลายไป ปีศาจจากห้วงความว่างเปล่านับไม่ถ้วนไร้สิ่งกีดขวางใดๆ จึงจุติปรากฏตัวอย่างบ้าคลั่ง
เหล่านักศึกษากับคณาจารย์ที่ก่อนหน้านี้ยังฝืนยันไว้ได้ พลันเสียสมดุลโดยสิ้นเชิง ทีมนับไม่ถ้วนล่มสลาย
นักศึกษาชั้นปีสูงยังพอว่า แต่นักศึกษาชั้นปีต่ำต่างเสียสติ พวกเขาไม่ใช่ทหารมืออาชีพอยู่แล้ว เริ่มแรกตอนบาดเจ็บล้มตายน้อย ยังพอจะทนได้ภายใต้ผลของแสงเวทเสริมขวัญกำลังใจชนิดพิเศษ
ทว่าเมื่อการบาดเจ็บล้มตายสูงถึงระดับหนึ่ง สถานการณ์ก็พังทลายอย่างสิ้นเชิง
มาราโดน่ากับคณบดีหลายคนที่อยู่รอบข้างพลันเงยหน้ามองท้องฟ้า
กลางชั้นเมฆหนานั้นมีเทวรูปขนาดมหึมาจนยากเหลือเชื่อค่อยๆ ร่วงลงมา
เทวรูปเป็นคนแก่ผมขาวสวมชุดคลุมยาว ใบหน้าเคร่งขรึม เพียงแต่ตำแหน่งของสองตากลับเป็นสีแดงเข้มกะพริบระยิบระยับสองกลุ่ม
เทวรูปมีขนาดมโหฬารเหลือเกิน คำนวณความเร็วแล้ว อีกแค่ครึ่งชั่วโมงก็จะตกลงมาถึงตำแหน่งของมหาวิทยาลัย
“ไม่เหลือวิธีใดแล้วจริงๆ เหรอ...” ศาสตราจารย์เวลส์กุมแขนที่ขาดของตัวเอง กล่าวด้วยสีหน้าซีดเซียว
ในฐานะผู้ก่อตั้งระบบป้องกันของมหาวิทยาลัย เขายังคงไม่อยากเชื่อว่า ระบบป้องกันที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า ถึงกับพินาศสิ้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน
“เคลื่อนย้ายคนในฐานทัพจันทรามาหมดแล้วหรือยัง” มาราโดน่าส่ายหน้า พร้อมกับกล่าวเสียงทุ้มต่ำ
“ออกมาแล้วครับ…”
“เตรียมเริ่มเส้นทางเคลื่อนย้ายระยะไกลเลย พวกเราเหลือเวลาไม่มากแล้ว” อธิการบดีตัดบทเขา
“รับทราบ…” เหล่าคณบดีสบตากันด้วยสีหน้าดูไม่ได้ เห็นความเศร้าใจอย่างรุนแรงได้จากดวงตาของอีกฝ่าย
แอนดี้ถูกคนใช้รถเข็นผลัก ต่อแถวอยู่ในขบวนคดเคียวยาวเยียดเส้นหนึ่ง
เออร์นีกับอิสซาราติดตามอยู่ในกลุ่มคนด้วยสีหน้ากระวนกระวาย ขบวนคนที่ยาวเหมือนมังกร ทอดยาวไปยังวงแหวนเวทจานกลมโลหะสีฟ้าขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป