ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 871 ศึกใหญ่ (1)
จานโลหะตั้งตระหง่าน ส่งเสียงกึงกังเบาๆ เหมือนกับระฆัง มีสายฟ้าสีฟ้าเล็กละเอียดโดยรอบอยู่ตลอดเวลา
“พวกเธอเห็นแจ๊คไหม!?” ทันใดนั้นแอนดี้ก็ตะโกนขึ้นเสียงดัง
“แจ๊ค?!” เออร์นีที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็ได้สติ กลุ่มคนที่มีจำนวนน้อยนิดถูกเธอกวาดสายตาผ่านอย่างรวดเร็ว
เธอไม่รู้ว่าแจ๊คอยู่ที่ไหน
“เขาคงไม่ได้อยู่ที่สถาบันวิจัยใช่ไหม!?” ไคโดที่อยู่ในทีมรุ่งอรุณเอ่ยถามอย่างลังเล
“ฉันจะไปหาเขาเอง!” เออร์นีลังเลเล็กน้อย ก่อนกล่าวอย่างแน่วแน่
“เธอบ้าหรือไง! ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น เธอออกไปได้เหรอ ถ้าเกิดว่าโดนปีศาจเจอเข้า ก็ไม่มีใครช่วยเธอได้อีกแล้วนะ!” เบลโลวส์ที่อยู่ในทีมรีบห้ามเธอไว้
“ฉัน…” เออร์นีไม่แน่ใจว่าตนมีความรู้สึกกับแจ๊คแบบไหน ตอนที่เธอได้ยินว่าแจ๊คไม่อยู่ สิ่งที่เธอคิดได้ในทันทีคือต้องไปช่วย!
“ฉันไปเอง” แอนดี้ลุกขึ้นจากรถเข็นอย่างยากลำบาก “ยังไงร่างฉันก็ทนได้อีกไม่นานแล้ว” เขายิ้มอย่างองอาจ
“แจ๊คเป็นเพื่อนฉัน ตอนนี้ฉันยังขยับตัวได้ ถ้าช่วยเขาได้ย่อมดีที่สุด ถ้าช่วยไม่ไหว อย่างมากสุดก็จะได้ตัดคนพิการอย่างฉันออกไปด้วย”
“นาย!” เออร์นีอึ้งงันไปเพราะเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าแอนดี้
เธอไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร จิตใจกระวนกระวายอย่างรุนแรง
แต่แอนดี้ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ยันไม้เท้าเดินไปยังทิศทางตรงข้ามกับขบวน
รอจนเงาร่างของเขาใกล้หายไป เออร์นีค่อยก้าวเท้ารีบตามออกไป
“เฮ้! พวกเธอ รอฉันด้วยสิ! บ้ากันไปหมดแล้วเหรอไง” ไคโดร้อนใจ พอเห็นเออร์นีตามคนพิการอย่างแอนดี้ไป เขาก็ลอบกัดฟันพุ่งตามไปด้วย
“พวกเธอรอก่อน! จะทำอะไรน่ะ!?” อาจารย์และศาสตราจารย์ที่อยู่หลังเขตกักกันไม่ไกลออกไป กำลังเตรียมอาคมป้องกันชุดใหม่ พลันสัมผัสได้ว่าด้านหลังมีเสียงลมพัดผ่าน เพิ่งหันไปก็เห็นเงาคนหลายสายพุ่งผ่านไป
สมาชิกคนอื่นๆ ในทีมลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรีบติดตามไป พวกเขาไม่เพียงเป็นสหายธรรมดาเท่านั้น แต่ผูกพันกันด้วยชีวิต
คนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากแนวป้องกัน มุ่งหน้าไปยังสถาบันวิจัย
เปรี้ยง!
ปีศาจร่างมนุษย์ขนาดยักษ์ที่มีร่างท่อนบนเป็นกวาง ถือขวานขวางอยู่หน้าพวกเขา
“จีลีฮะซูอา…! เมิงตูโอ!” ปีศาจถือขวานคำราม เงาร่างสูงสิบกว่าเมตรจามขวานลงมาอย่างรุนแรง
“ข้าไม่มีเวลามาเปลืองแรงกับเอ็งนะโว้ย!” แอนดี้หัวเราะฮ่าๆ โซ่อักขระสีม่วงกลุ่มหนึ่งปรากฏแวบบนร่าง โซ่กะพริบเวียนวน พร้อมส่งเสียงเสียดสีเหมือนฟันเฟืองโลหะ
“ไป!” โซ่สีม่วงหลายเส้นกระจายออกจากร่างเขา ห่อหุ้มคนที่เหลือเอาไว้ ทุกคนกลายเป็นโปร่งแสงด้วยความเร็วสูง ราวกับหายตังไปจากที่เดิม
“อาซาโต…นีกูลุส…ดุนน์…”
ในเวลานี้เอง ไกลออกไปมีเสียงประหลาดเหมือนคนจำนวนนับไม่ถ้วนพึมพำขับร้องบทเพลงดังมา
เกิดเสียงดังพรุ่บ ปีศาจมนุษย์กวางคุกเข่าลงกับพื้น หยุดการโจมตี แล้วกราบกรานไปยังที่ไกล
พวกเออร์นีเงยหน้ามองตามไป วังวนสีม่วงเข้มกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นทางขวาของเทวรูปขนาดยักษ์เหนือกรวยสามเหลี่ยม ขนาดยักษ์ที่มีแขนนับไม่ถ้วนงอกอยู่เต็มไปหมดกลางความว่างเปล่าด้านล่างวังวน
มือมนุษย์สีขาวซีดจำนวนเหลือคณานับงอกออกมาบนผิวของมัน พร้อมกับโบกปัดไปทั่ว ราวกับการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของคนที่กำลังจมน้ำ
“นี่มัน…คือ…!”
เออร์นีทรวงอกสะท้อนขึ้นลงอย่างรุนแรง ดวงตาเบิกกว้าง
เธอเหมือนกับย้อนนึกถึง รูปประกอบของเทพนิยายที่เคยเห็นในห้องสมุด
“ราชันเทพโลหิต…ลาทาสซาน”
“โอ้โห…” แอนดี้หน้าเขียวขึ้นเล็กน้อย เทวรูปยักษ์ก่อนหน้านี้ยังพอว่า ตอนนี้มีไอ้ตัวที่ดุร้ายกว่ามา…นี่เป็นจังหวะที่มิสกาไม่มีทางจะฟื้นตัวได้อีกของแท้!
“ข้าแนะนำให้เจ้าถอยก่อนดีกว่า ลาทาสซานเป็นตัวแทนวัฏจักรของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด รูปลักษณ์นี้หมายถึงจุดสิ้นสุดของสิ่งมีชีวิต” เสียงเครื่องจักรเย็นเยียบดังขึ้นในสมองของเขา
“แกก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกันเหรอ” แอนดี้กล่าวอย่างงุนงง
“ระดับของมันสูงกว่าข้าขั้นหนึ่ง ตัวข้าเลือกมาที่นี่ด้วยวิธีการแบบนี้เพื่อไม่สร้างความตื่นตัวให้ตัวตนบางอย่าง แต่มันไม่กลัว ลาทาสซานปรากฏตัวในประวัติศาสตร์ของมนุษย์มานานแล้ว การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลกในแต่ละครั้ง ล้วนมีร่องรอยของมัน มันมีร่างแปลงสามอย่าง แบ่งเป็นจุดจบ ชำระล้าง และเกิดใหม่ นี่เป็นร่างแรก” เสียงนั้นเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
“ถ้าฉันแค่อยากจะไปช่วยคนที่สถาบันวิจัยล่ะ” แอนดี้ไม่ยอมแพ้ “ก่อนหน้านี้แกคุยโวเหลือเกินนี่ว่าร้ายกาจนักหนา ทำไมเรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้ล่ะ”
“การยั่วยุไม่มีประโยชน์กับข้าหรอก ข้าเป็นตัวตนไร้อารมณ์ เป็นร่างแปลงแห่งสติปัญญาอันเฉีบขาด” เสียงนั้นเว้นเล็กน้อย “แต่เรื่องแค่นี้ เจ้านึกว่ามันสร้างความลำบากให้ข้าได้หรือไง แต่ว่าเจ้าจะต้องรีบกลับมาในยี่สิบห้านาที”
“ยี่สิบห้านาที…แกคิดว่าฉันจะไหวเหรอไง” แอนดี้หมดคำพูด
“เจ้ามีแค่ตัวเลือกนี้” เสียงนั้นแผ่วเบาลง แล้วไม่พูดอะไรอีก
“ฉันเอง! ตามฉันมา!” เออร์นีที่อยู่ด้านข้างถือคทาสั้นสีเงิน ปลายคทาเหมือนกับกรงเล็บมังกรถือไข่มุกสีอำพันเอาไว้สามก้อน
แอนดี้ตาเป็นประกาย พ่นกระแสอากาศสายลมแห่งการประสานออกมาเพื่อช่วยลดภาระให้กับตัวเอง ก่อนจะรีบตามพวกเออร์นีไป
ภายใต้การปกป้องของคทาสั้น ปีศาจที่ทุกคนได้เจอราวกับไม่เห็นพวกเขา สามมารถเดินผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
แต่ทุกครั้งที่เจอปีศาจฝูงหนึ่ง แสงสีเหลืองอ่อนบนคทาสั้นจะเรืองแสงขึ้นหนึ่งส่วน ยังมีพลังประหลาดสายหนึ่งคอยเสริมผลซ่อนตัวของมันด้วย
ไม่นาน ทุกคนก็ใกล้ถึงสถาบันวิจัย
“ถึงแล้ว! รีบเข้าไปเร็ว!” แอนดี้รีบพุ่งเข้าสถาบันวิจัย กำแพงป้องกันด้านในอยู่ในสภาพดี น่าจะยังไม่ถูกทำลาย ขอแค่ไปทันเวลา ก็น่าจะปลอดภัยชั่วคราว
พวกเออร์นีรีบตามไป แต่ยังไม่ทันเข้าไป
ตูม!
เงาแดงสายหนึ่งก็พุ่งมาพร้อมกับเปลวเพลิงลุกโหมชนใส่พื้นหญ้าด้านข้างสถาบันวิจัย
สนามหญ้าถูกกระแทกจนดินโคลนกระจัดกระจาย เศษหญ้าถูกเผาจนดำเกรียม เหลือเพียงหลุมใหญ่ลึกหลายเมตรหลุมหนึ่ง
ด้านในหลุมมีแสงสีรุ้งไหลเวียน
แค่กๆๆ…
ฝ่ามือขาวผ่องข้างหนึ่งยื่นออกมาจากปากหลุม แล้วเกาะขอบหลุมอย่างยากลำบาก
เลดี้แฮปปี้ที่สวมกระโปรงขาดวิ่นสีแดง เลือดสีแดงอ่อนไหลลงมาตามศีรษะ คลานออกมาจากหลุม
ก้อนเนื้อก้อนหนึ่งบนไหล่ซ้ายของเธอหายไป เหมือนกับถูกบางอย่างคว้านเฉือนออกไป
“วันสุดท้ายของมิสกามาถึงแล้ว…พวกเทพรุ่นใหม่ไม่มีพลังพอจะพลิกฟื้น ยุคสมัยกำลังจะกลับสู่กาลเวลาโกลาหลอีกครั้ง…”
ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งร่วงตกลงจากท้องฟ้า ทิ้งตัวลงห่างจากเลดี้แฮปปี้หลายเมตร แล้วรวมตัวเป็นมนุษย์หัวเหยี่ยวสวมเสื้อคลุมสีขาวคนหนึ่ง
พวกแอนดี้แทบไม่กล้าหายใจ อาศัยพลังของคทาเวทมนตร์หลบอยู่ด้านข้าง ได้แต่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่เจอพวกเขา
“เจ้า…” แฮปปี้พยายามลุกขึ้น แต่ร่างสั่นไหว เลือดไหลออกจากรูจมูกและดวงตาอย่างช้าๆ
“จงสิ้นหวังเสียเถอะ” ทุกอย่างถูกชะตากำหนดไว้หมดแล้ว” มนุษย์หัวเหยี่ยวค่อยๆ สาวเท้าเข้าหาเธอ “หรือควรบอกว่า เจ้าคิดว่าเจ้าพวกแมลงที่อยู่แถวนี้จะช่วยเจ้าได้งั้นหรือ” สายตาคมกริบของเขากวาดผ่านพวกแอนดี้ที่ซ่อนตัวอยู่ใกล้ๆ
“รีบหนี!” คทาสั้นในมือเออร์นีระเบิด เธอโซเซทีหนึ่ง ก่อนจะรีบถอยหลัง
แต่สายไปแล้ว
ทุกคนรู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง พลังลมที่ยิ่งใหญ่สายหนึ่งเหมือนกับเกี่ยวรัดร่างของพวกเขาเหมือนเชือก ทำให้ขยับเขยื้อนไม่ได้
ขณะเดียวกัน งูพิษคริสตัลกึ่งโปร่งแสงสีม่วงหลายตัวก็ค่อยๆ ปรากฏในอากาศ แล้วบินไปหาคนอื่นอย่างเชื่องช้า
“ลมหายใจจงหมดไปอย่างช้าๆ เถิด…” มนุษย์หัวเหยี่ยวยิ้มอย่างดุดัน พร้อมกับยื่นกรงเล็บเข้าหาแฮปปี้
แฮปปี้เงยหน้าขึ้นอย่างสิ้นหวัง มองดูกรวยสามเหลี่ยมกับเทวรูปยักษ์เหนือศีรษะที่คืบคลานเข้ามาใกล้
“นึกไม่ถึง…ว่าจะเจอจุดจบแบบนี้…” เธอยิ้มอย่างเศร้าใจ แต่การที่กำจัดปุโรหิตที่ชั่วร้ายของเทพนอกรีตไปได้สองคน ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
มนุษย์หัวเหยี่ยวเร่งความเร็ว ฟาดกรงเล็บลงไป
ฟ้าว!
พริบตานั้น ผืนดินพลันแข็งตัว
ผืนดินที่ตอนแรกมีชีวิตชีวา และเลือดหลั่งไหลดั่งสายธาร หยุดนิ่งลงเหมือนโดนหยุดเวลา
เสียงทุ้มต่ำทรงพลังเหมือนคนนับไม่ถ้วนพูดพร้อมกัน กระเพื่อมมาจากใต้ดิน
“ข้าจะสนองความคาดหวังแห่งการทำลายของโลกใบนี้…กงล้อแห่งเวลา…ฟากฟ้าแห่งหมื่นปีศาจ…ไร้รูป ไร้ขอบเขต ไร้เนตร ไร้สิ่งใด ผืนฟ้า ผืนดิน มหาสมุทร ความว่างเปล่า ทุกอย่างเป็นพลังให้แก่ข้า เป็นคำประกาศสุดท้ายแห่งสุญญตา…”
“นี่มัน…เสียงอะไร!? ข้าคือดวงเนตรแห่งสรรพสิ่ง เสียงแห่งสรรพชีวิต ไม่น่าจะสัมผัสถึงสิ่งนี้ไม่ได้สิ…” มนุษย์หัวเหยี่ยวลนลานเล็กน้อย
เขาคิดถอยหลัง แต่กรงเล็บถูกแช่แข็งไว้กลางอากาศจนขยับไม่ได้
ไม่เพียงเขาเท่านั้น ปีศาจทั้งหมดในบริเวณรอบข้าง ก็ถูกแช่แข็งการเคลื่อนไหวในตอนนี้ด้วยเช่นกัน
เลือดเนื้อสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนแผ่พุ่งข้างใต้ปีศาจและระหว่างสิ่งก่อสร้างเหมือนพรมแดง
หากก้มมองจากด้านบนมหาวิทยาลัยจะค้นพบว่า สีแดงเข้มผืนหนึ่งกำลังแผ่ลามไปรอบๆอย่างบ้าคลั่งโดยมีฐานทัพจันทรากลางมิสกาเป็นศูนย์กลาง
“โอ้โห…มีไอ้ตัวร้ายกาจมาอีกตัวแล้ว…” แอนดี้ฝืนเค้นยิ้ม แต่พบว่าการเคลื่อนไหวเชื่องช้ากว่าก่อนหน้าไม่รู้ตั้งเท่าไร
พวกเออร์นีก็พบอย่างตกใจเช่นกันว่า ทุกๆ การเคลื่อนไหวของตัวเองเหมือนมีแรงกดดันกดทับจนเชื่องช้าสุดขีด
แต่อย่างนี้ก็ยังดีกว่าขยับไม่ได้เลย
“ดูเหมือน สัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ จะขยับไม่ได้แล้วนะ” ไคโดจ้องมองมนุษย์หัวเหยี่ยวที่อยู่ไกลออกไป กับปีศาจที่อยู่ในบริเวณรอบข้างอย่างงุนงง
“ไม่ใช่มั้ง ทำไมเราถึงได้เปรียบล่ะ หรือไอ้ตัวที่โผล่มาใหม่จะเป็นญาติเรา” แอนดี้คิดจะเล่นมุกเพื่อลดบรรยากาศตึงเครียด แต่ไม่ว่าอย่างไร สีหน้าที่ใกล้จะร้องไห้ของเขาก็ทำให้คนอื่นๆ ขำไม่ออก
“ไม่ใช่ญาติหรอก...แต่…ก็ใกล้เคียงอยู่…”
แฮปปี้ที่อยู่ด้านข้างอ้าปาก ชี้ไปยังกลางท้องฟ้าไกลด้วยความตกตะลึง
พวกเออร์นีกับแอนดี้รีบหันไปมองอย่างยากลำบาก
กลางท้องฟ้าไกลออกไป มีเถาวัลย์เลือดเนื้อสูงหลายสิบเมตรจำนวนนับไม่ถ้วนงอกออกมาจากส่วนลึกของผืนดินตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
เถาวัลย์เลือดเนื้อทั้งหมดเกี่ยวกันกลายเป็นเสากลมเลือดเนื้อมโหฬารต้นหนึ่ง
ยอดเสาเบ่งบานออกเหมือนกับดอกตูม เผยให้เห็นอมนุษย์ที่อยู่ด้านใน
“โอ้โห…ไอ้ตัวนั้นมีตั้งสามหน้าแหนะ!” แอนดี้พลันส่งเสียงหัวเราะพิลึก “แต่ทำไมหน้าถึงได้เหมือนแจ๊คขนาดนี้ล่ะ…”
“ฉันว่า…พวกเราคิดหาวิธีหนีดีกว่า…” เลดี้แฮปปี้ไม่ขำกับมุกตลกของแอนดี้
“นั่นคือเสียงสะท้อนของดวงดาวที่มีในหมู่เทพโบราณซึ่งเก่าแก่ที่สุดท่ามกลางเทพรุ่นเก่าเท่านั้น…” เธอกล่าวเสียงทุ้มต่ำอย่างยากลำบาก
“ก็เท่ากับว่าเทพปีศาจที่อยู่รอบๆ ก็มีปัญหาไม่ใช่เหรอครับ ดูเหมือนไอ้ตัวนั้นจะไม่ใช่พวกเดียวกับพวกมันนะ…” แอนดี้หัวเราะแห้ง
“…” แฮปปี้มองเขาแวบหนึ่ง “ถึงฉันจะไม่อยากพูดแบบนี้ก็เถอะ…แต่” เสียงของเธอแห้งผากเหมือนกัน
“ต่อให้มัดสัตว์ประหลาดทั้งหมดที่อยู่รอบๆ มารวมกัน ก็ยังไม่คณามือไอ้ตัวนั้นด้วยซ้ำ…”
“…”
ทุกคนนิ่งเงียบทันที
……………………………………….