ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 873 ฝูงเทพ (1)
ราชันเทพโลหะขยับตัว แขนนับไม่ถ้วนเริ่มโปรยผงสีขาวจำนวนมากออกมารอบๆ เหมือนปูนขาวลอยอยู่กลางอากาศ มองดูไกลๆ เหมือนกับผิวของพีระมิดมีราขึ้นเต็มไปหมด
“ผู้ฝืนกฎ! ตาย!”
ทันใดนั้นจุดสีขาวนับไม่ถ้วนก็ลอยเข้าหาลู่เซิ่งอย่างมืดฟ้ามัวดิน
จุดสีขาวบางจุดรวมตัวเป็นสัตว์ประหลาดกลางอากาศ บ้างก็รวมตัวเป็นมนุษย์ บ้างกลายเป็นอาวุธประหลาดหลากหลายรูปแบบ
แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ใด รอบจุดสีขาวทั้งหมดต่างมีคลื่นพลังเทพอ่อนๆ
มองดูไกลๆ คล้ายกับสีขาวนับไม่ถ้วนห่อหุ้มเสากลมตรงที่ลู่เซิ่งอยู่เอาไว้
ลู่เซิ่งโยนยูซาออกไป
“จับมันไว้”
พรวด
ยูซาที่อยู่ข้างเขาร่างสั่นอย่างแรง อยู่ๆ ก็มีหนวดสีแดงเข้มจำนวนมากทะลักออกมาจากเจ็ดทวาร หนวดนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน เหมือนกับนำอวัยวะภายในทั้งหมดในตัวเขาออกมา
ไม่นานร่างของยูซาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดหนวดเนื้อที่สูงกว่าสองเมตรตนหนึ่ง
บนหัวสัตว์ประหลาดมีดวงตาหกข้าง หัวเหมือนกับปลาหมึก ส่วนท่อนล่างกับแขนขายังอยู่ในสภาพปกติ
มันลุกขึ้นจากพื้น แล้วโค้งตัวให้ลู่เซิ่งเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังไปเผชิญกับกระแสคลื่นสัตว์ประหลาดสีขาวจำนวนมหาศาลที่บินเข้ามา
“ประกายแสงวานรแดง”
สัตว์ประหลาดยื่นมือไปด้านหน้า ขอบฝ่ามือแยกออกเป็นสิ่งของที่มีผิวนอกเป็นก้อนหนังสีดำสองก้อน
ก้อนหนังสองก้อนแยกออกจากกัน แล้วพุ่งไปยังทางซ้ายทางขวาด้วยความเร็วสูง
พรุ่บๆ!
ก้อนหนังสองก้อนที่เพิ่งแยกออกจากกันขยายใหญ่กลางอากาศด้วยความเร็วสูง ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วินาที ก็ขยายกลายเป็นก้อนเนื้อสีแดงอมดำที่เต็มไปด้วยมนตราสองก้อน
แคว่ก!
ก้อนเนื้อทั้งสองก้อนแยกเป็นช่องจากตรงกลาง หนวดนับไม่ถ้วนทะลักออกมา แล้วแผ่ขยายออกไปกัดกร่อนบริเวณรอบๆ
คลื่นสัตว์ประหลาดสีเทากับหนวดนับไม่ถ้วนกระแทกใส่กันในชั่วพริบตา
เปรี้ยง!
ก้อนเนื้อหั่นเฉือนฝูงสัตว์ประหลาดสีขาวอย่างรุนแรงเหมือนจานบด ในทันทีที่ขยายใหญ่ เลือดเนื้อจำนวนมากบนผิวก็งอกหนวดจำนวนมากกว่าเดิมออกมาหวดฟาดใส่รอบๆ อย่างสะเปะสะปะ
ลู่เซิ่งยื่นมือชี้ไปที่ราชันเทพโลหิต
พีระมิดขนาดยักษ์สั่นไหวอย่างรุนแรง รอบๆ เริ่มปรากฏรอยร้าวเล็กๆ รอยร้าวเพิ่มจำนวนและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับมีพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจต้านทานได้บางอย่างกำลังฉีกทึ้งมันอยู่
“ไม่นะ!” ราชันเทพโลหิตโหยหวน ใจกลางพีระมิดค่อยๆ แยกออก เผยให้เห็นพื้นที่เล็กๆ ที่เหมือนกับช่องว่างด้านใน
ด้านในนั้นมีแมงมุมลึกลับที่มีขนสีน้ำเงินอยู่ตัวหนึ่ง
“ฉีกกระชากธาตุ!”
แมงมุมพุ่งออกมาหาลู่เซิ่งจากกลางอากาศ
แต่ยังไม่ทันไปถึง ลู่เซิ่งก็กลอกดวงตาจับจ้องมันก่อน
ดวงตาสีทองหกข้างจ้องมองสิ่งเดียวกัน ขนบนร่างแมงมุมน้อยเริ่มลุกไหม้ แรงกดดันอันมหาศาลจำนวนมากบีบอัดการเหินบินของแมงมุมจากทุกทิศทาง
เปรี้ยง!
แมงมุมยังบินไปไม่ถึงครึ่งทาง ก็ถูกพลังไร้รูปร่างขัดขวาง ตัวระเบิดกลางทาง ท้องของมันบรรจุพิษที่อันตรายถึงชีวิตไว้จนเต็มเปี่ยม
น้ำพิษกระจายออกมา สถานที่ที่ถูกน้ำพิษกระเซ็นใส่มีฟองน้ำเล็กๆ สีน้ำตาลผุดพรายขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
แม้แต่ผิวของสิ่งก่อสร้างบางส่วนก็เริ่มผุดฟองเช่นกัน
ลู่เซิ่งกวาดตามอง ยกมือขึ้น แล้วกางนิ้วทั้งห้าออก
ครืน…
เมฆนับไม่ถ้วนในอาณาเขตพันเมตรถูกก่อกวน เมฆทั้งหมดรวมตัวกลายเป็นกระแสอากาศที่เหมือนกับงูยักษ์ห้าตัว
กระแสอากาศห้าสายขนาดใหญ่เกี่ยวรอบตัวราชันเทพโลหิต เหมือนกับเชือกสีขาว
“ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้ความร่วมมือ อย่างนั้นก็…ลาก่อน” เขาบีบนิ้วอย่างแรง
เปรี้ยง!
พลันคลื่นโปร่งแสงทรงรีสายหนึ่งกระแทกใส่แขนเขาจากทางขวา ทำให้ฝ่ามือของเขาเอียงไป
สัตว์ประหลาดร่างสูงใหญ่ที่มีขนสีดำทั่วตัวบินมาจากกลางอากาศ
“ฆ่ามันซะ! แล้วชิงแกนหลักมา!” สัตว์ประหลาดขนสีดำคำราม อ้าปากพ่นหนวดปลาหมึกสีเทาขนาดยักษ์เส้นหนึ่งออกมาในทันที
หนวดขนาดยักษ์ยาวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้วกระแทกใส่ลู่เซิ่งด้วยอานุภาพหนักอึ้งสุดขีด
“จงสยบ!” สัตว์ประหลาดคำราม พร้อมกับสะบัดหนวดฟาดใส่ลู่เซิ่งอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
หนวดเหมือนกับหวดใส่กำแพงล่องหน หยุดอยู่กลางอากาศห่างจากลู่เซิ่งไปไม่กี่เมตร
พลังเทพที่มองไม่เห็นกัดกร่อนกำแพงอย่างรุนแรงกลางอากาศ ในเวลานี้ ปราณปฐพีของลู่เซิ่งสามารถแสดงผลได้อย่างสมบูรณ์แบบในแดนจุติแห่งนี้แล้ว
ภายใต้สภาพแวดล้อมของกฎนี้ เมื่อประสานปราณปฐพีของเขาเข้ากับพลังจากห้วงความว่างเปล่า ก็สามารถต้านทานพลังเทพของอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
ลู่เซิ่งหัวเราะเบาๆ แขนคู่หนึ่งบนร่างยกขึ้นอีกครั้ง นิ้วประสานเป็นมุทราอักขระใหม่สองชนิด
ขณะเดียวกัน แขนข้างอื่นๆ ของเขาก็พากันเคลื่อนไหวในลักษณะที่แตกต่างกัน
อักขระมุทราหลายคู่ถูกประสานออกมา ทันใดนั้น เขาถึงกับประสานอักขระเริ่มต้นวิชาที่แตกต่างกันมากกกว่าร้อยชนิด
กระแสอากาศนับไม่ถ้วนรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นกำแพงขาวมหึมาสุดเปรียบปานเหนือศีรษะของทุกคน
กำแพงขาวปกคลุมท้องฟ้าเกือบทั้งหมด ทั้งยังค่อยๆ กลายเป็นสีดำ นั่นหมายความว่าเมฆกำลังหนาตัวอย่างรวดเร็ว
ร่างแปลงของเทพนอกรีตสองตนปล่อยหนวดหลายเส้นกับสัตว์ประหลาดสีเทาออกมานับไม่ถ้วน หมายจะฆ่า ลู่เซิ่งให้ตาย แต่ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งขนาดไหน ก็เชื่องช้าลงราวกับหอยทากเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
จากนั้นก็ถูกเขารวมพลังทำลายได้อย่างง่ายดาย
ชั้นเมฆบนท้องฟ้าหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกยังเป็นตอนกลางวัน เวลานี้กลับหมือนตอนกลางคืน
ลู่เซิ่งมองราชันเทพโลหิต ก่อนจะยื่นมือออกไปอีกครั้ง
“จะลองอีกหรือไม่” เขากางนิ้ว แล้วตวัดส่พีระมิดอย่างช้าๆ จากนั้นกระแสอากาศสีเทาขนาดยักษ์ห้าสายก็เกี่ยวตัวพีระมิดเอาไว้ตามการเคลื่อนไหวของเขา
ผิวพีระมิดขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ สัตว์ประหลาดร่างคนบางส่วนหมายจะมุดออกมาจากด้านใน แต่เพิ่งโผล่ออกมาได้แค่หัว ก็ถูกแรงกดดันจากกระแสอากาศขนาดยักษ์อัดกลับไป
อ๊าก!
ราชันเทพโลหิตแผดเสียง ร่างกายเริ่มดิ้นรนส่ายไหว
แต่ว่ากระแสอากาศสีเทาห้าเส้นรัดเข้าเนื้อราชันเทพโลหิตแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ตูม!
ทันใดนั้น เสาเมฆต้นหนึ่งหล่นลงมาจากท้องฟ้า กระแทกเข้ากับกลางลำตัวราชันเทพโลหิตอย่างจัง
ร่างมากกว่าครึ่งของมันสลายหายไปราวกับกลายเป็นไอ
อ๊าก!
เสียงคำรามที่เจ็บปวดกระแทกผืนแผ่นดินรอบข้างให้สั่นไหว สิ่งก่อสร้างที่แข็งแกร่งไม่อาจทำลายได้ส่วนหนึ่งถล่มลงมา
ราชันเทพนอกรีตอันเป็นสัตว์ประหลาดมีขนที่อยู่ด้านข้างคิดจะพุ่งเข้าใกล้ แต่ก็มีเสาเมฆอีกต้นพุ่งลงมากระแทกร่างมันจากฟ้าเช่นกัน
ภายใต้เสียงกึกก้องกัปนาท ร่างมากกว่าครึ่งของสัตว์ประหลาดมีขนถูกทำให้กลายเป็นไอสลายหายไป ล่องลอยอยู่กลางท้องฟ้าด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส
แต่มันยังคิดจะไล่ตามต่อไป
มียักษ์สีดำมีปีกสองตน ลอยขึ้นไปขวางมันไว้
ยักษ์สีดำสองตนนี้แตกต่างจากยักษ์ทั่วไป ผิวของพวกมันมีลวดลายประณีตเก่าแก่ สองตากะพริบแสงสีเทาแห่งความชั่วร้ายและละโมบ กลางหว่างคิ้วมีรูปงูมีปีกสีแดงเข้มติดอยู่ ทุกการเคลื่อนไหวกอปรด้วยพลังอันน่ากลัวที่ลู่เซิ่งมอบให้
ในฐานะมารสวรรค์มายาพิศวง ลู่เซิ่งเป็นเทพเพียงหนึ่งเดียวในโลกรูปจิต ดังนั้นย่อมมีบริวารเทพของตัวเอง
และยักษ์สองตนนี้ก็เป็นบริวารเทพแห่งความโกลาหล หนึ่งในกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดของโลกรูปจิต
กลุ่มสิ่งมีชีวิตนี้เป็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกที่เข้ามาในตอนที่โลกรูปจิตให้กำเนิดชีวิต พวกมันวิวัฒนาการและฝึกฝนอยู่ด้านในมาหลายปี จนถึงขั้นปัจจุบัน
หากเป็นสถานการณ์ทั่วไป พลังฝึกปรือของสัตว์ประหลาดในโลกรูปจิตอย่างมากสุดจะต่ำกว่าร่างหลักที่เป็น มารสวรรค์มายาพิศวงมากกว่าสองระดับ
ทว่าเป็นเพราะร่างหลักของลู่เซิ่งในเวลานี้ไปถึงขั้นสูงสุดของมายาพิศวง หรือผู้ปกครองอนธการในตำนานด้วยการเรียนรู้ของดีปบลูแล้ว
ตามทฤษฎี กลุ่มสิ่งมีชีวิตหรือสัตว์ประหลาดพวกนี้จึงมีพลังที่ใกล้เคียงกับมายาพิศวง
และหากโลกรูปจิตไม่ดับสูญ พวกมันก็ไม่ตาย หนำซ้ำพวกมันยังไม่มีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณของพวกมันเป็นหนึ่งเดียวกับโลกรูปจิต จึงไม่มีวันตาย
โดยทฤษฎีแล้ว สาเหตุที่มารสวรรค์ถูกโลกใบอื่นเรียกว่ามารสวรรค์ ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล แต่มารสวรรค์มายาพิศวงทุกตน ต่างก็เป็นกาลวิบัติอันเด็ดขาด
แม้การที่ลู่เซิ่งปลดปล่อยโลกรูปจิต จะทำให้สูญเสียความสามารถอมตะ จนอยู่ในสภาพเสี่ยงที่สุด
แต่เวลานี้ก็เป็นเวลาที่เขาแข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน!
“ฆ่าพวกมันซะ!” ลู่เซิ่งกดบนแกนหลักแห่งความโกลาหล แล้วหันหลังเดินลงไปอย่างผ่อนคลาย
เขาเดินอยู่กลางอากาศ เลือดเนื้อสีแดงเข้มนับไม่ถ้วนกลายเป็นบันไดใต้เท้าเขา ทอดยาวไปด้านล่าง
เงาคนยักษ์ใหญ่สีดำหลายสายลอยขึ้นด้านหลังเขา พวกมันยิ้มอย่างดุร้ายและเหี้ยมโหดขณะมองสัตว์ประหลาดมีขน
ส่วนเทพนอกรีตรูปพีระมิดซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็ถูกจับตัวไว้จนดิ้นไม่หลุดเช่นกัน
ฟ้าวๆๆๆ!
ยักษ์สีดำนับไม่ถ้วนลอยขึ้นบนท้องฟ้า พวกมันวิวัฒนาการปีกเนื้อสีดำหลายคู่สั้นบ้างยาวบ้างออกมาด้านหลัง
ครืน!
ร่างแปลงเทพนอกรีตสองตัวทนได้ไม่นาน ก็ระเบิดภายใต้การรุมโจมตีนับไม่ถ้วน กลายเป็นความว่างเปล่าท่ามกลางเสียงกู่ร้อง
ลู่เซิ่งไม่สนใจเหตุการณ์ด้านหลัง หากแต่เดินไปยังสถานที่ที่ยุ่งยากยิ่งกว่าอีกแห่งหนึ่ง
พวกที่อยู่กลางอากาศเป็นเพียงเหยื่อล่อ ปัญหาที่แท้จริงอยู่อีกด้านต่างหาก
สถานที่เพียงหนึ่งเดียวบนพื้นที่ไม่ถูกพรมเนื้อกัดกร่อน ปีศาจจากห้วงความว่างเปล่าสีดำอมเทานับไม่ถ้วนทับกันกลายเป็นแท่นบูชาเนื้อสูงชะลูดแห่งหนึ่ง
บนแท่นบูชามีปีศาจจากห้วงความว่างเปล่าขั้นสูงสุดห้าตัว ล้อมวงเป็นกลุ่มเล็กๆ กำลังกล่าวภาษาประหลาดบางอย่างเบาๆ อยู่
พวกมันท่องบทสวดมานานแล้ว ใจกลางวงแหวนเวทมีเงาคนที่ลู่เซิ่งคุ้นเคยนั่งอยู่
“เจอเร็วขนาดนี้เลยเหรอ” เงาคนมองดูลู่เซิ่งที่เดินลงมาจากฟ้า ใบหน้าผุดความประหลาดใจเป็นพิเศษ
“เห็นได้ง่ายๆ เลยไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจะเป็นราชันเทพโลหิตหรือปีศาจขนที่ตามมาทีหลัง ต่างก็มีพลังอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ แม้จะอยู่เหนือปีศาจทั่วไป แต่ยังเทียบกับพลังของเทพนอกรีตที่แท้จริงไม่ได้ อีกทั้งบนตัวพวกมันยังมีร่องรอยถูกคนอัญเชิญด้วย”
ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงบนพื้นห่างจากแท่นบูชาไม่ไกล พื้นที่เขายืนอยู่มีพรมเนื้อสีแดงเข้มผืนหนึ่งงอกออกมาอย่างรวดเร็ว
เงาคนหัวเราะและพยักหน้า
“ถูกต้อง ข้านึกไม่ถึงว่าเจ้าจะความรู้สึกอ่อนไหวขนาดนี้ แต่จะว่าไป เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่ ในรายนามที่สะท้อนในห้วงความว่างเปล่าไม่มีการดำรงอยู่ของเจ้า”
“ข้าหรือ ก็แค่ชายโสดอายุสามสิบธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ความจริงข้าไม่อยากจะยุ่งกับเรื่องของพวกเจ้าหรอก น่าเสียดาย…พวกเจ้าเป็นคนลากข้าเข้ามาเอง…” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“อย่างนั้นหรือ ช่างน่าเสียดายจริงๆ…” เงาคนค่อยๆ ลุกขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าที่อำพรางไว้ใต้เงา
……………………………………….