ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 879 สัญญาณ (1)
สำนักวิญญาณไตรอริยะ
รูปสลักสีขาวดุจหยกขนาดมหึมาทั้งสามโคจรกลางจักรวาลอย่างช้าๆ พวกมันถูกฝังไว้บนจานโลหะสีเงินขนาดยักษ์ หมุนวนอย่างเชื่องช้าไปตามจานกลม
ด้านหน้ารูปสลักจิ้งจอกรูปหนึ่ง มีบุรุษหลายคนสวมชุดทะมัดทะแมงสีเทา ด้านหลังติดผ้าคลุมสีดำสนิทไว้ กำลังเงยมองใบหน้าของรูปสลักเงียบๆ
บุรุษที่เป็นผู้นำมีสายฟ้าสีฟ้าเล็กๆ ไหลเวียนทั่วร่าง ราวกับพร้อมระเบิดกระแสไฟฟ้าอันน่ากลัวได้ทุกเมื่อทุกคราว ใบหน้าของเขาอำพรางอยู่ภายใต้ความมืดสลัว ทำให้คนอื่นเห็นเพียงสันจมูกขาวซีดเท่านั้น
“ยังหาไม่เจออีกหรือ” เสียงของบุรุษกังวานกร้าวแกร่งราวกับเสียงโลหะกระทบกัน แต่ขาดท่วงทำนองสูงต่ำ ทำให้รู้สึกเหมือนเสียงสังเคราะห์แปลกประหลาด
“ยังขอรับ…แม้พวกเราจะกำหนดทิศทางของอีกฝ่ายอย่างคร่าวๆ ได้ผ่านวิชาไล่ล่าแล้ว แต่ก็ไม่อาจชี้ตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ” บุรุษหนุ่มที่แต่งกายอย่างบัณฑิตคนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้าน้อยๆ
“ที่จริงหาไม่เจอก็ไม่เป็นไรหรอก เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเราไม่ใช่พวกมันอยู่แล้ว สิ่งที่พวกเราต้องการคือความลับของลู่เซิ่งต่างหาก” บุรุษผู้นำเอ่ยเสียงขรึม
“แต่มันก็คืออย่างเดียวกันไม่ใช่หรือ” อีกคนกล่าวอย่างสงสัย
“ถูกต้อง แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดของลู่เซิ่ง ไม่แน่ว่ามันจะเอาของวางไว้ในตะกร้าใบเดียวหรอก...เด็กๆ!”
เขาพลันร้องเสียงดัง
ไม่นานก็มีแสงสีน้ำเงินสองสายพุ่งจากท้องฟ้าลงมาหยุดยืนอยู่บนจานกลมด้านหลัง นักพรตสวมเสื้อคลุมน้ำเงินสองคนคุกเข่าข้างหนึ่ง ทักทายบุรุษว่า
“ศิษย์เฉินชง เฉิงซานฉี คารวะบรรพจารย์!” ทั้งสองทักทายเสียงเดียวกัน
“พวกเจ้าไปที่นครตราชั่ง ลู่เซิ่งเคยได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์คนหนึ่งที่อยู่ที่นั่น จงไปจับตัวแพทย์คนนั้นกับครอบครัวที่อยู่รอบตัวมันมา”
“นายท่าน ท่านทำแบบนี้…ถือว่าขัดต่อกฎเกณฑ์กระมัง…เกรงว่าสำนักนทีครามกับนครตราชั่งจะไม่เห็นด้วย” บุรุษคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังนิ่วหน้า
ทุกคนต่างรักษากฎเกณฑ์ห้ามทำร้ายครอบครัวอย่างเงียบๆ ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าใต้เท้าต้องการทำทุกอย่างโดยไม่เลือกวิธีการ
“ไม่มีอะไรขัดหรือไม่ขัดกฎเกณฑ์หรอก สำนักนทีครามอพยพไปมากกว่าครึ่งแล้ว จะเอาพลังมาจากไหน ส่วนสำนักอื่นๆ ตอนนี้เกิดศึกใหญ่ระหว่างสัตว์โบราณกับพันธมิตรดวงดาว ขุมกำลังอื่นพอปกป้องตัวเองได้ แต่คิดจะร่วมมือกันมาจัดการผู้ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์เหมือนเมื่อก่อนหน้า เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ”
บุรุษผู้นำหันหน้ามา แก้มครึ่งซีกของเขาประกอบขึ้นจากสายฟ้าสีน้ำเงินอมม่วงบิดเบี้ยว นอกจากตาสีดำ ผิวหนัง กล้ามเนื้อ ไปจนถึงกระดูก ต่างประกอบขึ้นจากสายฟ้าทั้งสิ้น
“ได้ยินมาว่าลู่เซิ่งเคยซ่อนสถานะเรียนศาสตร์รักษาอยู่ที่นั่น จงจับตัวคนที่เกี่ยวข้องกับเขามา เชื่อว่านครตราชั่งจะต้องให้ความร่วมมือกับพวกเราแน่…”
“รับคำสั่ง บรรพจารย์ลัวชิว!” ศิษย์ทั้งสองคนรีบโค้งตัวตอบรับ
“แล้วพวกที่กำลังหลบหนีเล่า…” ระดับสูงคนหนึ่งขมวดคิ้วถาม
“ไม่เป็นไร ข้าได้ขอให้ประมุขพรรคเก้าฟ้ามาช่วยเหลือแล้ว ด้วยความสามารถสืบร่องรอยอันพิสดารของเขา จะต้องหาที่อยู่เจอโดยเร็วแน่”
ทุกคนต่างยินดี
พรรคเก้าฟ้า…
เป็นพรรคที่ไม่นับว่าแข็งแกร่งมาก แต่มีความพิเศษอย่างยิ่ง ตัวประมุขพรรคเจนจัดวิชาไล่ล่ายิ่งกว่าพรรคใดๆ
ปัจจุบันสำนักวิญญาณไตรอริยะได้ใช้วิชาใส่ร่างคนเหล่านั้นไว้แล้ว ขอแค่ให้ประมุขพรรคผู้นี้ลงมือกำหนดพิกัด ซึ่งไม่ได้มีความยากลำบากอันใด ดูท่าอาจจะเจอตัวได้
“แต่พวกเราก็ต้องรีบเร่งมือให้เร็วที่สุดเช่นกัน เกิดสำนักนทีครามกับสำนักแปลงวายุค้นพบการเคลื่อนไหวของเรา จะต้องคอยติดตามอยู่เบื้องหลังอย่างใกล้ชิดแน่ หากเจอคนจริงๆ พวกเราจะเหลือเวลาไม่มากแล้ว” ลัวชิวเอ่ยเสียงเย็น
…
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอวกาศ มองดูประตูวังวนสีเทาที่ขยายใหญ่ขึ้นเบื้องหน้าด้วยสายตาสงบนิ่ง
ประตูที่เชื่อมกับกระแสวังวนมิติเวลาเปิดออกแล้ว แต่เมื่อคำนวณดู วิธีที่เขาจะใช้กลับโลกมารสวรรค์อาจไม่ได้ง่ายดายเท่าที่คิดไว้ก็ได้
ก่อนหน้านี้เขาน่าจะถูกกระแสปั่นป่วนแข็งแกร่งสายหนึ่งในกระแสวังวนมิติเวลาพามาถึงตำแหน่งที่อยู่ไกลมากๆ เข้าพอดี…ครั้งนี้ลำบากแล้วสิ…
ลู่เซิ่งเผยสีหน้าคร่ำเคร่ง ปัจจุบันขอบเขตของเขาไม่เหมือนเดิม ขนาดพลังจิตวิญญาณเพิ่มขึ้นอย่างใหญ่หลวง แต่ก็ยังค้นหาร่องรอยของโลกมารสวรรค์ไม่เจออยู่ดี
ตั้งแต่เริ่มตามหาจนถึงตอนนี้ ผ่านไปสามวันแล้ว เขาที่อยู่ตรงนี้มาสามวัน เจอโลกระดับพลังงานสูงที่แตกต่างกันสิบกว่าใบ ทว่าล้วนสัมผัสกลิ่นอายของโลกมารสวรรค์ไม่ได้ทั้งสิ้น
สิ่งที่น่าหนักใจที่สุดก็คือ ทางเข้าออกที่เขาเปิดออกนี้ เคลื่อนไหวตามการเคลื่อนที่ของโลกใบนี้เช่นกัน
โลกเทพนอกรีตแห่งนี้ขยับอย่างสับสนในกระแสวังวนมิติเวลา เปลี่ยนแปลงตำแหน่งตามกระแสวังวนตลอดเวลา
โลกมารสวรรค์ก็เป็นเหมือนกัน ในสถานการณ์ที่สองสถานที่เคลื่อนไหว คิดจะหาอีกฝั่งให้เจอในกระแสวังวนมิติเวลาที่กว้างใหญ่จนแทบไร้ขอบเขตผืนหนึ่ง ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
“ต้องคิดหาวิธี…”
ลู่เซิ่งกำแกนหลักแห่งความโกลาหลไว้ในมือ เคลื่อนจิตวิญญาณอีกรอบ กระตุ้นพลังงานบนแกนหลัก แล้วใส่ลงไปในค่ายกลด้านล่าง
พลังเทพของเทพนอกรีตสร้างร่างกายที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับลู่เซิ่งไม่ผิดเพี้ยนออกมาหลายร่าง
“ไป” ลู่เซิ่งโบกมือ ร่างทั้งหมดพลันพุ่งเข้าไปในประตูใหญ่สีเทา ร่อนเร่พเนจรในกระแสปั่นป่วนของมิติเวลา
นี่คือวิธีการที่ลู่เซิ่งคิดออก ปลดปล่อยร่างแยกของตัวเองออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีคนสัมผัสได้
ทิศทางการไหลของกระแสวังวนมิติเวลาเป็นสิ่งที่สับสน มีทุกทิศทาง ทั้งยังเปลี่ยนทิศทางการไหลไปเรื่อยๆ แม้เขาจะรู้ว่าวิธีการนี้โง่เขลามาก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ร่างกายพวกนี้เป็นร่างแข็งแกร่งเหนือธรรมดา ใช้จิตวิญญาณของเขาและพลังเทพของเทพเมฆาเป็นแกนกลางในการสร้างขึ้นมา สามารถแหวกว่ายในกระแสปั่นป่วนของมิติเวลาและตัดสินใจเองได้
ลู่เซิ่งทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า รีดเค้นพลังของเทพเมฆาออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างแยกหลายกลุ่มถูกเขาส่งเข้าไปในกระแสวังวนมิติเวลา
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย เขาได้แต่สัมผัสว่าร่างจำนวนไม่น้อยเจออันตรายปริศนาเข้าจนดับสูญไป
ได้แต่หวังว่าจะหาเจอโดยใช้เวลาน้อยที่สุดเสียแล้ว…
ขณะสัมผัสได้ว่าพลังของเทพเมฆาในแกนหลักแห่งความโกลาหลกำลังอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งก็ได้แต่อธิษฐานว่าจะเจอโลกมารสวรรค์ก่อนที่จะรีดเค้นเทพเมฆาจนตาย ไม่อย่างนั้นก็ได้แต่ต้องไปจับเทพนอกรีตสักตนมาเป็นแบตเตอรีแล้ว
…
บนดาวเคราะห์ไม่รู้จักชื่อดวงหนึ่งที่อยู่ห่างจากระบบดาวที่สำนักนทีครามอยู่ไกลแสนไกล
กลางป่าดงดิบแห่งหนึ่ง
พรึ่บ!
แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งระเบิดออกอย่างฉับพลัน เผยให้เห็นเงาร่างของคนสี่คน ได้แก่ ทัวหลันปาเฮ่อ บันไซ หลี่ซุ่นซี กับอริยะเจ้าทงเซิง
“แค่กๆๆ…อ่อก!” เมื่อปรากฏตัว หลี่ซุ่นซีก็ก้มหน้ากระอักไออย่างรุนแรง เลือดคำโตถูกเขาพ่นออกมาจากปาก
“ลมวสันต์กลายเป็นฝนแล้ว ชีวิตต้องดำเนินต่อไป” อริยะเจ้าทงเซิงถือชิ้นส่วนโลหะสีขาวน้ำนมชิ้นหนึ่ง กดลงบนหลังหลี่ซุ่นซีอย่างแรง
ชิ้นส่วนหลอมละลายกับแผ่นหลังของหลี่ซุ่นซี
“ขอบ...ขอบคุณ…” หลี่ซุ่นซีฟื้นตัว สีหน้าซีดขาว นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้ท่าเคลื่อนย้ายในพริบตาของหยกปีศาจอย่างสุดกำลังหลังจากพลังฝึกปรือของเขาเลื่อนขั้น
การพาคนอื่นๆ เคลื่อนย้ายในพริบตาเพื่อข้ามระยะทางไกลแสนไกลแบบนี้ แทบจะใช้พลังทั้งหมดในตัวเขา
“ยังไหวหรือไม่” ทงเซิงถามเสียงทุ้ม
“ยังไหว แต่ช่วงนี้คงใช้เคลื่อนย้ายในพริบตาไม่ได้อีก...” หลี่ซุ่นซียิ้มอย่างหนักใจ ปาดเช็ดเลือดตรงมุมปาก
“ที่นี่คือที่ไหน” เขากวาดตามองรอบๆ ชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ดวงนี้แตกต่างกับดาวเงาพริบตาก่อนหน้านี้มาก เขาไม่คุ้นเคยกับชั้นบรรยากาศประเภทนี้ จึงมองบันไซที่เงียบขรึมอยู่ด้านหลัง
สถานที่นี่คือสถานที่ที่เขาระบุถึง
“ที่นี่คือดาวธารฟ้า” บันไซยิ้มเฝื่อน “ข้าเคยทำความรู้จักกับคนคนหนึ่งตอนมาเที่ยวที่นี่ นางน่าจะช่วยพวกเราหนีการไล่ล่าได้ นอกจากนี้ ดาวเคราะห์ดวงนี้ยังอยู่ในอาณาเขตมิติเวลาบิดเบี้ยวพิเศษ ตัดขาดการสัมผัสได้ระดับหนึ่ง มีความพิเศษอย่างมาก”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะหนีการไล่ล่าได้” ทงเซิงขมวดคิ้ว
“แน่ใจขอรับ” บันไซพยักหน้า “ตอนที่ข้ามากับมารดาเมื่อคราวนั้น ความสามารถแจ้งข่าวทั้งหมดของพวกเราล้วนใช้ไม่ได้ รวมถึงวิชาสะกดรอยขั้นสูงทุกชนิดด้วย ข้ากับมารดาอยากเดินเล่นเลยต้องพลัดหลงกับครอบครัวเป็นเวลาสิบกว่าวัน สุดท้ายก็ขึ้นเรือเหาะออกไปจากที่นี่ด้วยความบังเอิญ ดังนั้นข้าจึงมีความทรงจำต่อที่นี่ล้ำลึกมาก”
“เช่นนั้นสหายของเจ้า…”
“เดี๋ยวข้าติดต่อเอง พวกเขามีวิธีติดต่อพิเศษอยู่”
บันไซสมกับเป็นอัจฉริยะด้านอักขระค่ายกล เขาใช้พู่กันอักขระพิเศษที่พกพาติดตัว วาดค่ายกลอักขระพิเศษง่ายๆ ในรูปแบบสามมิติขึ้นบนต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ
ค่ายกลอักขระเหมือนจะไม่ได้เติมพลังงงานใดๆ เข้าไป เป็นเพียงรูปวาดที่แยกตัวโดดเดี่ยวธรรมดารูปหนึ่งเท่านั้น
แต่บันไซกลับถอยไปอยู่ด้านข้าง แล้วรอคอยอย่างเงียบๆ
หลี่ซุ่นซีนั่งขัดสมาธิปรับร่างกาย อริยะเจ้าทงเซิงเตรียมวางกับดักไว้รอบตัวเพื่อป้องกันอันตรายเข้าใกล้
ทัวหลันปาเฮ่อเตรียมอาหารรอเงียบๆ
รอครึ่งชั่วโมงกว่า หลังจากทุกคนกินข้าวเสร็จ ขณะที่กำลังจะพักผ่อนต่อ
ทันใดนั้นพุ่มหญ้าที่อยู่ไกลออกไปก็มีเสียงหญ้าถูกแหวกดังซ่าๆ
“มีคนมาแล้ว!” ทงเซิงผุดลุกขึ้น แม้เขาจะแก่จนใกล้จะลงโลง แต่อย่างไรก็ผ่านมาร้อยสมรภูมิ มีประสบการณ์ด้านนี้เต็มเปี่ยม
“ไม่ต้องกังวล เป็นสหาย” บันไซกลับกล่าวอย่างเชื่องช้า “ที่นี่ตัดขาดกับโลกภายนอก ข่าวสารส่งมาไม่ถึงที่นี่ พวกเราเพียงแค่ต้องหาถ้ำคุ้มกัน แล้วไปซ่อนตัวซักพักก็พอ”
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ทุกคนยังคงเคร่งเครียดกระสับกระส่าย สถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้ไม่อาจย่ำแย่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
ไม่นานนัก หญิงสาวที่มีผมยาวสีส้มคนหนึ่ง นำกลุ่มผู้หญิงผมสั้นสวมชุดทะมัดทะแมง โอบล้อมที่นี่ไว้อย่างรวดเร็ว
หญิงสาวอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี แต่แววตาดูไม่ไร้เดียงสาเท่าอายุ
ผู้หญิงกลุ่มนี้มีทรวดทรงไม่เลวยิ่ง เบื้องหน้านูน เบื้องหลังงอน หน้าตาทระนงองอาจ เพียงแต่เกราะบนร่างรวมถึงอาวุธที่พวกนางถืออยู่ไม่ชวนพิศมัยเหมือนรูปโฉมภายนอก
บนอาวุธบางส่วนยังเหลือคราบเลือดติดอยู่ด้วย
“ผู้บุกรุก…” หญิงสาวผมสีส้มกวาดตามองคนทั้งสี่อย่างเย็นชา “ผู้บุกรุกบังอาจมายังดินแดนของเผ่าวิทูรธารของพวกเราหรือ!”
“รอเดี๋ยว ซูอิงอยู่หรือไม่!? ข้าเป็นสหายของนาง! ข้าชื่อบันไซ!” เวลานี้บันไซค่อยค้นพบความผิดปกติ ผู้มาเหมือนจะไม่ใช่สหายสนิทของเขา จึงรีบหยิบจี้ผลึกสีดำเส้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ แล้วแกว่งไปมาด้านหน้า
“ซูอิงหรือ” หญิงสาวผมสีส้มงุนงง อึ้งไปเล็กน้อย
ครู่ต่อมา สายตานางจับจ้องอยู่ที่จี้ในมือบันไซ จี้นั้นกะพริบแสงอันคุ้นเคยที่คนในเผ่าเท่านั้นถึงจะเห็นได้
“ซูอิง…นางไม่อยู่แล้ว”
ไม่อยู่แล้วหรือ
บันไซอึ้ง
“นาง…”
“นางตายแล้ว” หญิงสาวผมสีส้มกล่าวซื่อตรง
บรรยากาศพลันหนักอึ้ง
……………………………………….