ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 881 สัญญาณ (3)
“ตามข้ามาสิ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ควรอยู่นาน” เยวี่ยกวงหันมาเรียกพวกเขา
“เป็นอย่างที่พวกเจ้าเห็น ที่นี่คือดินแดนของเผ่าวิทูรธาร พวกเราอาศัยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของสำนักขนาดใหญ่ชื่อสำนักพันวิชชา มีคนในเผ่าจำนวนไม่น้อยเป็นสุดยอดศิษย์ในสำนัก แต่ปัจจุบันสำนักพันวิชชาทรุดโทรมลง เผ่าข้าพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้น…” เยวี่ยกวงไม่ได้พูดต่อ เพียงแต่พาทุกคนเดินไปถึงหน้าบ้านเห็ดเตี้ยๆ หลังหนึ่งด้วย สีหน้าเรียบเฉย
“พวกเจ้าพักผ่อนที่นี่ได้ บ้านเห็ดเหล่านี้เป็นที่คุ้มครองที่พวกเราเคยลงอาคมของสำนักไว้ ไม่ว่าจะเป็นวิชาใดๆ ก็ไม่อาจตามหาพวกเจ้าเจอ และถ้าพวกเจ้าอยากจะติดต่อกับโลกภายนอก ก็ใช้ผลึกปฐมพลังของพระแม่ธรณีอาข่าได้ ผลึกอยู่ในบ้านเห็ด พวกเจ้าสามารถใช้ได้ตามสบาย”
“ผลึกปฐมพลังของพระแม่ธรณีหรือ” บันไซได้ยินตาก็พลันเป็นประกาย “ข้าได้ยินเสี่ยวอิงพูดถึงมาก่อน ผลึกปฐมพลังเป็นของหายากมากไม่ใช่หรือ”
“ก่อนหน้านี้เป็นเช่นนั้น แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว สองสามปีก่อนหน้านี้มีการค้นพบเหมืองผลึกปฐมพลังที่มีจำนวนมหาศาลใต้ดิน ดังนั้นจึงใช้งานได้สบายๆ อย่างไรอีกไม่นานก็ไม่ใช่ของพวกเราอีกต่อไปแล้ว…” เยวี่ยกวงเอ่ยอย่างราบเรียบ
บันไซเห็นเธอมีสีหน้าเมินเฉย ก็ทราบว่าหญิงสาวนางนี้คงจะหมดอาลัยตายอยากแล้ว จึงนึกถึงความทรงจำที่ได้รู้จักกับซูอิง ก่อนจะลอบถอนใจเล็กน้อย
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณพวกท่านมาก จริงสิ ข้าไปไหว้ซูอิงได้หรือไม่”
“ไม่ต้องหรอก พวกเราไม่เจอศพของนาง” เยวี่ยกวงตอบอย่างราบเรียบ แล้วหันหลังพาคนจากไปอย่างรวดเร็ว
บันไซยืนนิ่งอยู่ชั่วขณะ เขายังคงจดจำตอนที่ได้รู้จักกับซูอิงได้อยู่เลย สาวสวยที่น่ารักร่าเริงคนนั้น นางเชื่อคนง่ายและเชื่อทุกอย่างที่ตนพูด นึกไม่ถึงเลยว่า
“เอาล่ะ อย่าเศร้าไปเลย ตอนนี้พวกเราปกป้องตัวเองยังลำบากเลย รีบหาที่คุ้มครองใหม่เถอะ จะได้ไม่ทำให้พวกนางลำบากไปด้วย” ทงเซิงตบไหล่เขาเบาๆ จากด้านหลัง
หลี่ซุ่นซีที่อยู่ด้านข้างถอนใจ เขานึกถึงเด็กสาวสองคนที่ได้เจอเมื่อครั้งโน้น เขาในตอนนั้นไหนเลยจะไม่เหมือนกับบันไซในตอนนี้
“ข้า…ข้าเข้าใจแล้ว” บันไซอารมณ์หม่นหมองอยู่ชั่วขณะ
ทุกคนเปิดประตูเข้าบ้านเห็ด สิ่งที่เห็นเป็นอันดับแรกคือผลึกสีทองอ่อนวางกระจายเกลื่อนบนพื้นโดยไม่มีอะไรอำพราง
พื้นไม้ราบเรียบในตอนแรกถูกผลึกสีทองอ่อนแปลกแยกเบียดอัดจนนูนขึ้น สถานที่บางส่วนแตกออกอย่างเห็นได้ชัด
ทงเซิงเดินไปนั่งจับๆ ลูบๆ ดู
“ปฏิกิริยาทางพลังงานรุนแรงมาก เห็นได้ชัดว่าปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซ้ำยังเกิดเร็วมากเสียด้วย”
บันไซพยักหน้า เดินเข้าไปนั่งลูบดูเช่นกัน
“เอ๋?!” อยู่ๆ สีหน้าเขาก็เผยความงุนงง “พลังงานแบบนี้…!”
“เป็นอะไรไป” สามคนที่เหลือมองเขาอย่างพร้อมเพรียง
“ระดับความบริสุทธิ์ของพลังงานนี้…” บันไซพลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
“ข้าอยากลองดู! ผลึกปฐมพลังของที่นี่เชื่อมต่อกับสายแร่ขนาดมหึมาใต้ดิน! หากใช้ที่นี่เป็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อนให้แก่เครื่องส่งสัญญาณ ไม่แน่ว่าจะเชื่อมต่อกับนายท่านได้!”
พอกล่าวคำพูดนี้ออกไป ทุกคนก็ตะลึงทันที
“เจ้าพูด…เรื่องจริงหรือ!?”
หลี่ซุ่นซีเอ่ยเสียงสั่น
“จริง! ข้าเคยสร้างค่ายกลชนิดหนึ่ง ที่ทำให้สัญญาณรุนแรงขึ้นเป็นหลายร้อยเท่าของสัญญาณปกติ โดยใช้วิธีระเบิดพลังงานจำนวนมหาศาลได้ เมื่อเป็นแบบนี้ จะขยายระยะรับสัญญาณของทางนายท่านได้สูงสุดขีด! อาจสำเร็จก็ได้!” บันไซตอบรัวเร็วอย่างตื่นเต้น
“แล้วยังจะรออะไรอยู่อีก! ทำเลยสิ!” หลี่ซุ่นซีทุบฝ่ามืออย่างแรง
พอพวกเขาบอกว่าจะทำก็ลงมือทันที หยิบวัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับค่ายกลออกมาจากในกระเป๋ามิติ จากนั้นก็ร่วมมือกันนั่งลงเพื่อช่วยวาดค่ายกล
ค่ายกลไม่ยากและไม่ซับซ้อน เพียงแต่ต้องการผลึกพลังงานสูงจำนวนมาก และพวกเขาก็อยู่เหนือสายแร่ที่มีผลึกพลังงานสูงขนาดมหึมาพอดี พลังงานของผลึกปฐมพลังมีระดับความบริสุทธิ์สูงถึงขีดสุด สูงกว่าผลึกพลังงานทั่วไปไม่น้อย สามารถตอบสนองความต้องการพลังงานของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์
ทุกคนขุดออกมามากกว่าร้อยก้อน แล้วจัดเรียงพวกมันในบ้านเห็ดอย่างเป็นระเบียบ โดยฝังไว้ในค่ายกล แม้จะไม่เจอก้อนที่ใหญ่ที่สุด แต่เพราะมีความบริสุทธิ์สูงสุดขีด ดังนั้นจึงใช้ค่ายกลรวมพลังงานเป็นองค์ประกอบรวมได้อย่างสมบูรณ์
บันไซคิดและทำเช่นนี้ เขาออกแบบค่ายกลขนาดเล็กสำหรับรวมผลึกพลังงานขึ้นมา แล้วรวมพลังงานในผลึกมากกว่าร้อยก้อนเอาไว้ด้วยกัน จากนั้นก็ใส่ค่ายกลสัญญาณเข้าไป
สำหรับสถานที่ธรรมดา ผลึกพลังงานหลายร้อยก้อนย่อมต้องเป็นค่าใช้จ่ายอันมหาศาลอย่างแน่นอน แต่มันไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับเผ่าวิทูรธารที่เป็นแหล่งผลิต สายแร่ใต้เท้าพวกนางมีพลังงานมากมายเกินไป จนใช้อย่างไรก็แทบไม่มีวันหมด
สายแร่สายนี้ดึงดูดหมาป่าหิวโซ และไม่ใช่เพียงสายเดียว หากแต่มีนับไม่ถ้วน พวกเขาจึงร่วมมือกัน จนแม้แต่สำนักพันวิชชาที่มีขุมกำลังขนาดมหึมาก็ยังไร้ความสามารถต้านทาน ได้แต่เพลี่ยงพล้ำในการต่อสู้หลายครั้งหลายครา จนต้องประนีประนอมด้วยความจนปัญญา
แม้พลังงานที่พวกบันไซใช้จะมากมายนัก แต่สำหรับสายแร่แล้ว นี่ยังไม่ถึงหนึ่งในร้อยล้านด้วยซ้ำ
ไม่นานก็เติมพลังงานใส่ค่ายกลเรียบร้อย
บันไซยืนอยู่ข้าง มองดูค่ายกลในบ้านเห็ด ประสานมุทราเริ่มการทำงาน
“เริ่มกันเลย” หลี่ซุ่นซีที่อยู่ด้านข้างประสานมุทราเช่นกัน ทงเซิงคอยคุ้มกันค่ายกลอยู่ใกล้ๆ ส่วนทัวหลันปาเฮ่อคอยจับตาดูปฏิกิริยาพลังงานที่จะส่งให้แก่ค่ายกลอย่างระมัดระวัง
พรึ่บ
ทุกคนเปลี่ยนมุทราในพริบตา
ฉับพลันนั้นมีแสงสีแดงสว่างขึ้นบนลวดลายที่บิดเบี้ยวส่วนหนึ่งกลางค่ายกลบนพื้น ลวดลายเป็นเส้นตรงส่องแสงสีทอง
แสงสองสีเกี่ยวกระหวัดกัน พร้อมกับค่อยๆเลื้อยสูงขึ้นไปราวกับเถาวัลย์
ก้อนหินรูปไข่ทรงรีครึ่งหนึ่งเป็นสีแดงครึ่งหนึ่งเป็นสีทอง กะพริบเหมือนกับกำลังหายใจอย่างช้าๆ
สัญญาณอันรุนแรงที่ตาเนื้อมองไม่เห็นสายหนึ่งซึมออกมาจากมิติเวลา แล้วกระจายไปรอบโลกมารสวรรค์เหมือนกับประภาคาร
“สำเร็จแล้ว!” บันไซโห่ร้อง
“ระดับความรุนแรงของพลังงานและอาณาเขตเพิ่มเป็นสิบเท่าของก่อนหน้าเป็นอย่างน้อย! ถ้าหากทำขนาดนี้แล้วยังหานายท่านไม่เจอ ก็หมดปัญญาแล้วจริงๆ!” บันไซพ่นลมหายใจ
…
ลู่เซิ่งค่อยๆ แหวกว่ายอยู่ในกระแสวังวนมิติเวลา หลังจากตัดผ่านทางแยกมาแล้ว เขาก็ว่ายต่อไปอีกกว่าหนึ่งชั่วโมง
ในสายน้ำรอบๆ นอกจากเจอศพล่องลอยเป็นระยะ ก็ไม่มีเหตุแทรกซ้อนอื่นๆ อีก
การแหวกว่ายเช่นนี้จืดชืดไร้รสชาติ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงหลับไปแล้ว แต่ลู่เซิ่งยังถ่างตาเดินหน้าต่อไป
การกระแทกของชิ้นส่วนโลกไม่ส่งผลใดๆ ต่อตัวเขา แต่เหมือนกับพออยู่ตรงนี้นานๆ เข้า ก็มีพลังงานที่อธิบายไม่ได้ชนิดหนึ่งทำให้เขาค่อยๆ รู้สึกเหมือนกลับคืนสู่ร่างแม่
ความง่วงเข้าครอบงำหลายครั้งหลายคราว ยังดีที่เขาเป็นปรมาจารย์ด้านควบคุมจิตวิญญาณ ไม่อย่างนั้นคงไปต่อไม่ได้ เกิดเขาหยุดลงเมื่อใด ไม่นานก็จะจมลงด้านล่าง พุ่งเข้าไปในโลกสักใบตามกระแสคลื่น ออกจากที่นี่ชั่วขณะ
ปัจจุบันพลังของเขาแข็งแกร่งกว่าตอนเพิ่งเข้าไปในในโลกเทพนอกรีตอย่างน้อยสิบยี่สิบเท่า อาณาเขตค้นหาจึงใหญ่ขึ้นมาก
แหวกว่ายไปมา ความเร็วการไหลของสายธารก็เหมือนไวขึ้นเรื่อยๆ
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งไม่ทันระวัง ถูกหินยักษ์ก้อนหนึ่งกระแทกใส่เต็มศีรษะ น้ำหนักของหินยักษ์ในกระแสวังวนมิติเวลาเหมือนจะเป็นหลายเท่าตัวของหินธรรมดา มันคือวัตถุพิเศษที่ประกอบขึ้นจากการที่ชิ้นส่วนโลกนับไม่ถ้วนมาเกาะติดกัน
ลู่เซิ่งโดนกระแทกจนร่างพลิกรอบหนึ่งและเกือบเสียทิศทางไป
“บัดซบ!”
เขาสบถสาปแช่งหลายคำ ก่อนจะหาตำแหน่งต่อไป และในขณะที่กำลังจะไปต่อนั้น
เปรี้ยง!
หินยักษ์อีกก้อนก็ชนใส่เอวของเขาจากด้านข้างอย่างหนักหน่วง
อ่อก!
ลู่เซิ่งร้องโอดโอย แม้ไม่ได้รับความเสียหาย แต่ก็ยังเจ็บมากอยู่ดี และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ทิศทางที่เขาเพิ่งกำหนดปั่นป่วนไปหมด!
“เวรกรรมอะไรนักหนา!” ลู่เซิ่งจัดท่าทางในน้ำ สนามพลังไร้รูปร่างที่ใช้คุ้มครองร่างถูกชนจนแหลกสลาย เห็นได้ชัดถึงความรุนแรงของหินสองก้อนนั้น
เพียงแต่การไหลของกระแสวังวนมิติเวลาสูงขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงว่ายทวนกระแสได้ยากเย็นขึ้นทุกที
ตูม!
ในที่สุด หินยักษ์ก้อนที่สามที่ใหญ่กว่าสองก้อนเมื่อครู่มากโข ก็แหวกพุ่งมาจากด้านบนพร้อมกับเงาขนาดยักษ์ ฟาดใส่ทรวงอกของลู่เซิ่งอย่างถนัดถนี่
เกิดเสียงดังสนั่น ลู่เซิ่งเวียนศีรษะไม่รู้ทิศทาง เขารู้แล้วว่าร่างแยกเมื่อก่อนหน้านี้ตายอย่างไร
“บ้าเอ๊ย!” เขาดิ้นรน ว่ายหลุดจากก้อนหินด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด แล้วมุ่งออกไปด้านข้าง
ทันใดนั้นร่างเขาก็ชะงัก ในสัมผัสของเขาเหมือนกับสัมผัสได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังร้องเรียกเขาอยู่
“สัญญาณนี่!” ลู่เซิ่งจิตใจสั่นสะเทือน หลังจากแยกแยะดูอย่างละเอียดแล้ว ก็พลันลิงโลด
สัญญาณเหมือนจะส่งมาจากทิศทางที่อยู่ไกลแสนไกล เขาเร่งความเร็วว่ายไปทันที
เขาเจอทางแยกอีกสามครั้ง แต่ครั้งนี้เขาเร่งความเร็วเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามทิศทางที่สัญญาณส่งมา เข้าใกล้ที่ส่งสัญญาณขึ้นเรื่อยๆ
…
“อะไรกันนั่น”
“มีคนยิงสัญญาณมิติพลังงานสูงในดินแดนของเรา!?”
“ผิวของสายแร่เบื้องล่างเริ่มสั่นไหวแล้ว อัตราพลังและความรุนแรงนี้…เป็นพวกที่เยวี่ยกวงพากลับมา”
ในเผ่าวิทูรธาร สตรีที่เดินผ่านบ้านเห็ดที่พวกบันไซอยู่ ต่างมองบ้านที่ปกติธรรมดาสามัญหลังนี้อย่างเงียบๆ
การสั่นไหวของสัญญาณที่แข็งแกร่ง ต่อให้เป็นคนในเผ่าที่อยู่ในระดับทองคำ ก็ยังสัมผัสได้อย่างง่ายดาย
เยวี่ยกวงกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในบ้านตนเอง พลันสัมผัสสัญญาณได้ ก็รีบวางชามลง แล้วพุ่งออกจากบ้านเห็ด มองไปยังทางนั้น
“เยวี่ยกวง!” สตรีที่อยู่ใกล้ๆ มองนางอย่างคร่ำเคร่ง “คนที่เจ้าพามากำลังทำอะไร”
“อย่างไรคนของพันธมิตรก็จะมาแล้ว ทำอะไรก็ไม่มีความหมายอยู่ดีไม่ใช่หรือ” เยวี่ยกวงถามเสียงเย็นชา
สายตาของอีกฝ่ายปรากฏความเศร้าโศก
นิ่งไปพักหนึ่ง คนในเผ่าที่อยู่รอบข้างก็ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนนางหันหลังกลับบ้านเห็ดของตัวเอง
เป็นอย่างที่นางพูดจริงๆ พวกคนแก่ คนอ่อนแอ คนป่วย คนพิการในเผ่าต่างถูกส่งข้ามมิติไปก่อนหน้านี้แล้ว คนที่เหลืออยู่ล้วนทำใจเตรียมตัวตายกันหมดแล้ว จึงเมินเฉยกับความเป็นความตายมาแต่แรก
มาถึงขั้นนี้ พิกัดของที่นี่รั่วไหลออกไปตั้งนานแล้ว ต่อให้ส่งสัญญาณก็ไม่มีความหมายอะไร
ศัตรูรู้สภาพของที่นี่ตั้งแต่แรก กำลังสนับสนุนภายนอกที่ไปหาได้ล้วนไปหามาหมดแล้ว แต่ก็ไม่มีคนยินยอมช่วยเหลือ
บทสรุปถูกกำหนดไว้แล้ว ไม่อาจพลิกฟื้นหรือเปลี่ยนแปลงได้อีก
ต่อให้พวกบันไซจะวางแผนอะไรไว้ ใช้สายแร่ของที่นี่เพื่อทำอะไรสักอย่าง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกนางเล่า
“แยกย้ายเถอะ” สตรีผมสีม่วงอีกคนถอนใจและกล่าวเสียงอ่อน
คนในเผ่าที่อยู่โดยรอบพากันแยกย้ายอย่างเงียบงัน
ไม่นานก็เหลือแต่เยวี่ยกวงกับระดับสูงของเผ่าเพียงไม่กี่คนเท่านั้น