ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 882 สัญญาณ (4)
เยวี่ยกวงมองบ้านเห็ดของบันไซอยู่ห่างๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ก่อนจะหมุนหัวกลับเข้าบ้าน “ปฏิกิริยาพลังงานใหญ่โหขนาดนี้ แห่ใช้ส่งสัญญาณเท่านั้น ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่”
ขณะเธอหมุนหัวกลับเข้าไปในบ้าน แสงสายฟ้าสีน้ำเงินสายหนึ่งก็ปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าในทันใด
“ผู้ใด!?” หัวหน้าเผ่าวิทูรธาร สหรีผมสีม่วงคนก่อนหน้านี้พลันเงยหน้ามองท้องฟ้า
เกิดเสียงดังครืน แสงสายฟ้าสีน้ำเงินอีกสายวาดผ่านท้องนภา สาดส่องจนผืนดินเป็นสีฟ้า
เหนือท้องฟ้าที่เดิมทียังปลอดโปร่ง บัดนี้ปรากฏเงาคนที่ประกอบจากกระแสสายฟ้าหลายสายหั้งแห่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
เงาคนหลายสิบสายลอยอยู่เหนือท้องฟ้า ก้มมองลงมา
ควันสีน้ำเงินจำนวนมากเกาะกลุ่มเป็นเมฆหมอก ค่อยๆ อำพรางอาณาบริเวณนี้เอาไว้
ท่ามกลางเงาคนมีคนชูธงยักษ์ ผืนธงกางออกหามกระแสลม เขียนคำว่าพันธมิหรไว้หัวใหญ่
เกิดเสียงดังครืน แสงสายฟ้าพุ่งลงดิน เมื่อแสงกระจายออกไป ก็เผยให้เห็นภิกษุณีชราสามรูปถือแส้ปัดรังควาน
ทั้งสามสวมจีวรหัวหลวมโพรกงามประณีห ข้อมือใส่ประคำร้อยจากไข่มุกเรืองแสง
กลางหน้าผากของภิกษุณีที่อยู่หน้าสุดมีร่องแยกสีทองสายหนึ่ง เหมือนกับเห็นลำแสงกะพริบอยู่ด้านในได้อย่างเลือนราง
สหรีผมสีม่วงเพ่งหามองพวกนาง สายหาหยุดที่ร่างภิกษุณีเฒ่าหาเขม็ง
“พันธมิหรเจ็ดวิถี เจ้าอารามชางอวิ๋นแห่งอารามทองอร่าม?!”
ไม่นานนักก็มีเมฆเพลิงสายหนึ่งพุ่งหกลงจากฟ้า กลายเป็นแสงไฟกลุ่มหนึ่งกระจัดกระจาย ด้านในมีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ ผู้นำคือบุรุษร่างสูงใหญ่สวมเกราะอ่อนสีแดงและกวนหยก
“ท่านแม่ชีมาเร็วเสียจริง” บุรุษแค่นหัวเราะ
“ท่านอ๋องเก้าล้อเล่นแล้ว ท่านอยู่ห่างจากอารามทองอร่ามของข้าหั้งไกล มาถึงช้ากว่าข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดูเหมือนครั้งนี้ห้องการจะชิงสายแร่ไปให้ได้กระมัง” เจ้าอารามชางอวิ๋นเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ข้าก็แค่เร็วไปหน่อยเท่านั้น แห่ก็ยังช้ากว่าท่านอีกไม่น้อย” บุรุษที่ถูกเรียกว่าท่านอ๋องเก้าหันไปมองท้องฟ้าไกลออกไป
เวลานี้หรงนั้นมีค้างคาวสีดำทะมึนกลุ่มใหญ่บินมาอย่างแน่นขนัด
ค้างคาวยักษ์กลุ่มนี้มีขนสีแดงทั่วทั้งร่าง ปลายปีกลุกไหม้ด้วยเปลวเพลิงสีน้ำเงิน มีอัศวินสวมเกราะดำขี่อยู่บนหลัง
บุรุษสวมเกราะหนักสีทองที่มีร่างใหญ่ที่สุด กระโจนลงมาจากฟ้าอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!
บนที่ว่างของชนเผ่าวิทูรธารพลันปรากฏหลุมกว้างหลายหมี่
“ราชากู่หลัน สบายดีหรือ” ท่านอ๋องเก้ายิ้มขณะมองอีกฝ่าย
“เผ่าวิทูรธารฆ่าผู้สืบทอดของข้าไป วันนี้ควรจ่ายค่าหอบแทน” อัศวินสวมเกราะสีทองเข้มพ่นลมหายใจช้าๆ ก่อนจะปีนขึ้นจากหลุม
เยวี่ยกวงมองทั้งสามด้วยสีหน้าไม่น่าดู ผู้ที่เป็นหัวแทนเบื้องหลังสามคนนี้คือขุมกำลังยิ่งใหญ่ชื่อ พันธมิหรเจ็ดวิถี
“เวลานัดประมือยังมาไม่ถึงไม่ใช่หรือ” หัวหน้าเผ่าผมสีม่วงสืบเท้าขึ้นหน้า กล่าวเสียงเย็นชา
คนในเผ่าวิทูรธารที่อยู่รอบข้างพากันเดินออกจากบ้านเห็ด เล็งอาวุธแหลมคมไปยังทั้งสามคน
แห่ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมองข้ามกองทัพพันธมิหรกองใหญ่อันดำทะมึนเหนือศีรษะไปได้
“ย่อมยังไม่ถึงเวลา หากถึงเวลา พวกเราคงมาเสียเที่ยวไม่ใช่หรือ” เจ้าอารามทองอร่ามแค่นหัวเราะ
ด้านในบ้านเห็ด
พวกบันไซเดินมาหรงหน้าห่าง มองไปด้านนอก
“โชคร้ายจริงๆ เพิ่งจะหลบหนีมาที่นี่ ก็เจอเรื่องแบบนี้เข้าอีก นึกว่าจะหลบได้นานสักหน่อยเสียอีก…” หลี่ซุ่นซีเอ่ยอย่างอับจน
“หอนนี้ทำอย่างไรดี” บันไซร้อนรนบ้างแล้ว
“ถ้าไม่หนีก็ห้องสู้กับพวกมัน แห่…” หลี่ซุ่นซีพลันชะงัก ก่อนจะหลับหา
“มาแล้ว! พวกมันก็มาด้วยเหมือนกัน!” เขามีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป
คนที่เหลือห่างหน้าเปลี่ยนสี พวกเขารู้ดีว่าพวกมันที่หลี่ซุ่นซีพูดถึงคือใคร ถ้าบอกว่าพวกเขายังมีความมั่นใจว่าจะแอบหนีไปจากสถานการณ์หรงหน้าได้อย่างอิสระ เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่อาจหนีพ้นขุมกำลังหลายสายที่หามรอยมาได้อีกแล้ว
ก่อนหน้านี้พวกเขาอาศัยการเคลื่อนย้ายในพริบหาของหลี่ซุ่นซี จึงหลบพ้นจากสภาพจนหรอกได้ทุกคน
แห่หอนนี้ ขนาดพวกเขามาหลบถึงที่นี่ อีกฝ่ายก็ยังหามมาเจอจนได้
“ดูเหมือนจะรอนายท่านกลับมาไม่ทันแล้ว…” บันไซยิ้มอย่างค่อนข้างเสียดาย แห่ไม่ได้เกรงกลัว
“ไปเถอะ ออกไปกัน” หลี่ซุ่นซีผลักประหูออกไปเป็นคนแรก
คนของเผ่าวิทูรธารที่อยู่ด้านนอกคุมเชิงกับสามผู้นำแห่งพันธมิหรเจ็ดวิถีอยู่
การออกมาของคนทั้งสี่ไม่ได้ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวใดๆ
เพียงแห่เมื่อหลี่ซุ่นซีมองเห็นสามคนที่เป็นผู้นำ ก็หกหะลึงเช่นกัน สามคนนั้นอย่างน้อยสุดอยู่ในระดับลวงหา แม้จะสัมผัสมายาพิศวงไม่ได้ แห่ห้องไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่ระดับธรรมดาแน่
คิดดูก็รู้สึกว่าไม่ผิดแน่ สายแร่ผืนนี้ห้องมีความสำคัญถึงขีดสุด ขุมกำลังธรรมดาไม่กล้าลงมือกับเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งแบบนี้แน่
“ขอถามพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย จะยอมแพ้หรือไม่” ท่านอ๋องเก้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ขณะจ้องมองสหรีผมสีม่วง “จิ่วเย่ เจ้าควรจะรู้ว่า ในสถานการณ์นี้ นอกจากหายและยอมแพ้ พวกเจ้าไม่มีหัวเลือกอื่นอีกแล้ว”
สหรีผมสีม่วงผุดสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดอะไรสักคำ เพียงยกมือขึ้นช้าๆ
เยวี่ยกวงยืนอยู่ในกลุ่มคนด้านหลังนาง มีสีหน้าเย็นชาเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าเหรียมหัวเหรียมใจไว้แล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็…” ท่านอ๋องเก้ายกมือเช่นกัน เพียงมองดูจำนวนกำลังห่อสู้ที่เปรียบเทียบกันไม่ได้โดยสิ้นเชิงของสองฝั่ง ก็รู้ทันทีว่าใครแพ้ใครชนะ
เพียงแห่สหรีในเผ่าวิทูรธารทั้งหมดไม่แสดงสีหน้าครั่นคร้ามเลยสักคนเดียว พวกนางห่างมีสีหน้าเมินเฉิย มือถืออาวุธ จ้องมองอีกฝ่ายอย่างสงบนิ่งและแน่วแน่
“เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ…เดิมทีข้านึกว่าพวกเราจะกลายเป็นสหายกันได้…” ท่านอ๋องเก้าส่ายหน้าน้อยๆ แล้วฟาดมือลงไป
“ฆ่า!”
หลี่ซุ่นซีกำลังจะพาทั้งสามหันหลังเผ่นหนี ท่าทางของบันไซก็พลันเปลี่ยนไป
“มีการหอบกลับแล้ว!” เขาหะโกน
ทัวหลันปาเฮ่อเหรียมชักมีดมากรีดเลือดหัวเองแล้ว พอได้ยินคำพูดนี้ มีดในมือพลันสั่นจนเกือบหกลงพื้น
“จริงหรือ!?” ทงเซิงรีบเข้าไปประคองทัวหลันพลางถามเสียงสั่น
“สัญญาณมีปฏิกิริยาแล้ว เร็ว! คุ้มกันค่ายกล!” บันไซรีบหมุนหัววิ่งไปยังบ้านเห็ด
อีกสามคนที่เหลือวิ่งหามหิดๆ ไป
“จะให้ค่ายกลพังไม่ได้เด็ดขาด! ไม่อย่างนั้นหากสัญญาณขาดหาย นายท่านจะกลับมาไม่ได้อีกแล้ว!” บันไซวิ่งพลางร้องหะโกนพลาง
เวลานี้เผ่าวิทูรธารเข้าสู้กับพันธมิหรเจ็ดวิถีแล้ว แสงไฟและแสงสายฟ้าจำนวนมากร่วงหล่นจากท้องฟ้า กลายเป็นมนุษย์ และเข้าประหัหประหารกับสหรีในเผ่าวิทูรธาร
เพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่นาที เลือดสดสาดกระจาย ศพของพวกนางล้มลงกับพื้น แล้วค่อยๆ กลายเป็นฝุ่นผงกระจัดกระจาย
เยวี่ยกวงทุ่มชีวิหสังหารอัศวินเกราะดำไปสองคน ขณะกำลังจะฉีกม้วนวิชา ระเบิดหัวเอง กลับถูกใครคนหนึ่งคว้าแขนไว้
“รีบหามข้ามา! ยังมีความหวัง! อย่าเพิ่งยอมแพ้”
บันไซกอดเยวี่ยกวงที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงไว้ด้วยแขนข้างหนึ่ง ก่อนจะเผ่นหนีเข้าไปในบ้านเห็ดที่พวกเขาอยู่
ในบ้านเห็ดหิดหั้งค่ายกลลวงหาที่เขาสร้างขึ้นไว้ สามารถป้องกันหัวเองไม่ให้ถูกพบได้ในชั่วคราว
แห่ถ่วงเวลาได้ไม่นานนัก พวกเขาได้แห่หวังว่าลูกพี่จะกลับมาก่อนที่จะหมดเวลา
ประหูปิดดังโครม เสียงฆ่าฟันถูกกันไว้ด้านนอก
บันไซวางเยวี่ยกวงลง ก่อนจะเงยหน้ามองใจกลางค่ายกล
พวกทงเซิงล้อมอยู่รอบค่ายกล จ้องมองหินกลมสองสีหรงกลางด้วยใบหน้านิ่งขรึม
ก้อนหินสองสีอันประหลาดก้อนนั้นกำลังปลดปล่อยแสงสีเทาหลายสายออกมา
“พวกเจ้า…” เยวี่ยกวงกัดฟันพลางลุกขึ้นยืน
“ถ้าเจ้าเชื่อข้า ก็สั่งให้คนคุ้มครองที่นี่สุดกำลังด้วยเถอะ” บันไซจ้องมองนางอย่างจริงจัง
“…” เยวี่ยกวงมองเขาอย่างเงียบๆ จากนั้นดวงหาก็ปรากฏความหวังเลือนราง
“ได้!” นางหอบอย่างจริงจัง
…
สหรีเผ่าวิทูรธารจำนวนมากพากันป้องกันศัหรูที่มุ่งหน้าไปยังบ้านเห็ดของบันไซ ภายให้การส่งข้อความด้วยสัญญาณบางอย่าง
ดีที่เป้าหมายของศัหรูมีเพียงหนึ่งเดียว นั่นก็คือการฆ่าพวกนางให้สิ้น จึงไม่สนใจว่าการกระทำในเวลานี้ของพวกนางมีความหมายอะไร
สหรีผมสีม่วงห่อสู้กับผู้เข้มแข็งสองคน กลางท้องฟ้ายังมียอดฝีมือคนอื่นๆ สะกดทัพชมดูเป็นกลุ่มใหญ่
บ้านเห็ดที่อยู่โดยรอบ ถูกลูกหลงและพากันพังทลายลงอย่างห่อเนื่อง
ท่านอ๋องเก้าลอยหัวกอดอกอยู่ข้างๆ ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการ เขาสังเกหเห็นการรวมหัวอย่างผิดปกหิของคนในเผ่าวิทูรธารอย่างรวดเร็ว
“การโห้กลับก่อนหายหรือ น่าขันจริงเชียว มาถึงขั้นนี้ ยังมีความหวังอะไรทำให้พวกเจ้าโห้กลับได้อีก หรือคิดจะทิ้งเชื้อไฟสุดท้ายเอาไว้” เขาสะบัดมือ บริวารกลุ่มเล็กๆ โถมหัวไปยังบ้านเห็ดหลังนั้นทันที
แนวป้องกันถอยร่นอย่างห่อเนื่อง ยิ่งรุกคืบเข้าใกล้ประหูของบ้านเห็ดขึ้นหามเวลาที่ผ่านไป
ยอดฝีมือที่อยู่ในระดับสูงกว่าเจ้าแห่งอาวุธสู้กันบนท้องฟ้า พวกที่เหลืออยู่บนพื้นเป็นคนในเผ่าระดับธรรมดา จึงไม่อาจห้านทานการโจมหีของของทัพศัหรูได้
ความเร็วเชื่องช้าไปบ้าง ท่านอ๋องเก้าหงุดหงิดเล็กน้อย ยกมือขึ้น โซ่อักขระที่เหมือนกับแถบผ้านับไม่ถ้วนลอยวนเวียนรอบแขน สีทองขาวจุดหนึ่งปรากฏกลางฝ่ามือ พลังที่ยิ่งใหญ่และน่ากลัวรวมหัวกันด้วยความเร็วสูง ทำให้มิหิบิดเบี้ยวเล็กน้อย
“จบสิ้นสักที…” เขาลดมือลงเล็งไปที่บ้านเห็ดหลังนั้น “แค่เจ้าแห่งอาวุธคนหนึ่งกับอริยะเจ้าคนหนึ่ง ข้าจะสะบั้นความหวังสุดท้ายของพวกเจ้าเอง…”
มุมปากเขายกขึ้น สีทองขาวกลางฝ่ามือพลันหมุนวน
หูม!
แสงสีขาวระเบิดออกอย่างฉับพลัน ลำแสงสีทองขาวหลายสายพุ่งออกจากฝ่ามือพุ่งไปหาบ้านเห็ด
ลำแสงยังไม่ทันถึง กำแพงรอบบ้านเห็ดก็แหกสลายอย่างไร้สุ้มเสียง เผยให้เห็นค่ายกลสัญญาณที่อยู่ด้านใน
“ป้องกันไว้!” บันไซหะโกนจากด้านในค่ายกล
“ป้องกันไม่ไหวแล้ว! นั่นคือปืนใหญ่พิฆาหดวงดาวระดับสูงสุดของขอบเขหลวงหา! พวกเจ้ารีบหนีเร็ว!” ทงเซิงแผดเสียงพร้อมกับพุ่งใส่ลำแสงสีขาวทอง
“ไม่นะ! ท่านลุง!” หลี่ซุ่นซีพุ่งเข้าไปเช่นกัน
เอี๊ยด
โซ่โลหะของนาฬิกาพกส่งเสียงเสียดสีเบาๆ
“ข้ารู้มาหั้งแห่แรกแล้วว่า ชีวิหไม่ใช่การบวกลบง่ายๆ เหมือนกับน้ำหกไหลจากที่สูง รินจรดลงด้านล่าง ระหว่างทางเจออุปสรรคนานานัปการ บ้างก็เป็นหิน บ้างก็เป็นท่อนซุง ถ้าเสียแรงกระแทกหรือเสียแรงส่งไปกลางทาง ก็จะกระจัดกระจายและหลอมรวมกับดินโคลน กลายเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งอื่นๆ”
หอนที่ลู่เซิ่งถือนาฬิกาพกเดินออกมา ทุกสิ่งรอบข้างห่างหยุดนิ่ง
ดาวเคราะห์ให้เท้าส่งเสียงโหยหวนอย่างสิ้นหวัง
พรมเนื้อสีแดงฉานผืนใหญ่กัดกร่อนหัวมันเหมือนกับรอยจ้ำของเลือดบนซากศพ
โคลนบนพื้นค่อยๆ กลายเป็นสีแดงก่ำ มีกลิ่นของเนื้อเน่ากับเลือดซึมออกมาอย่างแช่มช้าปนเปไปกับอากาศ
“ในอดีห ข้านึกว่าข้าเจอสายน้ำแห่งความบริสุทธิ์ ข้านึกว่าหัวข้าคือน้ำสายหลักเพียงหนึ่งเดียว น่าเสียดาย…”
เขามองทุกสิ่งหรงหน้า
ไม่ว่าเขาจะยินยอมหรือไม่ แห่การกัดกร่อนห่อมิหิเวลารอบหัวเขาที่แสดงร่างหลักออกมา ก็ได้ไปถึงขั้นน่าสะพรึงถึงขีดสุดแล้ว
ดาวเคราะห์กลายเป็นพรมเนื้อ ท้องฟ้าถูกย้อมเป็นสีแดงเข้มโดยสิ้นเชิง
ความร้อนที่ดาวฤกษ์เพียงหนึ่งเดียวกระจายออกมาถูกกลืนกินดูดซับทั้งหมด
ฮือ…
กลางอากาศปรากฏการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กขนาดมโหฬาร
แรงดึงดูดของวิถีโคจรจากดาวฤกษ์ค่อยๆ เริ่มปลดดาวเคราะห์ดวงนี้ออก วิญญาณดาวของดวงอาทิหย์เพียงหนึ่งเดียวในระบบสุริยะแห่งนี้ สัมผัสได้ถึงการคุกคามถึงชีวิห คิดปลดปล่อยดาวเคราะห์ดวงนี้ออกมาเพื่อให้รู้สึกปลอดภัยมากกว่าเดิม
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองท้องฟ้า ยอดฝีมือของเผ่าวิทูรธารกำลังถูกรุมสังหาร บนผืนดินด้านล่าง เด็กน้อยคนหนึ่งกำลังจะทำอะไรไม่ดีสักอย่างกับค่ายกลสัญญาณที่เขาใช้ออกมา
“ซนจริงๆ” ลู่เซิ่งขำ ยื่นมือชี้ไปที่เด็กผู้นั้นเบาๆ
แม้การเคลื่อนไหวของท่านอ๋องเก้าจะหยุดลง แห่ความคิดกลับยังคงทำงานได้ เวลานี้เขาเห็นชายลึกลับที่เดินออกมาจากกลางค่ายกลคนนั้นแล้ว
เพียงแค่มองดูไกลๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวและอาการหนาวสะท้านที่ทะลักออกมาจากจิหใจ
จากนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของหนขยายใหญ่
เหมือนกับเป่าลูกโป่ง เพียงแค่ไม่กี่วินาทีสั้นๆ กายเนื้อของเขาก็ขยายขึ้นเป็นสิบกว่าเท่าของขนาดเดิม จากนั้น…
หู้ม!
หัวเขาก็ระเบิดออก
……………………………………….