ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 884 พลิกหน้า (2)
“เจ้า…!?” ลัวชิวเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก เมื่อครู่เขาถึงขั้นสัมผัสไม่ได้ว่าตัวเองโดนดาบได้อย่างไร
เพียงพริบตาเดียว พริบตาเดียวที่แม้แต่จิตวิญญาณยังตอบสนองไม่ทัน เขาก็พ่ายแพ้แล้ว
ครืน!
เวลานี้อากาศด้านหลังคนทั้งสองระเบิดรอยดาบขนาดมหึมาน่ากลัวสุดเปรียบปานออกมา
รอยดาบเหมือนยื่นขยายไปยังส่วนลึกของจักรวาลที่ไม่อาจมองเห็นปลายทาง
พื้นดินรอบข้าง มีลมแผ่วเบาพัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ยามลมนี้พัดใส่ร่างก็เจ็บปวดราวกับถูกถลกหนัง เป็นผลที่เกิดขึ้นจากพลังของลู่เซิ่งที่เหลืออยู่ใกล้เคียง
ไร้ความคิดสร้างสรรค์ ไร้กระบวนท่าใดๆ เป็นพลังที่แข็งแกร่งจนเหนือจินตนาการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ลู่เซิ่งใช้ความแตกต่างของพลังอันเด็ดขาดข่มเหงพวกเขา
เดิมทีเขาเดินบนเส้นทางพลังอันเด็ดขาดอยู่แล้ว กฎพื้นฐานของโลกรูปจิตมีเก้าส่วนที่เป็นพลัง
เมื่อมาถึงระดับผู้ปกครองมายาพิศวงหรือขอบเขตอนธการที่แข็งแกร่งที่สุด พลังของเขาก็ไปถึงขั้นที่มายาพิศวงทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้
ถ้าแปลงเป็นปริมาณให้เห็นชัดเจน เขาในตอนนี้คงจะมีพลังมากกว่ามายาพิศวงทั่วไปเป็นพันเท่า
แม้จะแสวงหาพลังเกินไป ทำให้ลู่เซิ่งไม่ได้ศึกษาวิชาอาคมชนิดอื่นๆ แต่เขาไม่เสียใจ
เกิดเสียงดังตุบทึบหนัก ลัวชิวกับรองเจ้าสำนักแปลงวายุล้มลงกับพื้น สูญเสียลมปราณและจิตวิญญาณไป
ดาบนั้นของลู่เซิ่งไม่ได้ฟันใส่ร่างกาย หากเป็นจิตวิญญาณ
เพียงแค่พริบตาเดียว ผู้เข้มแข็งมายาพิศวงก็ดับสูญ ไร้ความสามารถต่อต้านแม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจ เขาเพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างนิ่งเฉย
เสียงเมื่อครู่ดังมาจากทางนั้น
เขามองฝ่าชั้นบรรยากาศหนาไป เห็นรถลากสีขาวบริสุทธิ์ที่ใช้มังกรขาวสองตัวลากคันหนึ่งจอดลงกลางอวกาศอย่างช้าๆ เงาคนร่างสูงโปร่งที่ไม่มีใบหน้านั่งอยู่บนนั้น
เจ้าสำนักนทีคราม หยวนชิงลี่
“นึกไม่ถึงว่าท่านจะกลับมาแล้ว…” หยวนชิงลี่มองลู่เซิ่งบนดาวเคราะห์ด้วยสีหน้าซับซ้อน
แต่ชั้นบรรยากาศชั้นเดียวไม่อาจขวางกั้นสายตาของพวกเขาได้
ระยะห่างนี้ สำหรับผู้เข้มแข็งระดับผู้ปกครอง เหมือนกับเผชิญหน้าห่างกันไม่เกินสิบกว่าหมี่
“ส่งตัวคนร้ายมา แล้วข้าจะให้โอกาสพวกท่านชดเชยครั้งหนึ่ง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
“คนร้าย…เมื่อครู่ท่านฆ่าไปแล้ว” หยวนชิงลี่กล่าวพลางส่ายหน้า “เรื่องนี้เป็นพวกเราทำผิดพลาด ท่านกลับสำนักหลักกับข้าก่อนเถอะ ต่อจากนี้ข้าจะมอบคำว่ากล่าวให้ท่านที่สำนักนทีคราม”
นางเว้นเล็กน้อย
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านจะเป็นรองเจ้าสำนักของสำนักนทีคราม” นางเอ่ยอย่างจริงจัง
ลู่เซิ่งหลุดขำ อาละวาดถึงขั้นนี้ ยังคิดให้เขาอยู่สำนักนทีครามต่ออีก โลกไหนเลยมีเรื่องง่ายๆ แบบนี้กัน
“ท่านยังไม่ได้บอกข้าว่า คนร้ายเป็นใคร คนร้ายของสำนักแปลงวายุกับสำนักวิญญาณไตรอริยะอยู่นี่แล้ว แล้วสำนักนทีครามเล่า”
หยวนชิงลี่สีหน้าไม่น่าดูเล็กน้อย แต่นางไม่ได้ตอบ ด้วยสถานะและตำแหน่งของนาง การแสดงท่าทีถึงขั้นนี้เป็นขีดจำกัดแล้ว
คนผู้นั้นของสำนักนทีคราม นางย่อมไม่อาจมอบให้ลู่เซิ่งจัดการ และความต้องการของลู่เซิ่งในเวลานี้ก็ได้บีบบังคับนางถึงที่สุด
“หยุดแค่นี้เถิด…อย่าก่อเรื่องอีกเลย…” นางถอนใจเสียงทุ้มต่ำ
“ก่อเรื่องหรือ” ลู่เซิ่งอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะ
“ช่างเถิด”
เทพปีศาจแห่งสายลมด้านหลังเขาไขว้สองดาบเข้าด้วยกัน ส่งเสียงกระทบใส
“ข้าตัดสินใจว่าจะไม่บังคับตัวเองอีกแล้ว หยวนชิงลี่ ครั้งหน้าถ้าเจอกัน”
ลู่เซิ่งยกมือขึ้น
“ข้าจะฆ่าเจ้า”
เกิดเสียงดังพรึ่บ พวกหลี่ซุ่นซีและผู้เหลือรอดจากเผ่าวิทูรธารทั้งหมดรอบตัวเขาระเบิดกลายเป็นกระแสอากาศไร้รูปร่าง แล้วหายไปในพริบตา
“โอหัง!” หยวนชิงลี่จับที่พักแขนแน่น โกรธเกรี้ยวขึ้นมาบ้างแล้ว
ต่อให้จะค้นพบพลังที่แท้จริงของลู่เซิ่งในตอนนี้ นางก็ไม่เกรงกลัว อนธการมายาพิศวงก็มีการแบ่งระดับเช่นกัน
ในสถานการณ์แบบนี้ ผู้เข้มแข็งอนธการที่เพิ่งเลื่อนระดับคนหนึ่งถึงกับกล้าเอ่ยวาจาสามหาวใส่อธนการระดับอาวุโสอีกคน จะไม่ทำให้นางโกรธเคืองได้อย่างไร
แม้ว่าสามสำนักจะตระบัดสัตย์ละทิ้งคุณธรรมก่อน แต่การตายของผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงสองคนก็มากพอจะชดเชยความผิดนี้ได้แล้ว
นางคิดจะรับลู่เซิ่งกลับเข้ามาใหม่ แต่นึกไม่ถึงจะถูกอีกฝ่ายหยามเกียรติเช่นนี้!
มายาพิศวงสองคน! สำหรับเงาดาวพริบตาแค่ดวงเดียว ไม่มีอะไรให้เทียบกันได้เลย คุณค่าของผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงสักคน สุดที่ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งจะเทียบเคียงได้ ต่อให้มีดาวหลายสิบดวงก็ยังเทียบไม่ได้อยู่ดี
นางตัดสินใจให้อภัยอีกฝ่าย กลับนึกไม่ถึงว่าสุดท้ายจะลงเอยเช่นนี้
“ถ่ายทอดคำสั่ง” หยวนชิงลี่ตขบคิดถึงตรงนี้ก็เอ่ยเสียงเย็น “แจ้งสำนักวิญญาณไตรอริยะกับสำนักแปลงวายุ ให้ถ่ายทอดข่าวการตายของสองรองเจ้าสำนักออกไป ขณะเดียวกันให้สวีจั๋วมาร่วมปฏิบัติการณ์กับข้าด้วย”
“ขอรับ!”
ความบิดเบี้ยวพร่ามัวสายหนึ่งปรากฏแวบหนึ่งกลางความว่างเปล่า ก่อนจะจากออกไปไกล
หยวนชิงลี่เผยสีหน้าเย็นชา
“ในเมื่อหมดประโยชน์กับข้าแล้ว ก็อย่าโทษข้าไม่เกรงใจ!” นางแค่นเสียง ก่อนจะควบคุมรถมังกรบินออกไป
…
ลมไร้รูปร่างห่อหุ้มลู่เซิ่งกับพวกหลี่ซุ่นซี บินพุ่งไปยังที่ไกลอย่างบ้าคลั่ง
อนุภาคพลังงานที่ไร้รูปร่างจำนวนมากกลางอวกาศ กลายเป็นพายุอนุภาคพาทุกคนบินไปยังที่ไกลด้วยความเร็วที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง
ความเร็วนี้เข้าใกล้ความเร็วแสง แม้จะเร็วสุดขีด แต่ก็ยังเล็กกระจ้อยร้อยสำหรับจักรวาลอันยิ่งใหญ่อยู่ดี
ถ้าหากใช้วีธีการนี้บินจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้เข้มแข็งมายาพิศวงคนใด ก็ไม่อาจก้าวข้ามระยะทางที่ไกลโพ้นในพริบตาได้
สิ่งที่มีผลอย่างแท้จริง คือค่ายกลขนาดเล็กสำหรับข้ามมิติที่บันไซพกติดตัว
ถึงแม้ผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงจะฝืนกระโดดข้ามมิติด้วยตัวเองโดยการร่นระยะห่าง เพื่อให้ไปถึงสถานที่ที่อยู่ไกลออกไปได้ แต่ก็ยังไม่สะดวกสบายเท่าค่ายกลอยู่ดี
กระแสอากาศโปร่งแสงเปลี่ยนมาจากทุกคนรวมตัวกันเป็นกลุ่ม หายไปเพราะการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง จากนั้นก็ไปกะพริบปรากฏบนตำแหน่งที่อยู่ไกลสุดขีด
การกระโดดแบบนี้ดำเนินอย่างต่อเนื่อง จวบจนกระทั่งพวกเขาออกห่างจากดาวเคราะห์ แล้วหยุดลงใกล้กับนครตราชั่ง
ด้านในกระแสอากาศ
ลู่เซิ่งสั่งการความคิด ทุกคนพากันรวมตัวเป็นรูปร่าง
เป็นครั้งแรกที่เขาใช้เคลื่อนวายุของเทพปีศาจแห่งสายลมกับชีวิตอื่น ประสิทธิผลช่างน่ากลัวถึงขีดสุดเสียจริง
โดยพื้นฐานแล้วร่างชีวิตที่อยู่ในสภาพเคลื่อนวายุ มีผลต้านทานการโจมตีทางกายภาพเป็นส่วนใหญ่
ในขณะเดียวกันก็ยังเคลื่อนที่ได้เร็วถึงขีดสุด มีผลซ่อนเร้นเหนือธรรมดา
หลังจากสร้างร่างออกมาแล้ว บันไซ หลี่ซุ่นซี ทงเซิง กับทัวหลันปาเฮ่อก็มารวมตัวกัน
คนจากเผ่าวิทูรธารอย่างเยวี่ยกวงก็เกาะกลุ่มกัน
เวลานี้หมู่บ้านที่มีคนหลายร้อยคนเหลือรอดมาสิบกว่าคน หน้ำซ้ำยังได้รับบาดเจ็บ
“ข้าน้อยจิ่วเย่ หัวหน้าเผ่าคนปัจจุบันของเผ่าวิทูรธาร วิกฤติการณ์ครั้งนี้ ต้องขอบคุณที่ผู้อาวุโสช่วยเหลือ เผ่าข้าซาบซึ้งเหลือเกิน แต่ไม่มีสิ่งใดตอบแทน ได้แต่ขอติดตามอยู่เบื้องหลังผู้อาวุโส…” พอสตรีผมสีม่วงปรากฏตัวขึ้นก็หมอบกราบลู่เซิ่งทันที
คนในเผ่าที่อยู่ด้านหลังนางเหมือนจะปรึกษากันแล้ว หมอบกราบโขกศีรษะให้ลู่เซิ่งเช่นกัน
คนในเผ่าบางส่วนถึงขั้นขอบตาเปียกชื้น หวนนึกถึงสถานการณ์สิ้นหวังก่อนหน้านี้ น้ำตาก็ร่วงผล็อยอย่างควบคุมไม่ได้
แม้พวกหลี่ซุ่นซีจะคาดไม่ถึงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเข้าใจความเจ็บปวดกับความจนใจของเผ่าเยวี่ยกวงได้
พวกนางไม่อาจกลับดาวเคราะห์ดวงเดิมได้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้มีคนของพันธมิตรเจ็ดวิถีตายไปตั้งหลายคน อีกฝ่ายต้องไม่ยอมเลิกราและกลับมาแก้แค้นแน่นอน
ในฐานะขุมกำลังยิ่งใหญ่ระดับดวงดาว พันธมิตรเจ็ดวิถีมีผู้ยิ่งใหญ่มายาพิศวงเช่นกัน
และคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาก็คือขอบเขตลวงตาระดับสูงสุด
บนโลกใบนี้มีขอบเขตลวงตามากมาย แต่คนที่เลื่อนระดับสู่มายาพิศวงได้กลับมีน้อยเหลือเกิน
อย่าว่าแต่สุดยอดผู้เข้มแข็งที่กำจัดสองมายาพิศวงได้อย่างง่ายดายเช่นลู่เซิ่งเลย
ลู่เซิ่งมองเหล่าสตรีที่ก้มกราบอยู่เบื้องหน้า หญิงสาวและเด็กสาวกลุ่มนี้มีคุณสมบัติติดตามคนอื่นจริงๆ
รูปโฉมทรวดทรงของพวกนาง แม้จะไม่งามเลิศล้ำ แต่ก็อยู่ในระดับสูง กอปรกับมีพลังไม่ธรรมดา
สามารถยืนหยัดในศึกใหญ่นี้ถึงตอนท้ายได้ ต่อให้แย่อย่างไรก็มีพลังใกล้เคียงอริยะเจ้าทั้งสิ้น คนที่แข็งแกร่งที่สุดนอกจากหัวหน้าเผ่าที่อยู่ในขอบเขตลวงตา ยังมีอัจฉริยะขอบเขตเจ้าแห่งอาวุธระดับสูงสุดอยู่ด้วย
“พวกเจ้าอายุเยอะไปหน่อยนะ…” ลู่เซิ่งส่ายหน้าอย่างเสียดายเล็กน้อย แม้เหล่าสตรีด้านหน้าจะดูเยาว์วัย แต่คนที่อายุน้อยสุดกลับมีอายุโครงกระดูกอย่างน้อยสามร้อยปี คนที่อายุเยอะสุดคือจิ่วเย่ผู้เป็นหัวหน้าเผ่า ภายใต้การสังเกตของเขา นางถึงขั้นมีอายุห้าพันกว่าปีทีเดียว
การที่อายุระดับนี้มีพลังในระดับนี้ ถือว่าไม่แปลก
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ! พวกเราทำเพื่อท่านได้ทุกอย่าง! ขอแค่ท่านผู้อาวุโสรับตัวไว้ก็พอ!” จิ่วเย่กล่าวเสียงดังขณะก้มกราบ
ลู่เซิ่งใคร่ครวญ
มาถึงขั้นนี้ เขาควรจะสร้างขุมกำลังของตัวเองอย่างจริงจังได้สักที ยังมีพวกเครือญาติของตนที่หยุดนิ่งอยู่ในมิติมืดมิดผืนนั้น ก็ควรจะให้ออกมาเคลื่อนไหวได้แล้ว
“อย่างนั้นก็ได้ พวกเจ้าเลือกลงนามสัญญาเข้าสังกัดกับข้าเป็นเผ่าพันธุ์บริวารได้ อีกประเดี๋ยวข้าจะหาสถานที่สักแห่งเพื่อสร้างฐานทัพขึ้น”
“เจ้าค่ะ!” เผ่าวิทูรธารพลันยินดี
ความจริงลู่เซิ่งทราบต้นสายปลายเหตุจากบันไซแล้ว ต้องขอบคุณผลึกปฐมพลังงานที่พวกนางมอบให้ถึงทำให้ตนกลับมาได้ ดังนั้นจึงรับตัวพวกนางไว้ง่ายๆ เช่นนี้
“นายท่าน ตอนนี้พวกเราจะไปทำอะไรหรือขอรับ” บันไซที่อยู่ด้านข้างถามขึ้น
“ไปนครตราชั่ง ซุ่นซีเห็นฉากที่ไม่ควรเกิดบางส่วน ข้าจำเป็นต้องไปยุติก่อน” ลู่เซิ่งตอบอย่างราบเรียบ
“ครั้งนี้ ลำบากพวกเจ้าแล้ว…”
“นายท่าน...” บันไซพูดอะไรไม่ออกชั่วขณะ สะอื้นเล็กน้อย
ไม่ใช่เขาอ่อนไหว หากครั้งนี้อันตรายเกินไปจริงๆ ทุกคนเกือบจะจบสิ้นแล้ว
หลี่ซุ่นซีที่อยู่ด้านข้างเงียบขรึมเช่นกัน
ทงเซิงถอนใจ ก่อนหน้านี้เขาเตรียมตัวตายเพื่อถ่วงเวลาแล้ว
“พลังของพวกเจ้าอ่อนแอเกินไป รออะไรๆ สงบลง ก็ค่อยตั้งใจฝึกเถอะ..อยู่บนโลกใบนี้ พลังคือทุกอย่าง” ลู่เซิ่งว่าพลางส่ายหน้าเล็กน้อย
“รับทราบ!” ทุกคนพากันขานตอบ
ความโหดร้ายครั้งนี้ได้มอบบทเรียนให้พวกเขาอย่างแท้จริง
หากไม่มีการปกป้องจากลู่เซิ่ง พวกเขาก็ไร้ค่า เหมือนกับเนื้อที่วางอยู่ด้านหน้าคนอื่น ทำอะไรไม่ได้โดยสิ้นเชิง
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ลู่เซิ่งเปลี่ยนหัวข้อ “ซุ่นซี ครั้งนี้ให้ทำรายงานขุมกำลังที่เข้าร่วมการทำลายดาวเงาพริบตาออกมาให้ข้า”
“ขอรับ! พี่ใหญ่!” หลี่ซุ่นซีพยักหน้าอย่างแรง
ครั้งนี้โหดร้ายเกินไปจริงๆ ต่อให้เขาจะใจดีมีเมตตาขนาดไหน ดวงตาก็ฉายแววเคียดแค้นอย่างควบคุมไม่ได้
“ค่อยๆ คัดออกมา เยอะหน่อยก็ไม่เป็นไร” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “พวกมันจะกลัวก็ต่อเมื่อมีคนตายมากพอ”
แต่ก่อนหน้านั้น เขาต้องคิดหาที่อยู่ให้แก่คนรอบตัวเขาก่อน ก่อนหน้านี้ที่ไม่ได้สู้กับหยวนชิงลี่ เป็นเพราะระดับผู้ปกครองส่งผลกระทบมากเกินไป อาจจะไปฆ่าคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้
……………………………………….