ยอดวิถีแห่งปีศาจ - บทที่ 885 แก้แค้น (1)
นครตราชั่ง
หลังจากนครตราชั่งขยับขยาย ก็เหมือนกับนาฬิกาจานกลมขนาดยักษ์กลางท้องฟ้า พื้นผิวสีเทาเรืองแสงอ่อน โดยรอบมีดาวเคราะห์เล็กจ้อยหลายดวง กำลังโคจรรอบตัว
เรือคุ้มกันเล็กๆ ที่กระจัดกระจายเหมือนกับแมลง บินวนเวียนรอบดาวดวงเล็กเหล่านี้
ฟ้าว
ทันใดนั้น ลมไร้รูปร่างหอบหนึ่งได้พัดผ่านแนวป้องกันของเรือคุ้มกันอย่างเงียบงัน ลอยเข้าสู่นครหลวงของนครตราชั่งอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วพัดต่ำลงพื้น กลายเป็นมนุษย์ในมุมหนึ่งของตลาดขนาดยักษ์สีเหลือง
เคร้งๆๆ!
เสียงตีเหล็กที่มีจังหวะลอยมาจากสิ่งก่อสร้างรอบข้าง
ลู่เซิ่งกับคนอีกกลุ่มปรากฏตัวตรงสุดตรอกเล็กแคบเส้นหนึ่ง มีไม่ถึงยี่สิบคน แม้ยามยืนด้วยกันจะดูเบียดเสียดเล็กน้อย แต่ไม่ได้กระตุ้นให้กลไกตรวจตราของนครตราชั่งเกิดปฏิกิริยาใดๆ
“เอาล่ะ ที่นี่คือนครหลวงของนครตราชั่ง” เขามองบันไซที่อยู่ด้านข้าง
“เชื่อมือข้าได้เลย” บันไซพยักหน้า ก้าวออกมาพร้อมกับหยิบจานค่ายกลออกจากอกเสื้อ แล้วเริ่มเจาะเครือข่ายตรวจตราของที่นี่ อำพรางการระบุตัวพวกเขาผู้มาจากภายนอกชั่วคราว
“ภายในหนึ่งนาที พวกเราจะกลายเป็นผู้อยู่อาศัยตามกฎหมายของที่นี่” บันไซเอ่ยอย่างมั่นใจ เทียบกับก่อนหน้า เขาในตอนนี้เติบโตขึ้นมากเหลือเกิน โดยเฉพาะตอนอยู่บนดาวเงาพริบตา เขาที่เป็นยอดอัจฉริยะไม่ทราบพัฒนาศาสตร์อักขระค่ายกลของตัวเองถึงระดับที่อลังการขนาดไหน ภายใต้การสนับสนุนสุดกำลังของลู่เซิ่ง
การเจาะเครือข่ายตรวจตราของนครตราชั่งจากภายในเป็นแค่เรื่องง่ายดาย เพียงยกมือเท่านั้น
“ถาวรหรือไม่” ทัวหลันถามอย่างฉงน
“เอ่อ…” บันไซพลันสะอึก “ตอนนี้ยังทำไม่ได้”
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปหาที่อยู่ก่อน ข้าจำเป็นต้องอยู่ที่นี่สักสองสามวันเพื่อรับคนบางส่วน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อมาถึงระดับของเขา แค่นครตราชั่งเพียงแห่งเดียว นอกจากเจ้านครตราชั่งระดับผู้ปกครองแล้ว ขุมกำลังแบบนี้เป็นเพียงสถานที่เล็กๆ ที่เขาทำลายได้ด้วยการเป่าเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ความจริงแล้ว สำหรับผู้ปกครองอนธการ ขุมกำลังแบบนี้ส่วนใหญ่ต่างสร้างขึ้นเพื่อให้คนรุ่นหลังหรือครอบครัวของตัวเองได้ตั้งหลักและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีความคิดปรับปรุง เหตุผลเพราะนึกถึงชีวิตที่ตนเองเคยคุ้นชินในอดีต ก็เลยรักษาจังหวะแบบเดิมเอาไว้
ผู้ปกครองที่มีสายตากว้างไกลเหมือนมารดาแห่งความเจ็บปวดมีอยู่ไม่มาก
ลู่เซิ่งเดินออกจากตรอกตามลำพัง ไม่สนใจคนที่อยู่ด้านหลัง แม้นครตราชั่งจะใหญ่เท่าดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง แต่สถานที่เล็กแบบนี้เขาสามารถใช้จิตวิญญาณพิเคราะห์ได้ทั้งหมดในพริบตา
บนถนนนอกตรอกเต็มไปด้วยลูกค้าต่างเผ่าที่มาซื้อเกราะและอาวุธ
สองฟากข้างของถนนคือร้านตีเหล็กขายอาวุธ ยุทโธปกรณ์ และเกราะป้องกัน แม้ร้านตีเหล็กที่รักษาความดึกดำบรรพ์ไว้พวกนี้จะดูเก่าแก่ แต่ความจริงต่างใช้วิทยาการระดับสูงมากมายในการหลอมสร้างอาวุธ ประสิทธิภาพกับน้ำหนักจึงเหนือธรรมดา
ต่อให้เป็นร้านค้าเล็กๆ ธรรมดา ก็รับรายการสั่งซื้ออาวุธและชุดเกราะหลายพันหลายหมื่นของกองทัพได้
“ช่างขัดแย้งกันเสียจริง…” ลู่เซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังจุดมุ่งหมายที่ใช้จิตวิญญาณพิเคราะห์ถึง
ที่เขาลงจอดที่นี่ เป็นเพราะที่นี่อยู่ใกล้จุดหมายมากที่สุด
ตัดทะลุถนนเส้นหนึ่ง ไม่นานเขาก็ไปถึงหน้าเหลาสุราที่มีไม่กี่ชั้นแห่งหนึ่ง
เหลาสุราสี่ผันแปร
ป้ายใหญ่ตรงประตูกะพริบแสงหลากสี มีคนเข้าออกอยู่ไม่น้อย
ลู่เซิ่งสาวเท้าเข้าไปด้านใน ทางเข้ามีลิฟท์อยู่
ในลิฟท์มีคนอยู่สองคน เขาก้าวเท้าสองสามก้าว เข้าไปเป็นคนสุดท้าย ก่อนจะกดชั้นสามใต้ดิน
ติ๊ง…
ไม่นานลิฟท์ก็หยุดลงที่ชั้นสาม
ขณะลู่เซิ่งกำลังจะออกไป อยู่ๆ หญิงสาวสวมหมวกกลมใบเล็กคนหนึ่งก็พุ่งแซงเขาออกไปก่อน
นางสวมเสื้อแขนยาวสีขาวกับกระโปรงสั้นสีขาวน้ำนม เผยให้เห็นขาอ่อนขาวเปล่งปลั่ง ผมสีน้ำตาลส่ายไปมากลิ่นน้ำหอมชั้นสูงกระจายฟุ้งออกมา
แม้จะไม่ได้เห็นใบหน้า แต่แค่มองดูทรวดทรงองค์เอว ก็แยกแยะได้ว่านางจะต้องเป็นหญิงงามชั้นหนึ่งแน่
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พอลู่เซิ่งพิจารณาหญิงสาวนางนี้เสร็จ กลับรู้สึกคุ้นพิกล
เขาสลัดความคิดทิ้ง แล้วเดินออกจากลิฟท์
ชั้นสามเป็นโถงอาหารที่มีโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางไว้เต็มไปหมด โต๊ะยาวสีขาววางห่างกันช่วงหนึ่ง เหมือนกับโรงอาหารในโรงเรียนเล็กน้อย
ลูกค้าที่อยู่บนโต๊ะกำลังพูดคุยหัวเราะคิกคัก พลางกินอาหารและดื่มสุราไปด้วย
ลู่เซิ่งเดินเข้าไป กวาดตาดูก็เห็นชายชราถูจินกำลังยกแก้วดื่มคารวะคนอื่นอยู่ด้านหลังเยื้องไปทางขวา
ชายชราผู้นี้ดูแก่ลงกว่าเดิมมาก ผมกลายเป็นขาวหงอกหมดแล้ว แต่สีหน้าแดงปลั่ง รอยยิ้มฉีกกว้าง เหมือนจะมีชีวิตสะดวกสบาย
คนที่นั่งบนโต๊ะนั้นมีบรรยากาศคึกคัก พูดคุยกันอย่างคล้ายสนุกสนาน
ลู่เซิ่งมองหญิงสาวที่ออกจากลิฟท์คนเมื่อครู่เดินเข้าไปอย่างประหลาดใจ ไม่นานก็หยุดอยู่ข้างถูจิน ด้วยท่าทางใกล้ชิดกัน
ตัวเขาไม่ได้รีบร้อน เดินไปนั่งลงตรงตำแหน่งหนึ่งไม่ไกลมากนัก สั่งอาหารสำหรับคนคนเดียวมากินอย่างใจเย็น รอให้ทางนั้นทำอะไรกันเสร็จก่อน
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ในที่สุดทางถูจินก็ทำธุระเสร็จ คนรอบๆ พากันแยกย้าย
ถูจินคล้ายกับดื่มไปมาก ให้หญิงสาวนางนั้นประคองไปนั่งพักผ่อนบนเก้าอี้ ส่วนคนเหล่านั้นชำระบัญชีและบอกลา
ลูกค้าคนอื่นๆ ในโถงอาหารต่างกินกันอิ่มแล้ว จึงเหลือคนประปราย
พอเห็นว่าไม่มีคน ลู่เซิ่งค่อยลุกไปหาพวกถูจิน
ถูจินชรากำลังดื่มจนเมามายได้ที่ ลุกขึ้นอย่างโงนเงน เสื้อคลุมสีขาวนวลเปื้อนคราบน้ำมันกับสุรา
หญิงสาวที่อยู่ด้านข้างกำลังเช็ดสิ่งสกปรกบนตัวเขาอย่างตั้งใจ
“อาจารย์ถูจิน ไม่เจอกันนาน” เสียงของลู่เซิ่งลอยเข้าหูทั้งสอง ทั้งสองพลันตกใจเงยหน้ามองขึ้นมา
“เจ้าคือใคร…” ตอนแรกถูจินจำไม่ได้ แต่จากนั้น สองตาเขาก็เบิกโตอย่างรวดเร็ว สร่างเมาขึ้นไม่น้อย
“ลู่เซิ่ง! เจ้ากลับมาแล้วหรือ!? ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรมา รีบหนีเร็ว! ในเมืองก่อนหน้านี้มีใบประกาศเจ้ากระจายอยู่ทั่วเลยนะ!”
“ไม่เป็นไรขอรับ” ลู่เซิ่งเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นสายตาก็จับจ้องอยู่ที่ร่างหญิงสาวผมน้ำสีตาลใกล้ๆ
“เจ้าคือ…เซินเซินหรือ”
หญิงสาวหน้าตาพริ้มพราย ร่างสูงโปร่ง ดูไม่ต่างจากดรุณีวัยแรกรุ่นในช่วงงดงามที่สุดเท่าไร เทียบกับหญิงสาวอ้วนฉุก่อนหน้านี้แล้ว เป็นคนละคนโดยสิ้นเชิง
“พี่ใหญ่เซิ่ง!” เซินเซินจำลู่เซิ่งได้ทันที พลันก้าวเข้ามาโอบกอดเขาด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
นางเหมือนจงใจใช้อกอวบอิ่มเบียดแผงอกของลู่เซิ่ง
“เป็นอย่างไร เยี่ยมไปเลยไหม ตอนนี้ข้าเป็นสาวงามแล้วนะ หวั่นไหวหรือไม่”
ลู่เซิ่งยื่นมือไปลูบหัวนาง
“ใหญ่ขนาดนี้ จ่ายไปเท่าไร”
สีหน้าเซินเซินแข็งค้าง
“ท่านนี่มันน่าเบื่อจริงๆ! ครั้งโน้นท่านพ่อจะให้ข้าแต่งกับท่านอยู่เลย ดูท่านตอนนี้สิ ต้องไม่มีใครชอบแน่”
ถูจินหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ รีบฉุดดึงบุตรีไป ก่อนเหลียวมองรอบๆ และส่งกระแสเสียงให้ลู่เซิ่งเบาๆ
“ตอนนี้เจ้ากลับมาทำอะไร เจ้านครตราชั่งถูกเจ้าล่วงเกินไปหนักมาก ตอนนั้นส่งคนมาถามข้า ภายหลังยังประกาศจับเจ้าอยู่กว่าครึ่งค่อนปีจึงถอนประกาศ!”
“ข้ามารับพวกท่านไปด้วยกัน” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “ข้าจะไปแล้ว ไปจากระบบดาวแห่งนี้”
“ไปหรือ ไปไหนเล่า” ถูจินอึ้งไป ในความรู้ความเข้าใจของเขา ระบบดาวแห่งนี้คือโลกทั้งใบ ไม่เคยได้ยินถึงสถานที่ที่อยู่ไกลกว่านี้มาก่อน จึงไม่เข้าใจ แค่เดินทางจากปลายสุดไปอีกปลายสุดของระบบดาว อาจต้องใช้ทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลที่เขาเก็บหอมรอมริบมาชั่วชีวิต ยิ่งอย่าว่าแต่ไปสถานที่ที่อยู่ไกลออกไป
ลู่เซิ่งไม่ตอบ เพียงถอนใจเบาๆ
“เดิมทีข้าคิดรับพวกท่านไปด้วยกัน แต่ดูจากตอนนี้ พวกท่านมีชีวิตดีกว่าในจินตนาการของข้าเยอะทีเดียว”
“อย่างนั้นหรือ” ถูจินกล่าวอย่างสงสัย แต่ส่วนลึกของดวงตาฉายแววจนปัญญา
“ช่างเถอะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ครั้งนี้กลับมาเจ้าอยู่หลายๆ วันหน่อยสิ แม้จะอยู่ในนครหลวงไม่ได้ แต่ที่อื่นยังพอได้ พวกเราไป… ”
“พอแล้วขอรับอาจารย์” ลู่เซิ่งตัดบทเขา “ข้าเข้าใจความลำบากใจของพวกท่าน ดังนั้น…” เขายกจอกเปล่าบนโต๊ะขึ้น แล้วรินสุราให้คนทั้งสอง
“สักจอกหรือไม่ นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเราได้ดื่มสุราด้วยกันแล้ว”
ถูจินสีหน้าแข็งทื่อ ปากที่บ่นพร่ำไปเรื่อยก่อนหน้านี้หยุดลง รอยยิ้มค่อยๆ สลายจากใบหน้า มองลู่เซิ่งอย่างอึ้งงันและด้านชาเล็กน้อย
สุดท้ายเขาก็ถอนใจยาว แล้วยกสุราขึ้นเงียบๆ
ครั้งนี้เซินเซินค่อยพบว่า ลูกค้าในโถงอาหารรอบตัวจากไปหลายคนแล้ว ในอากาศคล้ายมีความรู้สึกกดดันเข้มข้นกระจายตัวอยู่
บนถนนด้านนอกถึงขั้นไม่ได้ยินสรรพเสียงใดๆ ทั้งสิ้น
นางหันไปมองที่โต๊ะบาร์ของเหลาสุรา หลังบาร์ไม่เห็นใครสักคน
“เกิด…เกิดอะไรขึ้น!?” เซินเซินเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาบ้าง ลางสังหรณ์ไม่ดีแล้ว
ลู่เซิ่งยกจอกสุราขึ้นชนกับถูจินเบาๆ
ติ๊ง
จากนั้นทั้งสองก็เงยหน้าดื่มจนหมด
เพียงแต่ถูจินดื่มช้ายิ่ง
ลู่เซิ่งดื่มเสร็จก็วางจอกสุราลงบนโต๊ะเบาๆ
“อย่างนั้น ลาก่อน อาจารย์” เขาหมุนตัวเดินไปยังลิฟท์
ถูจินอ้าปาก คิดจะเรียกเขา แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ
“ท่านพ่อ!?” เซินเซินค้นพบความผิดปกติแล้ว
“ไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกเราแล้ว” ถูจินฉุดดึงนางเร่งฝีเท้าวิ่งไปยังลิฟท์
ลู่เซิ่งเดินออกจากลิฟท์ ถนนรอบข้างไร้ผู้คน เรือเหาะสีดำทรงสามเหลี่ยมหลายลำ ลอยอยู่กลางอากาศ ยิงม่านแสงสีเหลืองอ่อนออกมาเชื่อมกันเพื่อปิดผนึกที่นี่
“เป็นอย่างที่คิด” ลู่เซิ่งมองเหตุการณ์ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
อาจารย์ถูจินทรยศเขาแล้ว
แต่เขาไม่โทษอีกฝ่าย พวกเขามีพันธนาการระหว่างกันน้อยเกินไป ถูจินได้ละทิ้งความสัมพันธ์กับเขา เพื่อรักษาพันธนาการและความสัมพันธ์กับคนอื่น ถือว่าสมเหตุสมผลทั้งยังเข้าใจได้
อย่างไรเขาก็เป็นคนอื่นสำหรับชีวิตของถูจิน
เขามารบกวนความสงบของพวกถูจิน
ดังนั้นเรื่องที่ถูจินให้ความร่วมมือกับนครตราชั่งในการล้อมจับเขา จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองม่านแสงสีเหลืองอ่อนกลางท้องฟ้า ม่านแสงพวกนี้หนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง อากาศยานหนาหนักจำนวนมากกำลังขนย้ายหินหลากสีราวกับอัญมณีเล็กๆ ส่วนหนึ่งมาเป็นลำดับ
พวกเขาเทหินพวกนี้ใส่โล่ป้องกัน อัญมณีหลากสีหลอมรวมหายเข้าไปในโล่อย่างรวดเร็ว
ความแข็งแกร่งของโล่เพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว
……………………………………….